‘บิ๊กตู่’ วอนทุกคนทำดีถวาย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในพระบรมโกศ ไม่ให้การลง ทุนหยุดชะงักอย่าทุบหุ้น ช้อนหุ้น ตกเป็นเหยื่อให้คนแสวงประโยชน์ ‘สมคิด’สั่งก.ล.ต.ล่าคนปล่อยข่าวทุบหุ้น ยืนยันประเทศไทยมีศักยภาพ ‘บิ๊กป้อม’ขู่เชือดคนปล่อยข่าวลือ ลั่นมีกฎหมายหลายฉบับจัดการ ขอให้มั่นใจนายกฯแก้ปัญหาได้หมด ‘มีชัย’เผยร่างกฎหมายลูกกกต.คืบแล้ว 20% เล็งยกเครื่องกกต.จังหวัด เปลี่ยนชื่อ-ที่มา-บทบาท หวังขุดรากถอนโคนจากอิทธิพลท้องถิ่น สิ้น‘บุญเอื้อ’ อดีตประธานรัฐสภาด้วยโรคชราในวัย 97 ปี

‘บิ๊กตู่’วอนทุกคนทำดี-อย่าทุบหุ้น

เมื่อเวลา 21.00 น. วันที่ 13 ต.ค. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แถลงจากใจนายกฯว่า วันนี้สิ่งที่รัฐบาล นายกฯ และคณะรัฐมนตรี(ครม.)เป็นห่วงกังวล คือความเศร้าโศกเสียใจและความอาลัยของคนทั้งประเทศ อยากให้กำลังใจทุกคนทุกภาคส่วนขอให้ทำหน้าที่ของทุกคนต่อไป สำหรับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ ยังคงเฝ้าทอดพระเนตรคนไทยทั้งประเทศอยู่ ขอทุกคนทำความดีถวายแด่พระองค์ท่าน และยังต้องช่วยกัน พยายามทำให้คนไม่ดีกลับมาเป็นคนดีให้ได้ ภายใต้กรอบของกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ภาคธุรกิจการค้า การลงทุนอย่าหยุดชะงัก ทุบหุ้น ช้อนหุ้น ขอให้ทุกคนช่วยรักษาเสถียรภาพ อย่าตกเป็นเหยื่อให้คนเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์

ในส่วนของความมั่นคงและการรักษาความมั่นคงในชีวิตและทรัพย์สินเป็นสิ่งสำคัญ ต้องให้ทุกคนช่วยกันระมัดระวังให้เกิดความปลอดภัย เพิ่มมาตรการ เพิ่มความเข้มงวด หากมีเหตุต้องสงสัยให้แจ้งกับเจ้าหน้าที่ทันที

ขอเป็นกำลังใจเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด เพื่อให้คนไทยทั้งประเทศผ่านช่วงเวลาเศร้าโศกให้ได้ ทั้งนี้ นายกฯ รัฐบาลอยากให้คนไทยทุกคน ช่วยกันสืบสานตามพระราชปณิธาน ที่ทรงพระราชทานคนไทยมาตลอดการครองราชย์ 70 ปี

ยันไทยมีเสถียรภาพ

ก่อนหน้านี้เมื่อเวลา 09.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ให้การต้อนรับนาย Franqois Corbin ประธานสภาธุรกิจไทย-ฝรั่งเศส และรองประธานบริหาร ฝ่ายภูมิภาคและการจัดการความก้าวหน้าบริษัท Michelin ฝรั่งเศส นำคณะผู้บริหารระดับสูงภาคธุรกิจ จากสภานายจ้างและผู้ประกอบการฝรั่งเศส (MEDEF) ที่เข้าเยี่ยมคารวะ

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ขณะนี้ประเทศ ไทยมีเสถียรภาพ ขอเชิญชวนภาคเอกชนฝรั่งเศสให้เข้ามาลงทุนในไทย ในสาขาโครงสร้างพื้นฐาน พลังงาน เทคโนโลยีดิจิทัล วิทยาศาสตร์ นวัตกรรม โครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ สาธารณสุข เพื่อช่วยสนับสนุนไทย ตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0 โดยรัฐบาลไทยพร้อมส่งเสริมผู้ประกอบการไทย ให้เข้าไปลงทุนในฝรั่งเศส จากนั้น เวลา 19.30 น. พล.อ.ประยุทธ์ เป็นประธานงานเลี้ยงรับรอง เนื่องในวันตำรวจ ประจำปี 2559 ที่สโมสรตำรวจ ถนนวิภาวดีรังสิต

‘บิ๊กป้อม’งัดกม.ฟันปล่อยข่าวลือ

ที่กระทรวงกลาโหม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงการดูแล ข่าวลือที่เกิดขึ้นในระยะนี้ว่า เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทำเรื่องนี้อยู่แล้ว เขาถึงมีกฎหมายออกมาควบคุม เรื่องการบิดเบือนข้อเท็จจริง ไม่ต้องเป็นห่วง เดี๋ยวมีเจ้าหน้าที่ดูแลอยู่

ผู้สื่อข่าวถามว่าจะดูแลอย่างไรเรื่องเว็บไซต์ที่พยายามปล่อยข่าวเท็จต่างๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า เรามีกฎหมายอยู่แล้ว เป็นพ.ร.บ.บิดเบือนข้อมูลข่าวสารทางเจ้าหน้าที่ตำรวจที่รับผิดชอบ ก็มีอยู่แล้วโดยกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) เป็นผู้ดูแล และยังมีกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ดูแลอยู่ด้วย

ให้มั่นใจ-นายกฯแก้ปัญหาได้

ต่อข้อถามว่าเว็บไซต์ที่เผยแพร่จาก ต่างประเทศ ดำเนินการอย่างไรได้บ้าง พล.อ. ประวิตรกล่าวว่า ตนไม่ทราบในรายละเอียด ต้องสอบถามพล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี ที่ดูแลกระทรวงดิจิทัลฯ เมื่อถามว่าตอนนี้คนไทยควรทำอะไรบ้าง พล.อ.ประวิตรกล่าวเพียงสั้นๆ ว่า ก็ทำกันแบบที่ทำอยู่ทุกวัน แต่อย่าพูดมากเท่านั้น ทุกอย่างแก้ปัญหาได้ นายกฯแก้ปัญหาได้หมดไม่ต้องเป็นห่วง ไม่ต้องตื่นเต้นตื่นตระหนกทั้งสิ้น

พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ. ในฐานะเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงการตรวจสอบการส่งต่อข้อมูลต่างๆ ในโซเชี่ยลมีเดียว่า ในการประชุมทุกเช้าของศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก หรือมอนิ่งบรีฟ ที่กองบัญชาการกองทัพ มีการรายงานสถานการณ์ต่างๆ ตนได้ใช้เวทีนี้สั่งการในทุกเรื่องรวมถึงการกำชับให้กำลังพล ใช้วิจารณญาณรับข้อมูลข่าวสารต่างๆ โดยเฉพาะที่เป็นข่าวลือในช่วงนี้ ซึ่งตนคงไม่ต้องออกมาห้ามปรามหรือเตือนกลุ่มบุคคลที่เผยแพร่ข่าวลือ เพราะมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควบคุมดูแลในเรื่องเหล่านี้อยู่แล้ว

‘สมคิด’จวกคนไทยทำกันเอง

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่า นักลงทุนอย่าไปเชื่อข่าวลือมากนัก ขอให้มั่นใจศักยภาพของประเทศไทย ที่กำลังเดินไปข้างหน้า ขอให้ฟังข่าวทางการจากรัฐบาลและพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช.เท่านั้น ขณะที่การดูแลการลงทุนในตลาดหุ้น ตนและกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศ ไทย(ธปท.) ตลท. ได้หารือกันอย่างใกล้ชิดมานานแล้วที่จะดูแลทุกอย่างให้ดี ขออย่าตกใจและวิตกกังวลกันมากเกินไป

นายสมคิดกล่าวว่า เมื่อวันที่ 12 ต.ค.ที่ ผ่านมา ฝรั่งซื้ออย่างเดียว แต่คนไทยตกใจขาย คิดว่าต่างประเทศเข้าใจเรื่องที่รัฐบาลทำ และเข้าใจสถานการณ์ของประเทศไทยดี แต่คนไทยกันเองกลับตกใจ ฉะนั้นจะต้องหนักแน่นและมั่นใจตัวของเราเอง ขอให้ฟังรัฐบาล ฟังนายกฯและอย่าไปฟังข่าวลือ เห็นได้ชัดมาก เมื่อวันที่ 12 มีการปล่อยข่าวลือว่าเวลาบ่าย 3 โมง ทางนายกฯจะแถลงข่าวซึ่งใกล้เวลาปิดตลาดหุ้น ก็คิดดูละกันว่าคนที่ปล่อยข่าวลือเขาคิดอย่างไร ฝรั่งคอยเก็บหุ้น มีแต่คนไทยปล่อยข่าวทุบหุ้นกันเอง

สั่งก.ล.ต.เร่งหาต้นตอ

“การติดตามผู้ปล่อยข่าวลือเพื่อทุบหุ้นเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ต้องไปติดตามว่าใครปล่อยข่าวทุบหุ้น สถานการณ์ประเทศตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่สำคัญมาก หลายๆ อย่างเริ่มดีขึ้น อย่าไปทำลายไม่มีประโยชน์อะไร ส่วนสถานการณ์ค่าเงินบาทขณะนี้ก็ไม่มีอะไรยังอยู่ในสถานการณ์ไม่ปกติ” นายสมคิดกล่าว

นายรพี สุจริตกุล เลขาธิการ ก.ล.ต. กล่าวว่า จากการติดตามสถานการณ์ข่าวที่เกิดขึ้น และมีผู้ตั้งข้อสงสัยว่าเป็นกระบวนการสร้างสถานการณ์เพื่อก่อให้เกิดความวุ่นวายในการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลท.หรือไม่นั้น ก.ล.ต. มีหน้าที่เข้าไปตรวจสอบหาข้อเท็จจริง และหากพบว่ามีการดำเนินการดังกล่าวจะดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด

สำหรับปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์เมื่อวันที่ 12 ต.ค. ที่สูงถึง 1.3 แสนล้านบาท สะท้อนถึงความมั่นคงของระบบของตลท. ที่สามารถรองรับความผันผวนสูงได้ อย่างไรก็ดี ก.ล.ต. และตลท. จะติดตามสถานการณ์และประสานงานกันอย่างใกล้ชิด

หุ้นไทยดีดกลับแดนบวก

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับบรรยากาศการซื้อขายหุ้นใน ตลท.เมื่อวันที่ 13 ต.ค. ยังคงถูกกดดันจากข่าวเดิมๆ ทำให้เกิดแรงขายต่อเนื่องและดัชนีอยู่ในแดนลบตั้งแต่เปิดการซื้อขายภาคเช้าต่อเนื่องมาถึงภาคบ่าย แต่ 1 ชั่วโมงก่อนปิดทำการซื้อขายปรากฏว่ามีแรงซื้อกลับเข้ามาทำให้ดัชนีดีดกลับ ก่อนที่จะปิดตลาดดัชนีสามารถยืนในแดนบวกได้ และมาปิดที่ระดับดัชนีสูงสุดของวันที่ 1,412.82 จุด เพิ่มขึ้น 6.64 จุด หรือบวก 0.47% โดยดัชนีลงไปทำจุดต่ำสุดของวันที่ระดับ 1,356.79 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 103,973.27 ล้านบาท ซึ่งนับว่ามูลค่าการซื้อขายเกิน 100,000 ล้านบาท เป็นครั้งที่ 4 นับตั้งแต่เปิดตลท.

ทั้งนี้ ครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 22 มี.ค.2556 ด้วยมูลค่า 101,361 ล้านบาท ซึ่ง ขณะนั้นนักลงทุนเกิดความกังวลต่อนโยบายของธปท. ต่อมาตรการคุมเงินทุน (Capital control) หลังค่าเงินบาทอ่อนค่า ส่วนอีก 2 ครั้งต่อมาเป็นความกังวลเรื่องเดียวกันต่อกระแสข่าวลือในประเทศ คือในวันที่ 15 ม.ค.2557 ดัชนีหุ้นระหว่างวันร่วงมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ 138.96 จุด และมูลค่าการซื้อขายที่ 102,662 ล้านบาท และล่าสุดเมื่อวันที่ 12 ต.ค.2559 ทุบสถิติมูลค่าซื้อขายสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2518 เปิดตลาดหุ้นไทย ด้วยมูลค่า 130,152 ล้านบาท

วอลุ่มแตะแสนล้าน

สำหรับการซื้อขายวันที่ 13 ต.ค. ซึ่งมีมูลค่าการซื้อขายเกิน 103,973.27 ล้านบาทนั้น แยกตามประเภทนักลงทุนพบว่าผู้ซื้อสุทธิ มีเพียงนักลงทุนสถาบันเพียงกลุ่มเดียว โดยซื้อสุทธิที่ 9,716.32 ล้านบาท หลังจากตลอด 3 วันทำการที่ผ่านมาขายสุทธิเป็นหลัก ส่วนนักลงทุนที่เหลือเป็นผู้ขายสุทธิหุ้นไทย เริ่มจากบัญชีหลักทรัพย์ 2,497.43 ล้านบาท นักลงทุนต่างประเทศ 573.66 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยในประเทศ 6,645.23 ล้านบาท หลังจากที่ผ่านมาซื้อสุทธิมาตลอด

นายชัยยศ จิวางกูร ผู้อำนวยการฝ่าย วิเคราะห์ บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า ในช่วงท้ายของการซื้อขายดัชนีมีการพลิกกลับเป็นบวก เนื่องจากทางเทคนิคมีสัญญาณซื้อเข้ามา หลังจากดัชนีร่วงลงแต่ไม่ถึงจุดต่ำสุดเดิมทำให้มีแรงซื้อกลับ และผู้ที่ซื้อหุ้นช็อตไว้เข้ามาซื้อเมื่อมีสัญญาณการดีดกลับทางเทคนิคของดัชนีหุ้น

กังวลปัจจัยในประเทศ

ด้านนายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน กล่าวว่า ตลาดผันผวน ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของการปรับฐาน รวมถึงความกังวลปัจจัยในประเทศ และค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง ทำให้กระทบจิตวิทยาการลงทุน

สำหรับแนวโน้มการลงทุนในวันที่ 14 ต.ค. ในเชิงเทคนิคคาดว่ายังมีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นได้อีก โดยมีแนวรับ 1,400 จุด ส่วนแนวต้าน 1,430 จุด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหากดูสถิติการซื้อขายหุ้นไทยนับตั้งแต่เปิดทำการซื้อขายวันจันทร์ที่ 10 ต.ค. ดัชนีปรับตัวลดลง 47.32 จุด, วันที่ 11 ต.ค. ลดลง 14.81 จุด และวันที่ 12 ต.ค.ดัชนีปรับตัวลดลง 36.03 จุด ซึ่งรวม 3 วันทำการแรกของสัปดาห์นี้ดัชนีร่วงลงไป 98.19 จุด แต่ดัชนีราคาหุ้นวันที่ 13 ต.ค. ปิดบวก 6.64 จุด ทำให้ 4 วันทำการที่ผ่านมาดัชนีปรับตัวลดลง 91.55 จุด

‘มีชัย’เล็งผ่าตัดใหญ่กกต.จว.

ที่รัฐสภา นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.) ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าการจัดทำร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายลูกว่าด้วยพรรค การเมืองว่า ขณะนี้คณะอนุกรรมการยกร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญได้ร่างกฎหมายพรรคการเมืองเสร็จแล้ว ส่วนคอนเซ็ปต์จะเป็นอย่างไรนั้น ขอให้นำเข้าที่ประชุมกรธ. ผ่านการถกเถียงก่อน

ขณะที่ร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขณะนี้พิจารณาแล้ว 20 เปอร์เซ็นต์ ยังไม่ถึงกกต.จังหวัด แต่คิดว่าคงมีการปรับเปลี่ยนทั้งชื่อ วิธีการได้มา และบทบาท เพื่อทำให้ขาดอิทธิพลจากการเมืองท้องถิ่นให้ได้ อาจไม่เรียกว่า กกต.จังหวัด แต่จะเรียกว่าอย่างไร กรธ.จะคิดกันต่อ ที่สำคัญจะไม่ให้มีลักษณะอย่างที่ผ่านมา ที่กกต.จังหวัดเป็นที่ครหานินทา ซึ่งกรธ.จะทำให้ดีขึ้น

รอถกให้นศ.คุมหน่วยเลือกตั้ง

นายมีชัยกล่าวว่า ส่วนข้อเสนอที่ให้นักศึกษาช่วยดูแลหน่วยเลือกตั้ง กรธ.กำลังดูว่าจะเอามาอบรมอย่างไร เมื่อมีคนเสนอกรธ.ก็รับไว้พิจารณาและนำมาขยายผลดูว่าทำได้อย่างไร ถ้าผลเสียมากกว่าผลดีก็ไม่เอา ซึ่งการพิจารณากฎหมายลูกทั้ง 2 ฉบับนี้ จะเสร็จสิ้นเดือนต.ค. หรือต้นเดือนพ.ย. เพื่อส่งให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) พิจารณาต่อไป

ผู้สื่อข่าวถามว่ามีข้อเสนอให้ภาคประชาสังคมเข้ามาทำหน้าที่จัดการเลือกตั้ง นาย มีชัยกล่าวว่า ที่ผ่านมา กกต.ได้รับการอบรบมาอย่างดี แต่การสืบสวนสอบสวนยังทำไม่ค่อยดีเท่าที่ควร หากนำภาคประชาสังคม ซึ่งไม่มีความรู้ในเรื่องนี้ไปสอบสวนใครจะรับผิดชอบ เพราะต้องคำนึงด้วยว่าปฏิบัติได้จริงหรือไม่ คนเสนออาจจะมั่นใจว่าภาคประชาสังคมจะไม่กลั่นแกล้งใคร แต่จะรู้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมหรือไม่ เพราะหากสอบสวนแล้วยกฟ้องทั้งหมดก็จะแย่

ชงข้อเสนอทำกฎหมายลูก

เมื่อเวลา 12.30 น. ที่รัฐสภา นายโฆษิต สุวินิจจิต กรรมการและประธานฝ่ายประชา สัมพันธ์ สมาคมแห่งสถาบันพัฒนาการเมืองและการเลือกตั้ง ในฐานะตัวแทนสมาคม พร้อมคณะกรรมการสมาคม เข้ายื่นหนังสือพร้อมข้อเสนอจัดทำร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ 3 ฉบับ ต่อนายอภิชาต สุขัคคานนท์ รองประธานกรธ. ได้แก่ 1.ร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยพรรคการเมือง ได้เสนอ 5 ประเด็น คือ 1.1 ควรให้เสรีภาพแก่บุคคลในการจัดตั้งพรรค และไม่ควรกำหนดให้ต้องมีสมาชิกในช่วงจัดตั้งจำนวนมาก ไม่ควรกำหนดให้การจัดตั้งพรรคต้องมีทุนประเดิมจำนวนมาก 1.2 กกต.ควรเน้นบทบาทส่งเสริมสนับสนุนพรรค มากกว่าบทบาทควบคุมการตรวจสอบพรรค

1.3 กกต.หรือหน่วยงานใดก็ตาม ไม่ควรเป็นผู้ควบคุมหรือตรวจสอบนโยบายการหาเสียงของพรรค เพราะพรรคต้องเป็นผู้วิเคราะห์ผลกระทบความคุ้มค่าและความเสี่ยงความรับผิดชอบ ในการประกาศนโยบายหาเสียงของตนเอง 1.4 การส่งผู้สมัครไม่ควรเพิ่มภาระให้กับพรรคโดยไม่จำเป็น และ 1.5 การยุบพรรค ควรกำหนดเป็นหลักการให้ยุบพรรคยาก ยกเว้นพรรคที่ล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย หรือเป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐ และควรแยกให้ชัดเจนระหว่างความผิดส่วนบุคคลกับส่วนรวม

วิป 3 ฝ่ายให้เร่งปฏิรูปท้องถิ่น

นายโฆษิตกล่าวว่า 2.ร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยกกต. ควรให้กกต.บริหารในลักษณะองค์คณะที่ใช้อำนาจร่วมกัน และควรคงกกต.จังหวัดไว้ แต่ปรับลดบทบาทหน้าที่มิให้เกี่ยวข้องกับการทำสำนวนสืบสวนสอบสวน แต่ควรเน้น สร้างกลไกภาคประชาสังคมช่วยเหลือกกต. ตรวจสอบการเลือกตั้ง และ 3.ร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยการได้มาซึ่งส.ว. การกำหนดกลุ่มอาชีพต้องสะท้อนวิชาชีพเท็จจริง และมีความสมดุลทุกกลุ่มวิชาชีพ นอกจากนั้น ในส่วนของการได้มาต้องมีหลักประกันมิให้เกิดการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กัน

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รมต.ประจำสำนักนายกฯ เปิดเผย ผลประชุมคณะกรรมการประสานงานรวม 3 ฝ่ายว่า วิปรวม 3 ฝ่าย พิจารณาเรื่องแผนปฏิรูปราชการส่วนท้องถิ่น โดยเห็นตรงกันว่า ควรดำเนินการขับเคลื่อนการปฏิรูปส่วนราชการท้องถิ่นโดยเร็ว จัดทำและปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น ให้ใช้ประมวลกฎหมายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ปรับปรุงกฎหมายแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจซึ่งรัฐบาลดำเนินการอยู่แล้ว ปรับปรุงประสิทธิภาพการมีส่วนร่วมของประชาชน เป็นต้น ข้อมูลและความเห็นทั้งหมด วิปรวม 3 ฝ่ายจะเรียนให้นายกฯ รับทราบและมอบให้รองนายกฯ และรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการต่อไป

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน