จิตแพทย์เด็ก เผย 5 ข้อ แนะวิธีเลือกโรงเรียน ชี้พ่อแม่ต้องเตรียมลูกให้พร้อมด้วย
เพจ เข็นเด็กขึ้นภูเขา โดย ‘หมอมินบานเย็น’ หรือ คุณหมอ ‘เบญจพร ตันตสูติ’ จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น ตอบคำถามผูัปกครองว่าควรเลือกโรงเรียนอย่างไรให้กับลูก ความว่า
#โรงเรียนไหนดีที่เหมาะกับลูกเรา หลังจากมีข่าวกรณีของครูทำร้ายเด็กอนุบาลในช่วงเวลานี้ มีพ่อแม่บางท่านถามหมอว่า จะเลือกโรงเรียนให้ลูกอย่างไรดี ให้หมอช่วยแนะนำหน่อย
คำถามที่คุณแม่ส่งมาก็ไม่ต่างกับพ่อแม่คนอื่นๆ คือ พ่อแม่อยากให้ลูกเรียนในที่ดี สำคัญที่สุดคือปลอดภัย ไม่มีครูที่ทำร้ายเด็ก
จริงๆ แล้วไม่มีกฏเกณฑ์ตายตัวว่าโรงเรียนไหนดีที่สุด หรือปลอดภัยที่สุด แต่ที่สำคัญคงต้องเลือกโรงเรียนที่เราเชื่อว่าจะเหมาะกับลูกหลานเรามากที่สุด
เกาะติดข่าว กดติดตามไลน์ ข่าวสด
แต่สำคัญพอๆ กับการเลือกโรงเรียนที่ดี คือการเตรียมเด็กของเราให้มีภูมิคุ้มกันและจะทำอย่างไร ให้พ่อแม่รู้ได้เร็วที่สุด หากเกิดเหตุการณ์ไม่ดีกับลูกๆ
บทความนี้จะแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ 1)การเลือกโรงเรียน และ 2)การสร้างภูมิคุ้มกันให้เด็กๆ
การเลือกโรงเรียนแบบคร่าวๆ ในความคิดหมอมีดังนี้
1. โรงเรียนให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของนักเรียน ไม่ว่าจะเป็นการทำร้ายทางกายหรือจิตใจ เดี๋ยวนี้การทำร้ายรังแกบูลลี่กันในโรงเรียนมีมาก ครูบางคนที่ทำร้ายเด็ก แต่ถ้าโรงเรียนเอาใจใส่ดูแลเด็กๆ มีทัศนคติจัดการกับปัญหาได้รวดเร็ว ไม่มองเป็นเรื่องเล็กๆ ก็จะดีมาก
2. ให้ความสำคัญกับการฝึกเรื่องทักษะการใช้ชีวิต ไม่ใช่เน้นแต่วิชาการ ผลสอบ โรงเรียนที่ไม่ต้องมีโปสเตอร์แปะหน้าโรงเรียนว่า เด็กชื่อนี้ชนะเลิศโอลิมปิกวิชาการ แต่เน้นการส่งเสริมคุณสมบัติการใช้ชีวิตที่เหมาะกับยุคสมัย ซึ่งเด็กน่าจะได้ฝึกการใช้ชีวิตกับคนรอบข้าง การทำงานร่วมกัน มีกิจกรรมนอกห้องเรียน การช่วยเหลือดูแลรับผิดชอบตัวเอง พึ่งพาตัวเองได้ มีคุณธรรมและจริยธรรม
3. เป็นไปได้ถ้าเลือกได้ ก็ไม่ควรเลือกโรงเรียนที่อยู่ไกลบ้านเกิน เพราะถ้าเด็กต้องตื่นแต่เช้า นอนดึกเพราะทำการบ้านมากมาย พ่อแม่ต้องเครียดกับการรีบพาลูกไปโรงเรียน บางทีมีทะเลาะกันตอนเช้า ตอนเย็นกว่าจะถึงบ้านก็มืดค่ำ ไม่มีเวลามีกิจกรรมร่วมกัน เด็กพักผ่อนน้อย แบบนั้นก็ไม่น่าจะดีเท่าไหร่
4. คุณครูในโรงเรียนควรมีมากพอที่จะดูแลเด็กได้ใกล้ชิดและทั่วถึง เอาใจใส่เด็กได้ดีพอสมควร มีความเข้าใจ มีทัศนคติที่ดีต่อเด็กและผู้ปกครอง
5. ถ้าลูกของเราเป็นเด็กที่มีความพิเศษบางอย่าง เช่น ปัญหาการเรียนเฉพาะด้าน เป็นไปได้ควรเลือกโรงเรียนที่เข้าใจเด็กที่มีความเฉพาะนี้ เช่น ลูกของเราเป็นแอลดี (โรคบกพร่องทางการเรียนรู้เฉพาะด้าน) โรงเรียนบางโรงมีความเข้าใจก็จะมีการจัดการศึกษาเฉพาะสำหรับเด็กที่มีปัญหาการเรียน มีครูการศึกษาพิเศษ เด็กบางคนมีภาวะพัฒนาการช้า โรงเรียนที่เหมาะก็ความจะมีความเข้าใจเด็กกลุ่มนี้
- ผู้ปกครอง แฉ คลิปเสียง ด.ญ.ตัวน้อย เล่าวีรกรรม ครูจุ๋ม เสียงเด็กสุดไร้เดียงสา ฟังแล้วสลด
- ด่วน! ครูจุ๋ม เครียดเข้ามอบตัว ตั้ง 2 ข้อหา อ่วม 8 คดี!
1. พ่อแม่มีเวลาให้ลูกเพียงพอ พูดคุยกับลูกถึงเรื่องราวในชีวิตประจำวัน เช่น วันนี้ทำอะไรบ้าง มีใครแกล้งหนู หรือหนูไปแกล้งใครหรือไม่ หรืออยู่ในเหตุการณ์ที่ทำให้กลัวอะไรมั้ย ครูที่สอนเป็นอย่างไร เรียนอะไรไป ครูทำอะไรบ้าง ให้เหมือนเรื่องธรรมดาทุกวัน เหมือนเราต้องอาบน้ำ ทานอาหาร เป็นต้น การรู้ตั้งแต่ต้นจะทำให้เราสามารถช่วยลูกได้ตั้งแต่เนิ่นๆ
2. ถ้ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นกับลูก สำคัญที่สุดคือพ่อแม่ต้องแสดงให้ลูกเห็นว่าเราอยู่ข้างๆ เขา เข้าใจเขา และพร้อมจะช่วยลูกจัดการกับเรื่องที่เกิดอย่างเหมาะสม
3. ฝึกให้เขาเรียนรู้ที่จะแก้ไขปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ตั้งแต่เล็กๆ ในเรื่องที่เขาพอทำได้ตามวัย อย่าเพิ่งรีบช่วยทุกอย่าง แต่ให้เขารู้ด้วยว่าพ่อแม่อยู่ใกล้ๆ ไม่ได้ทอดทิ้งไปไหน
4. ในวันลูกทำผิด เราก็จะอยู่ข้างๆ ให้เขาเรียนรู้รับผิดชอบ ในวันที่เขาทำได้ดี ให้การยอมรับชมเชยเขา
5. ในวันที่ลูกถูกกระทำ เราจะเป็นกองหนุนให้เขามีกำลังใจในการต่อสู้กับการกระทำไม่ดีนั้นๆ เรียนรู้ชีวิตไปด้วยกัน
6. ถ้าเขาต้องการความช่วยเหลือจริงๆ หากพ่อแม่ยังอยู่ เขารู้ว่าพ่อแม่จะอยู่ตรงนี้เพื่อลูกเสมอ
7. ตรงนั้นจะทำให้ลูกๆ มีกำลังใจพร้อมที่เผชิญกับอุปสรรคน้อยใหญ่ที่เข้ามา
8. จนวันหนึ่งที่พ่อแม่ไม่ได้อยู่ข้างๆ เขาอีกแล้ว เขาก็จะเรียนรู้ที่จะพึ่งพาตัวเอง กำลังใจจากพ่อแม่จะเป็นขุมพลังที่เขาใช้ในวันข้างหน้าของชีวิตต่อไป