“สรยุทธ”พ้นคุก ศาลให้ประกัน พร้อมพนักงานบ.ไร่ส้มอีกคน ตีราคาประกันคนละ 5 ล้าน สั่งห้ามออกนอกประเทศ และต้องมารายงานตัวทุก 3 เดือน หลังจากที่ศาลอนุญาตให้ฎีกาคดีได้ ขณะที่จำเลยอีกคนยังไม่ยื่นประกัน และยังไม่ขอฎีกา เจ้าตัวขอบคุณ ศาลเมตตา ยอมรับใช้ชีวิตในคุกลำบาก แต่ต้อง อดทน

จากกรณีที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติ มิชอบกลาง อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ จำคุก นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา อายุ 51 ปี พิธีกรรายการข่าวชื่อดัง และกก.ผจก.บจก.ไร่ส้ม 13 ปี 4 เดือน และไม่ได้รับการประกันตัวระหว่างฎีกาคดีนั้น เนื่องจากศาลฎีกาเห็นว่าคดีต้องห้ามฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงและคดีอัตราโทษสูง ซึ่งหากจะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องมีผู้พิพากษา ในสำนวน หรืออัยการสูงสุดเซ็นรับรอง

ความคืบหน้าเมื่อวันที่ 12 ก.ย. ผู้พิพากษาที่ร่วมพิจารณาคดีดังกล่าวในศาลชั้นต้นและมีชื่อในคำพิพากษาของศาลชั้นต้นนั้น อนุญาตฎีกาคดีให้กับ บจก.ไร่ส้ม นายสรยุทธ น.ส. มณฑา ธีระเดช จำเลยที่ 2-4 แล้วว่า คดีมีปัญหาสำคัญและเหตุอันควรสู่ศาลสูงสุดที่จะวินิจฉัย ตามหลักในประมวลวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 221 ที่บัญญัติว่าในคดีซึ่งห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ในคดีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลล่าง หรือเพียงแต่แก้ไขเล็กน้อย และให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่โทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี, มาตรา 219 ในคดีที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แล้วศาลอุทธรณ์ยังคงลงโทษจำเลยไม่เกินกำหนดดังกล่าว และมาตรา 220 ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในคดีที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง

โดยนายมนต์อนันต์ เรืองจรัส ทนายความของนายสรยุทธ ก็ได้ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราว นายสรยุทธ และ น.ส.มณฑา จำเลยที่ 3-4 ในระหว่างฎีกาด้วย

ขณะที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติ มิชอบกลางได้รับฎีกาทั้งหมดในคดีดังกล่าวไว้แล้วพร้อมกับคำร้องขอปล่อยชั่วคราวจำเลย โดยนำส่งฎีกาและสำนวนคดีทั้งหมดไปยังศาลฎีกาแล้วช่วงเช้าที่ผ่านมา เพื่อวินิจฉัยตามขั้นตอนและมีคำพิพากษาในคดีต่อไปแล้ว

ส่วนนางพิชชาภา เอี่ยมสะอาด จำเลยที่ 1 จนถึงขณะนี้ยังไม่ได้ยื่นขอให้ผู้พิพากษาอนุญาต ฎีกาในประเด็นข้อเท็จจริง หรือยื่นฎีกาในปัญหา ข้อกฎหมาย รวมทั้งยังไม่มีการยื่นคำร้องขอประกันตัวระหว่างฎีกาแต่อย่างใด ซึ่งคดี มีเวลาที่จะดำเนินการยื่นฎีกาภายใน 30 วันนับแต่ฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยจะครบกำหนดในวันที่ 29 ก.ย.นี้ หากยื่นฎีกาไม่ทันก็สามารถยื่นขอขยายเวลาฎีกาต่อศาลได้

ต่อมาเวลา 16.30 น. ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ศาลอ่านคำสั่งของศาลฎีกา ที่นายสรยุทธ จำเลยที่ 3 และน.ส. มณฑา จำเลยที่ 4 ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวระหว่างฎีกา หลังจากที่ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตฎีกา ซึ่งศาลอาญาคดีทุจริตฯ ได้รับคำฎีกาและสำนวนคดีทั้งหมดส่งให้ศาลฎีกาแล้ว

โดยคำสั่งขอปล่อยชั่วคราวนั้น ศาลฎีกา พิจารณาแล้วเห็นว่า ในชั้นนี้เห็นควรให้อนุญาต ปล่อยชั่วคราว ตีราคาประกันคนละ 5 ล้านบาท และกำหนดเงื่อนไขห้ามออกนอกประเทศ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล และให้จำเลยทั้งสอง ต้องมารายงานตัวต่อศาลทุก 3 เดือน

ทั้งนี้ การให้ประกันตัวดังกล่าวจำเลยทั้งสอง ได้ยื่นหลักทรัพย์เป็นสมุดบัญชีเงินฝากคนละ 5 ล้านบาท โดยหลังจากนี้ศาลก็จะมีหมายปล่อยส่งไปยังเรือนจำเพื่อให้ดำเนินการตามขั้นตอนปล่อยตัวนายสรยุทธกับพวก ซึ่งคาดว่า จะมีการปล่อยตัวได้ภายในวันนี้ไม่เกิน 20.00 น. หลังติดคุกตั้งแต่วันที่ 29 ส.ค.เป็นเวลา 15 วัน

เมื่อเวลา 18.30 น. ที่เรือนจําพิเศษกรุงเทพ มหานคร ถนนงามวงศ์วาน แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กทม. น.ส.พิชญทัฬห์ หรือไบรท์ จันทร์พุฒ ผู้ประกาศข่าวเรื่องเล่าเช้านี้ และ ทีมงานร่วมกันเดินทางมารับตัวนายสรยุทธ ภายหลังยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวระหว่างฎีกา ทั้งนี้ภายหลังจากผู้พิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตฎีกาซึ่งศาลอาญาคดีทุจริตฯ รับคำฎีกาและสำนวนคดีทั้งหมดส่งให้ศาลฎีกาแล้ว โดย คำสั่งขอปล่อยชั่วคราวนั้น ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว เห็นว่าในชั้นนี้เห็นควรให้อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว

ต่อมาเวลา 18.45 น. ภายหลังจากที่นาย สรยุทธ ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวได้จุดธูปสักการะต่อพระเจตคุปต์ ก่อนให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนว่า ขอบคุณผู้พิพากษาศาลชั้นต้น ซึ่งท่านมีเมตตากรุณาให้รับรองฎีกาเรื่องคดีไร่ส้มเพื่อให้พิสูจน์ในข้อเท็จจริงในชั้นศาลฎีกาตามกระบวนการขั้นตอนของกฎหมาย รวมถึง ขอบคุณศาลฎีกาที่เมตตาเรื่องของการประกันตัวหรือปล่อยตัวชั่วคราว ทั้งนี้ในระยะเวลาที่ตนถูกควบคุมตัวนั้นได้ใช้ชีวิตประจำวันที่ลำบาก แต่ต้องอดทนอยู่ให้ได้เนื่องจากอยู่ในขั้นตอนที่ตนเขียนฎีกา เพราะฉะนั้นค่อนข้างลำบากพอสมควรกับการปรึกษาหารือกับทนายความเพื่อที่จะเขียนฎีกาให้เสร็จ รวมทั้งยื่นเพื่อขอให้ศาลที่เคยพิพากษารับรองฎีกา เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องยากที่ได้อยู่ภายใน และ สุดท้ายได้ยื่นขอประกันตัว ซึ่งฎีกาเป็นการพิสูจน์ครั้งสุดท้ายของชีวิตตนจึงต้องทำให้ดีที่สุดซึ่งอยู่ในภายใต้ข้อจำกัดจึงต้องใช้ความอดทนจนครบ 15 วันพอดี หลังจากนี้ตนขอเดินทางไปพบแม่เป็นอันดับแรก ซึ่งตนมีเวลาเพียงเล็กน้อยเท่านั้นตามกำหนดคือ 30 วัน ก่อนไปขอดูฎีกาเพื่อแก้ไขปรับปรุงต่อไป

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน