“บิ๊กตู่”กำหนดบินเยือนสหรัฐ 2-4 ต.ค.นี้ มีคิวพบ”ทรัมป์” 3 ต.ค. ลั่นไม่ลงเลือกตั้ง เลี่ยงตอบนั่งนายกฯคนนอก แย้มเองรู้แล้ว”ปู”อยู่ไหน แต่ขออุบไว้ก่อน รอพ้นวันที่ 27 ก.ย.แล้วจะบอก เล็งถอนพาสปอร์ตถ้าศาลตัดสินว่ามีความผิดคดีจำนำข้าว “พ.ต.อ.”เข้ารับข้อกล่าวหา ปลอมป้ายทะเบียนรถเก๋งคัมรี่ เจ้าตัวให้การปฏิเสธ แต่ยอมรับเป็นคนขับ ศาลการเมืองสั่งจำคุก”สุพจน์”อดีตปลัดคมนาคม 10 เดือน คดียื่นบัญชีทรัพย์สินเท็จ ศาลพระโขนงจำคุก 4 เดือน รอลงอาญา น.ศ.ฉีกบัตรประชามติ “บิ๊กตู่”บินเยือนสหรัฐ2-4ต.ค.

วันที่ 26 ก.ย. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.ท.วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช. มีกำหนดเดินทางเยือนสหรัฐอเมริกาอย่างเป็นทางการวันที่ 2-4 ต.ค.นี้ ตามคำเชิญของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ โดยมีผู้บริหารระดับสูงของไทยร่วมคณะ อาทิ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ นายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.ต่างประเทศ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รมว.พาณิชย์ และ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม โดยนายทรัมป์กล่าวเชิญนายกฯ ระหว่างหารือทางโทรศัพท์เมื่อวันที่ 30 เม.ย. ที่ผ่านมา ผู้นำทั้งสองจะหารือในประเด็นความร่วมมือทั้งด้านความมั่นคงและด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุนแล้ว ยังจะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นถึงสถานการณ์ในระดับภูมิภาคด้วย

การเดินทางไปครั้งนี้ นายกฯ จะหารือกับผู้แทนภาคเอกชนไทย หารือข้อราชการกับประธานาธิบดีสหรัฐ ประชุมเต็มคณะและร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำ ซึ่งคณะนักธุรกิจจากหอการค้าสหรัฐและสภาธุรกิจอาเซียน-สหรัฐ อเมริกา ร่วมกันจัดขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ นายกฯ และคณะ

การพบปะของผู้นำทั้งสองประเทศครั้งนี้สะท้อนให้เห็นความสำคัญยิ่งต่อการพัฒนาความเป็นพันธมิตรที่เข้มแข็งระหว่างกัน ซึ่งทั้งสองฝ่ายจะได้หารือเพื่อมุ่งผลักดันความเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างไทยและสหรัฐ เพื่อประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองประเทศอย่างเท่าเทียมและยั่งยืน ทั้งนี้ ในปี 2561 ทั้งสองประเทศจะจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองครบรอบ 200 ปี ของการติดต่อสัมพันธ์ในระดับประชาชนระหว่างไทย-สหรัฐ

หารือปธน.ทรัมป์3ต.ค.

พล.ท.วีรชนแถลงหลังการประชุมครม.ว่า ครม.รับทราบกำหนดการเยือนสหรัฐของ นายกฯ ระหว่าง 2-4 ต.ค.นี้ ตามคำเชิญของประธานาธิบดีสหรัฐ ซึ่งจะพบกับนายทรัมป์ วันที่ 3 ต.ค. ที่ทำเนียบขาว มีหัวข้อพูดคุยในเรื่องความมั่นคง เศรษฐกิจ ความร่วมมือด้านพาณิชย์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การค้าการลงทุน โดยจะเพิ่มความร่วมมือระหว่างไทยและสหรัฐให้มากขึ้นอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ตามที่ประธานาธิบดีสหรัฐเคยกล่าวกับนายกฯ ไว้

พล.ท.วีรชนกล่าวว่า นอกจากนั้นจะได้พบกับภาคธุรกิจ และพูดคุย และจะลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างภาคเอกชน โดยนายกฯ จะออกเดินทางวันที่ 30 ต.ค. กลับถึงไทย วันที่ 5 ต.ค. จากนั้นนายกฯ จะเดินทางร่วมงานเฉลิมฉลองครองสิริราชสมบัติครบ 50 ของสุลต่านบรูไนวันที่ 6 ต.ค.นี้

ขอร้องอย่ามองเลือกข้างสหรัฐ

เวลา 14.30 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้าคสช. ให้สัมภาษณ์หลังประชุมครม. ถึงการเดินทางเยือนสหรัฐว่า สหรัฐเชิญตนไปร่วมหารือวันที่ 3 ต.ค.นี้ ตนและคณะจำเป็นต้องเดินทางไปล่วงหน้า เมื่อถามว่าการไปเยือนสหรัฐครั้งนี้ช่วงที่สหรัฐ ขัดแย้งกับเกาหลีเหนือ ไทยอาจถูกมองเลือกข้างได้ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ช่วงเวลานี้ ขอ อย่ามองว่ารัฐบาลเลือกข้างหรือไม่เลือกข้าง ตนพบปะกับทุกคนและทุกประเทศที่เชิญ หากพบได้ก็พบ อย่าเอาเรื่องเลือกข้างมาพูดเพราะเราดำเนินนโยบายต่างประเทศให้สมดุลกับทุกมหาอำนาจ เราได้รับความร่วมมือจากหลายฝ่ายหลายประเทศทั้งเล็กและใหญ่ ส่วนความขัดแย้งในโลกเป็นเรื่องของมติองค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ที่ดำเนินการตาม ขั้นตอนทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ทุกอย่างเป็นไปตามคำเชิญของประธานาธิบดีสหรัฐเราจะหารือในประเด็นความสำคัญแบบทวิภาคี ทุกด้าน อาทิ ความมั่นคง การค้าการลงทุน และการแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นในประเด็นภูมิภาค เพราะในคำเชิญระบุว่าในฐานะที่ไทยเป็นมิตรที่เก่าแก่ที่สุดในอาเซียนที่มีความสัมพันธ์ยาวนานกว่า 200 ปี และยังพูดถึงความสัมพันธ์ในแถบอินโดแปซิฟิก

วอนอย่าถามเรื่องปูกับป้อม

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวถึงสถานการณ์ก่อนการตัดสินน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ในคดีปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริตโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จะตัดสินวันที่ 27 ก.ย.ว่า ไม่อยากให้ประชาชน ตื่นตระหนกหรือให้ความสำคัญมากเกินไป ถือเป็นการพิจารณาคดีตามกระบวนการยุติธรรมปกติ การตัดสินก็ยังไม่รู้ล่วงหน้าเพราะผู้พิพากษาทั้งหมดจะมาเจอกันตอนเช้าเพื่อเรียบเรียงคำตัดสินใหม่ รวบรวมสรุปเป็นคำตัดสินของคณะผู้พิพากษา

นายกฯ กล่าวว่า ส่วนเรื่องเส้นทางต่างๆ ถือเป็นอีกเรื่องหนึ่ง อย่าเอามาพันกัน เรื่องนั้นเป็นกระบวนการสอบสวนสืบสวน ตนยัง ไม่อาจกล่าวว่าใครผิดใครถูก ทุกอย่างจะชัดเจนขึ้นหลังวันที่ 27 ก.ย.ไปแล้ว ตนมีข้อมูลแต่ยังพูดอะไรไม่ได้ ฉะนั้นอย่าไปถามรองนายกฯ อีกเลย รองนายกฯ ตอบจบแล้วก็ถามใหม่ ถามจนโมโห เห็นใจบ้าง บางทีก็อึดอัด แต่ไม่อยากให้ทุกอย่างออกมามะรุม มะตุ้มก่อนวันที่ 27 ก.ย. จนสับสนอลหม่าน ไปหมด เพราะต้องดูกฎหมายที่มีหลายฉบับ

รู้แล้วปูไปอยู่ไหน

เมื่อถามว่าสังคมสงสัยตำรวจที่พาน.ส. ยิ่งลักษณ์หนี เหตุใดไม่มีความผิด พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า ไม่ใช่ มันมี 2 กรณี เขาอาจพูดเหมารวมซึ่งตนไม่รู้และไม่ได้แก้ตัว ประเด็นแรกคือการใช้รถผิดนั้นผิดหรือไม่ เขาชี้แจงว่ารถได้ทีหลัง กล้องเห็นชัดเจนแต่ไม่เห็นหน้า ตรงนี้เป็นเรื่องของรัฐธรรมนูญที่เขียนในเรื่องกฎหมายป.วิอาญา ว่าหากตรวจสอบแล้วรถคันนี้ผิดกฎหมายคราวนี้จะผิดเรื่องการใช้รถ แต่หากหลักฐานยังไม่สมบูรณ์ มาตรา 29 เขียนไว้มองทุกคนเป็นผู้บริสุทธิ์ไว้ก่อน ไม่ใช่ว่าจะไปช่วย มันช่วยไม่ได้

“ประเด็นที่สองคือ การพาออก ต้องดูว่าผิดกฎหมายป.วิอาญาตรงไหน ถ้าพาออกไปจริง ออกไปตั้งแต่เมื่อไร มีหมายจับเมื่อไร โทษทางวินัยก็มีอยู่ ถ้าไปช่วยเหลือจริงๆจะมีคดีอาญาด้วย ให้เวลาหน่อย ถ้ารู้ว่าเขาไปอยู่ที่ไหน ตอนนี้ก็พอรู้แต่ผมยังพูดไม่ได้ ขอให้พ้นวันที่ 27 ก.ย.ไปก่อน” นายกฯ กล่าว

เมื่อถามว่าต้องดูที่เจตนาตำรวจที่พาหนีด้วยหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ต้องดูด้วย เจตนาถ้าไปจริงก็ช่วยเขาแน่นอน ไม่ต้องแปลอย่างอื่น เมื่อถามว่าน.ส.ยิ่งลักษณ์ติดคำสั่งศาลห้ามออกนอกประเทศ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ต้องดูกันอีกที อย่าเพิ่งเอากฎหมายมาสู้กัน เราไม่ได้รู้กฎหมายกันทั้ง 100 เปอร์เซ็นต์ ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นเอาความรู้สึกไปตัดสินคนทั้งหมดจะวุ่นวายไปใหญ่ เดี๋ยวก็คลี่คลาย ขอให้ใจเย็นๆ

เปรยคนช่วยเป็นลูกน้องเก่า

เมื่อถามย้ำว่าตอนนี้ทราบความคืบหน้าของน.ส.ยิ่งลักษณ์แล้วหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “บอกแล้วว่ารู้ แต่ยังไม่บอก หลัง วันที่ 27 ก.ย. ผมถึงจะบอกว่าอยู่ไหน” เมื่อถามว่าทราบแล้วหรือไม่ว่าใครเป็นผู้สั่งการ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า สื่อนำเสนอนาย ก. นาย ข. มันใครกัน คงไม่เรียกว่าสั่ง แต่คงรู้จักใครก็ไปฝากคนนี้คนนั้นช่วยกัน อาจเป็น ลูกน้องเก่าที่เขามาขอให้ทำ

เมื่อถามว่าแสดงว่าประเทศปลายทางแจ้งกลับมาแล้วใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ปฏิเสธว่า ยัง เขาจะแจ้งอะไร สายลับตนก็มี เมื่อถามว่าทราบหรือไม่ว่าน.ส.ยิ่งลักษณ์ขอลี้ภัยไปประเทศใด พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ไม่มี จะไปลี้ภัยเรื่องอะไร ภัยการเมือง การเมืองที่ไหนคดีอยู่ในศาล ตอนนี้ยังไม่รู้เพราะเขายังไม่ได้ลี้ภัย สื่อเขียนกันเองว่าเขาจะลี้ภัยจะได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ตอนนี้พอรู้ว่าน.ส.ยิ่งลักษณ์ อยู่ประเทศไหนแต่ต้องขอให้เขายืนยันอีกหน่อย อย่าเพิ่งไปพูดก่อนเลย เมื่อถามว่าถ้าประเทศใดยืนยันมารัฐบาลจะขอให้ส่งตัวกลับเลยหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ต้องดูว่ามีสัญญาส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนหรือไม่ เขาเคยส่งหรือไม่ และเราเคยขอไปกี่คนแล้ว และเป็นเรื่องแต่ละประเทศ จะไปบังคับอะไรเขาได้

รอศาลชี้ผิด-ถอนพาสปอร์ต

เมื่อถามว่าดูทิศทางจะซ้ำรอยนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ไม่รู้ คนไปไม่ค่อยมีปัญหา ไอ้คนอยู่ซวยทั้งปี วันนี้ทุกอย่างมันชัดเจน คดีความเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมมันดีกว่าไม่มีอะไรเลย วันนี้ทุกคดีออกมาหมด ขึ้นอยู่กับศาลจะตัดสิน”

เมื่อถามว่าต้องให้ตำรวจสากลหรืออินเตอร์ โพลเข้ามาช่วยด้วยหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์หัวเราะพร้อมกล่าวว่า เขาร่วมมือกันมาตั้งแต่ต้น ถ้าถึงเวลาเขาผิดแล้วหนีก็ต้องเอาตำรวจสากลมา เมื่อตำรวจสากลติดต่อไปเขาไม่ให้มา ตำรวจสากลจะไปทำอะไร ก็ติดต่อไป ทุกที่ ตำรวจสากลแจ้งคดีไป 129 ประเทศ เขาให้มาหรือยัง

เมื่อถามว่าเรื่องถอนพาสปอร์ตมีแนวทางอย่างไร พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ต้องดูว่าศาลตัดสินอย่างไร ถ้าตัดสินผิดก็เป็นผู้ต้องหา ถ้าเป็นผู้ต้องหาก็ทำได้ ซึ่งเป็นเรื่องหลักเกณฑ์ของกระทรวงการต่างประเทศ ทุกอย่างมีกติกา อย่าไปผลีผลามทำส่งเดชตามใจชอบไม่ได้ นี่คือการให้ความเป็นธรรมกับทุกคน

ปัดตอบนั่งนายกฯคนนอก

เมื่อถามว่าหลังวันที่ 27 ก.ย. นายกฯจะมาแถลงที่อยู่ของน.ส.ยิ่งลักษณ์ด้วยตนเองหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า คงไม่ต้องแถลงเอง ให้เขาชี้แจงว่าอยู่ที่ไหน ทำไมตนต้องยืนแถลงด้วย เรื่องนี้จะเปิดเผยผ่านใครก็ได้ โฆษกก็มี ไม่เช่นนั้นนายกฯเป็นโฆษกเอง เป็นมัน ทุกเรื่อง เป็นลูกไล่ทุกเรื่อง เราไม่ใช่ลูกไล่หรือลูกไม่ไล่ แต่เราเป็นเพื่อนกัน เราทำเพื่อประเทศชาติ ฉะนั้นอย่าหาจำเลยให้มากขึ้นเลย วันนี้จำเลยมีมากพอสมควรแล้ว จะเอา นายกฯ เป็นจำเลยอีกเรื่องมันไม่ไหว ถ้าตนไปตกอยู่ในฐานะนั้นแล้วจะทำงานได้หรือไม่ เห็นใจตนบ้าง

เมื่อถามว่าจะทำงานต่ออีก 5 ปีไหวหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า จะให้เป็นอะไรหรือ เมื่อถามว่าหากประชาชนต้องการให้เป็น นายกฯ ต่ออีก 5 ปี จะเอาด้วยหรือไม่ พล.อ. ประยุทธ์ย้อนถามว่า จะมาเป็นได้อย่างไร รัฐบาลต้องมาจากการเลือกตั้ง รัฐธรรมนูญเขียนไว้

เมื่อถามว่าจะลงเลือกตั้งด้วยหรือไม่ พล.อ. ประยุทธ์กล่าวปฏิเสธว่า ไม่ลง เมื่อถามย้ำว่าถ้าไม่ลงเลือกตั้งแล้วจะมาแบบไม่เลือกตั้งหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ไม่รู้ อย่ามาถามหาเรื่อง

นครบาลพร้อมรับมือ 27 ก.ย.

เวลา 11.00 น. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. กล่าวถึงการติดตามตัว น.ส.ยิ่งลักษณ์ ว่า ขณะนี้พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. ประสานทั้งทหารและหน่วยความมั่นคงทุกหน่วย ยังสรุปไม่ได้ว่าหลบหนีไปอยู่ที่ใด ส่วนการติดตามรถเบนซ์เร่งดำเนินการอยู่ ยังไม่สามารถเปิดเผยได้และไม่จำเป็นต้องตั้งชุดทำงานขึ้นใหม่ เนื่องจากพล.ต.อ. ศรีวราห์ เป็นผู้มีประสบการณ์และรู้ข้อกฎหมายอยู่แล้ว พยานหลักฐานที่ยังไปไม่ถึงก็ยังไม่มีการแจ้งกล่าวข้อหา แต่หากไปถึง ก็แจ้งหมดอยู่แล้ว ไม่ต้องห่วง

ผบ.ตร.กล่าวว่า ส่วนที่ฝ่ายกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ ระบุตำรวจ 3 นายที่เกี่ยวข้องกับการพาน.ส.ยิ่งลักษณ์หนี มีความผิดอาญานั้น ขอบคุณในข้อห่วงใย แต่ต้องเชื่อมั่นในสิ่งที่พล.ต.อ.ศรีวราห์ ทำเพราะเป็นผู้มีความรู้ความสามารถในเรื่องการทำสำนวนและข้อกฎหมายอยู่แล้ว ส่วนตำรวจ 3 นาย ขณะนี้คณะกรรมการกำลังสืบสวนสอบสวนอยู่ คาดว่าหากได้ข้อสรุปจะรายงานขึ้นมา จึงอย่าเป็นกังวล เพราะสังคมสามารถตรวจสอบการทำงานของตำรวจและหน่วยงานต่างๆ ได้อยู่แล้ว

พล.ต.อ.จักรทิพย์กล่าวว่า มาตรการดูแลความสงบเรียบร้อย วันที่ 27 ก.ย. ที่ศาลฎีกาฯนัดฟังคำพิพากษาคดีรับจำนำข้าวนั้น ตนสั่งให้ตำรวจนครบาลเตรียมกำลังรักษาความปลอดภัยพร้อมอยู่แล้ว ให้ประเมินมวลชนและกำลังเจ้าหน้าที่เชื่อว่าไม่น่ากังวล มีเพียงผู้ที่มาให้กำลังใจและมาฟังคำพิพากษาตามปกติ หากไม่ติดประชุมสำคัญจะไปตรวจความเรียบร้อยด้วยตัวเอง ส่วนการจับตา กลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองฝ่ายความมั่นคงเฝ้าดูอยู่ เชื่อว่าวันที่ 27 ก.ย.ไม่มีอะไรน่า กังวล

บช.น.ถกปมคัมรี่

เวลา 11.30 น. ที่บช.น. พล.ต.ต.ภาณุรัตน์ หลักบุญ รองผบช.น. พ.ต.อ.มานพ น่วมลิวงศ์ รองผบก.น.4 พ.ต.อ.รวิโรจน์ เปล่งศรียศภัทร รรท.ผกก.(กลุ่มงานสอบสวน) บก.สส.บช.น. พ.ต.ท.ภูริส จินตรานันท์ รองผกก.สส.บก.น.5 พ.ต.ต.อรุณ เลิศศักดิ์เกษตร สว.(สอบสวน) สน.วัดพระยาไกร ร่วมประชุมคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงเพื่อสืบสวนกรณีมีเหตุอันควรสงสัยว่า พ.ต.อ.ชัยฤทธิ์ อนุฤทธิ์ รองผบก.น.5 มีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับการนำรถยนต์โตโยต้ารุ่นคัมรี่ สีเทา ติดแผ่นป้ายทะเบียน ฌข 5323 กรุงเทพมหานคร ซึ่งตรวจสอบไม่พบหมายเลขทะเบียนรถดังกล่าวในสารบบของกรมการขนส่งทางบก

พล.ต.ต.ภาณุรัตน์เผยว่า พล.ต.อ.ศรีวราห์สั่งการให้ดำเนินการตรงไปตรงมา ยึดระเบียบแบบแผนตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด และแสวงหาพยานหลักฐานให้ครบถ้วน คำสั่งที่อยู่ในมือค่อนข้างสั้น บอกแค่พ.ต.อ.ชัยฤทธิ์ มีพฤติการณ์นำรถยนต์คัมรี่ต้องสงสัยซึ่งไม่มีในสารบบ ส่วนจะมีเรื่องเกี่ยวข้องกับรองผบก.น.5 อะไรกับใครเมื่อไร ส่วนนี้พล.ต.อ.ศรีวราห์ สอบปากคำไว้ทั้งหมดแล้ว เป็นแฟ้มให้ตนมา ตนจะดำเนินการเติมเต็มในส่วนที่ยังไม่มีให้สำนวนมากขึ้น ส่วนตำรวจอีก 2 นายที่เกี่ยวข้องอาจสอบปากคำเพิ่มเติมไว้เป็นพยาน แต่การกระทำผิดทางวินัยต้องให้ต้นสังกัดเป็นผู้ตรวจสอบ

เชิญตัวพ.ต.อ.ให้ปากคำ

พล.ต.ต.ภาณุรัตน์กล่าวว่า ส่วนการเชิญ ตัวรองผบก.น.5 มาให้ปากคำนั้น พล.ต.ท. ศานิตย์ มหถาวร ผบช.น. ได้ลงนามหนังสือส่งไปแล้ว โดยจะเรียกตัวพ.ต.อ.ชัยฤทธิ์ มาสอบภายใน 7 วัน ยืนยันว่าจะต้องแสวงหาพยานหลักฐานทุกอย่างให้ครบถ้วนเพื่อให้ เกิดความเป็นธรรม ขอเวลารวบรวมพยาน หลักฐานสักระยะ ส่วนจะมีเรื่องอะไรบ้างนั้น ต้องตรวจสอบเอกสารและสอบปากคำพ.ต.อ. ชัยฤทธิ์ เมื่อตรวจสอบแล้ว ตอบมาอย่างไรจะเป็นตัวชี้ว่าผลของการดำเนินการจะมีความผิดทางอาญาหรือผิดทางวินัย

เมื่อถามว่าศาลมีคำสั่งให้อดีตนายกฯ ห้ามออกนอกประเทศ แต่การขับรถไปถือว่ามีเจตนาหรือไม่ พล.ต.ต.ภาณุรัตน์กล่าวว่า ต้องตรวจสอบรายละเอียดให้แน่ชัดอีกครั้ง เนื่องจากอดีตนายกฯ เป็นจำเลยในคดีรับจำนำข้าว ศาลให้ประกันตัว มีเงื่อนไขห้าม เดินทางออกนอกประเทศ รายละเอียดดังกล่าวต้องให้พ.ต.อ.ชัยฤทธิ์ เป็นผู้ชี้แจง สาเหตุที่เปลี่ยนคณะกรรมการนั้น เพื่อเติมเต็มสำนวนให้สมบูรณ์และครบถ้วนมากขึ้น

พตอ.คัมรี่เข้ารับทราบข้อหา

เมื่อเวลา 16.00 น. ที่ห้องศปก.สน.ปทุมวัน พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร ผบช.น. พร้อมด้วยพล.ต.ต.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา รอง ผบช.น. พล.ต.ต.ดร.ทรงพล วัธนะชัย ผบก.น.6 พ.ต.อ.ภพธร จิตต์หมั่น ผกก.สน.ปทุมวัน ร่วมกันสอบปากคำพ.ต.อ.ชัยฤทธิ์ อนุฤทธิ์ รอง ผบก.น.5 โดยใช้เวลา 30 นาที

พล.ต.ท.ศานิตย์กล่าวว่า เบื้องต้นเจ้าหน้าที่แจ้งข้อหาในความผิดฐานเรื่องของเอกสารเท่านั้น คดีแบ่งเป็น 2 ส่วนคือคดีอาญา โดยบช.น.จะตั้งทีมสอบสวนมาร่วมด้วยอีกชุดหนึ่ง และอีกส่วนหนึ่งคือทางวินัย ซึ่งกำชับเรื่องเอาข้อเท็จจริงมาเป็นตัวตั้งตามพยาน หลักฐาน ทั้งนี้ ไม่อยากให้คิดว่าเป็นเรื่องของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ซึ่งทุกอย่างจะทำตาม พยานหลักฐานเพื่อให้เกิดความชัดเจนในการคลี่คลายคดีดังกล่าว ขณะนี้พ.ต.อ.ชัยฤทธิ์ ถือเป็นเพียงผู้ถูกกล่าวหาเท่านั้น ซึ่งหลังจากนี้เมื่อเข้าพบพนักงานสอบสวนก็จะแจ้งข้อกล่าวหา “ปลอมและใช้เอกสารราชการปลอม” ซึ่งเป็นความผิดในเรื่องของเอกสารเท่านั้น

ด้านพล.ต.ต.ทรงพลกล่าวว่า ทั้งนี้อยู่ระหว่างการสอบปากคำพ.ต.อ.ชัยฤทธิ์ ว่าจะรับหรือไม่รับทราบข้อกล่าวหา ขณะเดียวกันได้จัดชุดสืบสวนลงพื้นที่หาข้อมูลมาประกอบการสอบปากคำเพื่อหาบุคคลที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม หากพบว่ามีผู้เกี่ยวข้องก็ต้องโดนทั้งหมด

ขับรถแต่ไม่ได้ปลอมทะเบียน

เวลา 19.20 น. พล.ต.ต.ภัคพงษ์เผยว่า หลังจากเจ้าหน้าที่เชิญพ.ต.อ.ชัยฤทธิ์มาสอบปากคำนานกว่า 3 ชั่วโมง ผู้ต้องหาปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการปลอมป้ายทะเบียนรถยนต์ แต่รับเพียงว่าเป็นคนขับรถคันดังกล่าวจริง

ด้านพ.ต.อ.ภพธรกล่าวว่า จากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานพบว่า แผ่นป้ายทะเบียน ฌย 2123 กรุงเทพมหานคร ที่พบในรถคันเกิดเหตุ ผลออกมายืนยันว่าป้ายทะเบียนไม่ได้ออกโดยกรมการขนส่งทางบก ส่วนทะเบียน ฌข 5323 กรุงเทพมหานคร ที่ติดกับรถ อยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริง และยังไม่พบผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องเพิ่มเติมนอกจากตำรวจทั้ง 3 ราย ทั้งนี้ การสอบปากคำพ.ต.ท.สามิตร ชัยอิ่นคำ สารวัตรกองกำกับการสืบสวนตำรวจภูธร นครปฐม และ ด.ต.พรพิพัฒน์ มากบุญงาม ผู้บังคับหมู่ฝ่ายอำนวยการ ตำรวจภูธรนครปฐม เรียกมาสอบในฐานะพยานเท่านั้น

ชี้คดียึดทรัพย์ไม่สะดุด

นายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวง การคลัง เผยว่า กระทรวงการคลังยังเดินหน้าสืบทรัพย์สินของน.ส.ยิ่งลักษณ์ เพื่อชดใช้ความเสียหายโครงการรับจำนำข้าว 3.5 หมื่นล้านบาท โดยจะทยอยส่งให้กรมบังคับคดี ยึดอายัดต่อไป ซึ่งกระทรวงการคลังได้สืบทรัพย์ของอดีตนายกฯ เป็นบัญชีเงินฝาก 12 บัญชี ให้กรมบังคับคดียึดอายัดก่อนหน้านี้ไปแล้ว คาดว่าจะไม่มีเงินฝากหลงเหลืออยู่แล้ว โดยทรัพย์สินที่ดำเนินการสืบอยู่จะเป็นทรัพย์สิน อื่นๆ ที่ยังไม่สามารถเปิดเผยลายละเอียดได้

“ไม่ว่าคำตัดสินของศาลฎีกาฯ วันที่ 27 ก.ย. จะออกมาอย่างไร กระทรวงการคลังก็ยังต้องเดินหน้าสืบทรัพย์เพื่อมาชดใช้ความเสียหายที่เกิดขึ้น เพราะเป็นคนละความผิดกัน” นายสมชัยกล่าว และที่ผ่านมาคณะกรรมการสืบทรัพย์ของกระทรวงการคลัง ส่งหนังสือไปยังหน่วยงานต่างๆ อาทิ ป.ป.ช. สถาบันการเงินและธนาคารพาณิชย์ทุกแห่ง กรมที่ดิน ให้ช่วยตรวจทรัพย์ของน.ส.ยิ่งลักษณ์ และให้แจ้งกลับมาที่กระทรวงการคลัง ซึ่งคลังต้องระบุรายละเอียดรวมถึงการถ่ายภาพเพื่อส่งให้กรมบังคับคดียึดทรัพย์ต่อ โดยการยึดทรัพย์มีอายุความ 10 ปี

เผยขั้นตอนศาลอ่านคำตัดสิน

นายสุรศักดิ์ ตรีรัตน์ตระกูล อธิบดีอัยการสำนักงานการ สอบสวน คณะทำงานคดีโครงการรับจำนำข้าว กล่าวว่า ศาลฎีกาฯ นัดฟังคำพิพากษาเวลา 09.00 น. วันที่ 27 ก.ย. ในฐานะอัยการโจทก์คณะทำงานอัยการคดีนี้จะไปฟังคำพิพากษาเเน่นอน คาดว่าองค์คณะจะทำคำวินิจฉัยกลางช่วงเช้าไว้เเล้ว พอถึงเวลานัดก็ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาได้เลย คาดว่าคงไม่เกิน 09.30 น. และครั้งนี้ศาลไม่ต้องรอตัวจำเลยว่าจะมาหรือไม่เพราะเคยออกหมายจับปรับนายประกันไปเเล้ว ถือว่าหลบหนีประกันในชั้นศาล พอถึงเวลาก็อ่านลับหลังได้เลย เป็นไปตามข้อกฎหมาย

เมื่อถามว่าหากศาลยกฟ้องเตรียมยื่นอุทธรณ์หรือไม่ นายสุรศักดิ์กล่าวว่าต้องดูว่าศาลมีคำพิพากษาอย่างไร หากศาลยกฟ้องให้เหตุผลว่าอย่างไร หากศาลลงโทษ มีเหตุผลอย่างไร ทีมอัยการมีความพร้อมอยู่แล้ว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขั้นตอนทางกฎหมายเกี่ยวกับการอ่านคำพิพากษาคดีรับจำนำข้าวและโครงการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐที่จะอ่านคำพิพากษาลับหลังจำเลยวันที่ 27 ก.ย. นั้น เป็นการนัดอ่านคำพิพากษาลับหลัง หลังจากจำเลยไม่เดินทางมาวันที่ 25 ส.ค. โดย เมื่อถึงเวลานัดหากจำเลยเดินทางมา ศาลจะเริ่มประชุมทำคำพิพากษาเพื่ออ่านให้จำเลยฟังต่อหน้า

อ่านลับหลังจำเลยตามกม.กำหนด

ส่วนที่จำเลยยังไม่เดินทางมาตามนัด จะมีการรายงานเป็นลายลักษณ์อักษรว่าได้รอจำเลยจนถึงเวลาเท่าใด หลังจากนั้นองค์คณะจะอ่านคำพิพากษากลางที่ทำไว้ในช่วงเช้าก่อนขึ้นบัลลังก์ ซึ่งตามพ.ร.บ.ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2542 มาตรา 20 บัญญัติให้การทำคำวินิจฉัยชี้ขาดหรือการพิพากษาคดี ให้ผู้พิพากษาทำความเห็นส่วนตนเป็นหนังสือพร้อมแถลงด้วยวาจาต่อที่ประชุมก่อนการลงมติ และให้ถือมติตามเสียงข้างมาก องค์คณะอาจมอบผู้พิพากษาคนใดคนหนึ่งในองค์คณะเป็นผู้จัดทำคำสั่งหรือคำพิพากษาตามมตินั้นก็ได้ และประกาศในราชกิจจานุเบกษา ส่วนความเห็นในการวินิจฉัยคดีของผู้พิพากษา ในองค์คณะทุกคนให้เปิดเผยตามวิธีการที่ประธานศาลฎีกากำหนด

เเปลว่าหากคู่ความไม่มีใครมาศาลก็จะออกนั่งพิจารณาเเละสั่งงดอ่านคำพิพากษาเพราะถือว่าจำเลยทราบคำพิพากษาโดยชอบเเล้ว เเต่กรณีที่วันดังกล่าวหากอัยการโจทก์เดินทางมา ศาลจะอ่านคำพิพากษากลางที่ทำไว้ในวันนั้นให้โจทก์ฟังเเละถือว่าเป็นการอ่านโดยชอบด้วยกฎหมาย เเละถ้าวันดังกล่าวศาลมีคำพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย เเต่จำเลยไม่มาศาล ศาลจะให้ออกหมายจับจำเลยมาเพื่อปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาล เเต่หากยกฟ้อง หากศาลไม่ได้สั่งขังจำเลยระหว่างอุทธรณ์ ตัวจำเลยก็จะถือเป็นอิสระ

เข้มงวดเข้าฟังหน้าบัลลังก์

หลังจากอ่านคำพิพากษาในคดีนี้คู่ความทั้งสองยังมีสิทธิยื่นอุทธรณ์ตามรัฐธรรมนูญปี 2560 มาตรา 195 วรรคสี่ บัญญัติให้อุทธรณ์คำพิพากษาของศาลฎีกาฯ ต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาได้ภายใน 30 วันนับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา และตามมาตรา 195 วรรคเจ็ด บัญญัติให้หลักเกณฑ์และวิธีการอุทธรณ์ให้เป็นไปตามพ.ร.บ.ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้ประกาศใช้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 27 ก.ย.นี้ ระเบียบการเข้าฟังในห้องพิจารณาคดี ทางศาลจะยังเข้มงวดเหมือนวันที่ 25 ส.ค. ในห้องพิจารณาจะจัดพื้นที่สำหรับคู่ความอัยการโจทก์-จำเลย, ทนายความผู้ติดตาม, เครือญาติ รวมทั้งสื่อ ในส่วนของสื่อมวลชนให้ลงรายชื่อโดยอนุญาตให้เข้าฟังห้องพิจารณาสำนักข่าวละ 1 คน จากที่เคยส่งรายชื่อลงทะเบียนไปก่อนหน้านี้เนื่องจากพื้นที่ห้องพิจารณาค่อนข้างจำกัด รองรับบุคคลได้กว่า 100 คน เเละห้ามนำอุปกรณ์สื่อสารทุกชนิดเข้าห้องพิจารณา โดยจะไม่มีการถ่ายทอดสัญญาณเสียงขณะอ่านคำตัดสิน ออกมานอกห้องพิจารณา

ส่วนด้านหน้าศาลฎีกาฯ กำหนดจุดตั้งเเผงเหล็กกั้น เเต่ครั้งนี้จะไม่มีกันปิดกันพื้นที่มากเหมือนวันที่ 25 ส.ค. เนื่องจากประเมินว่าจะมีมวลชนมาไม่มาก เพราะเชื่อว่าน.ส.ยิ่งลักษณ์ จะไม่เดินทางมาในวันดังกล่าว

บังคับใช้กม.จ่ายรางวัลนำจับ

เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่พ.ร.บ. มาตรการกำกับและติดตามจับกุมผู้หลบหนีการปล่อยชั่วคราวโดยศาล พ.ศ.2560 มีทั้งหมด 10 มาตรา โดยให้แต่งตั้งผู้กำกับดูแลผู้ถูกปล่อยตัวชั่วคราวเพื่อป้องกันการหลบหนี หรือภัยอันตรายหรือความเสียหายที่อาจ เกิดขึ้นในระหว่างที่ได้รับการปล่อยชั่วคราว นอกจากนี้ ยังมีเงินสินบนซึ่งจ่ายให้แก่ ผู้แจ้งความนำจับ และเงินรางวัลที่จ่ายให้แก่ เจ้าหน้าที่ผู้จับตามพ.ร.บ.นี้ โดยพ.ร.บ.นี้ ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด 30 วันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา

เหตุผลประกาศใช้พ.ร.บ.ฉบับนี้คือ โดยที่มีผู้ต้องหาหรือจำเลยที่ได้รับการปล่อยชั่วคราวโดยศาลหลบหนีไป ทำให้การพิจารณาพิพากษาคดีของศาลต้องล่าช้า ส่งผลกระทบต่อนโยบายป้องปรามอาชญากรรม สาเหตุสำคัญคือการไม่มีเจ้าพนักงานกำกับดูแลผู้ถูกปล่อยชั่วคราวให้ปฏิบัติตามเงื่อนไขต่างๆ ที่ศาลกำหนดเพื่อป้องกันการหลบหนีหรือภัยอันตรายหรือความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น

นอกจากนี้ เมื่อเกิดการหลบหนีก็ไม่มี เจ้าพนักงานที่มีอำนาจหน้าที่โดยตรง ติดตามจับกุมผู้ต้องหาหรือจำเลยเหล่านั้นกลับมาดำเนินคดี เพื่อให้การพิจารณาพิพากษาคดี ดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ สมควรกำหนดมาตรการกำกับดูแลผู้ถูกปล่อยชั่วคราวและการติดตามจับกุมผู้ต้องหาหรือจำเลยที่หลบหนี รวมทั้งการนำเงินค่าปรับตามคำพิพากษาในคดีอาญามาใช้เป็นค่าใช้จ่ายในมาตรการดังกล่าว จึงจำเป็นต้องตราพ.ร.บ.นี้

กรธ.ยันเปิดช่องร้องตรงศาลรธน.

ที่รัฐสภา นายอุดม รัฐอมฤต โฆษกกรธ. กล่าวถึงร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ ที่กรธ.เสนอให้สนช.พิจารณาวันที่ 28 ก.ย.ว่า กำหนดหน้าที่ของศาลให้สอดคล้องรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 คือ 1.พิจารณาคำร้องที่เกี่ยวข้องกับความชอบด้วยกฎหมายกับรัฐธรรมนูญ 2.ดูแลองค์กรที่ต้องทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญว่าขัดแย้งกันหรือไม่ เช่น นิติบัญญัติกับฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติกับองค์กรอิสระ และ 3.วินิจฉัยคุณสมบัติของ ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ส่วนเรื่องใหม่คือ เปิดช่องให้ร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญได้โดยไม่ต้องมีข้อพิพาท เพื่อปิดช่องไม่ให้ปัญหาบานปลายบ้านเมืองเสียหาย แต่มีการตั้งข้อสังเกตว่าจะทำให้ศาลรัฐธรรมนูญเขียนรัฐธรรมนูญเองใช่หรือไม่

นายอุดมกล่าวว่า ส่วนที่มีข้อโต้แย้งกันเยอะคือ การให้ประชาชนร้องตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 213 ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 กรธ.ยังยืนยันในหลักการ คือให้ประชาชนมีสิทธิร้องตรง เมื่อไปฟ้องหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้วไม่มีการตอบรับ หรือครบกำหนด เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ศาลต้องมีภาระมากเกินไป ส่วนหน่วยงานใดที่ถูกกำหนดให้การวินิจฉัยขององค์กรนั้นถือเป็นที่สุดก็ไม่อาจนำมาร้องอีกได้ เช่น คณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม (กต.) คณะกรรมการตุลาการศาลปกครอง (ก.ศป.)

มีมาตรการป้องกันละเมิดศาลรธน.

นายอุดมกล่าวว่า นอกจากนี้ ยังมีมาตรการป้องกันการละเมิดศาลรัฐธรรมนูญ กำกับดูแลความเรียบร้อยบริเวณพื้นที่ศาลเพื่อคงไว้ซึ่งความยุติธรรม ปราศจากการครอบงำด้วยการสร้างกระแสมาใช้อำนาจข่มขู่ เช่นเดียวกับศาลยุติธรรม หรือศาลปกครอง ถือว่าของเราไปไกลกว่าของต่างประเทศที่จะมีมาตรการป้องกันแค่บริเวณพื้นที่ศาล แต่ของเราป้องกันถึงการวิพากษ์วิจารณ์ที่กระทบต่อการทำหน้าที่ เช่น การเขียนบทความสร้างกระแส แต่ปกติแล้วศาลจะดูจากเจตนาของผู้วิจารณ์ก่อนหากทำความเข้าใจกันได้ก็ไม่มีปัญหา

เมื่อถามว่ามีข้อเสนอแนะจากศาลรัฐธรรมนูญที่กรธ.ไม่ปรับแก้ให้หรือไม่ นายอุดมกล่าวว่า เรารับฟังแล้วแก้ไขให้หลายส่วน แต่มีบางส่วนที่ไม่แก้ไขให้ เช่น คำขอให้ ตัดข้อกำหนดให้ศาลต้องปฏิบัติหน้าที่เต็มเวลาออกไป เนื่องจากจะมีคนคอยมาเช็กเวลาเข้าออกการทำงาน แต่กรธ.ไม่ได้ตัด พร้อมชี้แจงว่าต้องกำหนดเวลาทำงานให้ชัดเจนเพราะศาลรัฐธรรมนูญไม่ใช่ข้าราชการเหมือนศาลยุติธรรม

ดึง”พงศ์พร”กลับผอ.สำนักพุทธ

วันที่ 26 ก.ย. พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกฯ แถลงว่า นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รมต.ประจำสำนักนายกฯ ขอความเห็นชอบให้พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ กลับไปปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่ง ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) และให้ นายมานัส ทารัตน์ใจ กลับไปเป็น อธิบดีกรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรมเช่นเดิม และยังมีคำสั่งให้ พศ.อยู่ภายใต้กำกับดูแลของพล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาปกรณ์ รองนายกฯ ในฐานะกำกับดูแลกรมการศาสนาและกระทรวงวัฒนธรรมอยู่ด้วย

โฆษกรัฐบาลกล่าวว่า หลังช่วงต้นก.ย.มีคำสั่งให้พ.ต.ท.พงศ์พร ไปประจำสำนักปลัดสำนักนายกฯ และอนุมัติรับโอนนายมานัส ทารัตน์ใจ อธิบดีกรมการศาสนา มาปฏิบัติหน้าที่แทนนั้น คำสั่งดังกล่าวอยู่ระหว่างกระบวนการนำขึ้นกราบบังคมทูลแต่ยังไม่ได้กราบบังคมทูล นายกฯ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องแก้ไขปัญหาข้อขัดแย้งระหว่างพศ.กับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ถือว่าแก้ไขไปได้ในระดับที่น่าพอใจ ประกอบกับพ.ต.ท.พงศ์พร ไม่ได้มีความผิด โดยมีผล 1 ต.ค.

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ กล่าวว่า ที่ผ่านมาตนจำเป็นต้องเอาออกมาชั่วคราวเพื่อมาคุยจัดระบบว่าเราจะทำเรื่องพระพุทธศาสนาอย่างไร มาวางแผนแม่บท เสร็จแล้วตนจะให้กลับไปทำหน้าที่เดิม ไม่มีความผิดอะไรทั้งสิ้น และอย่ามาหาว่ารัฐบาลโลเลกลับไปกลับมา เพียงแต่ในช่วงนั้นมีปัญหาอยู่ก็เอาออกมาก่อนเพื่อทำให้เกิดความสงบ และเดี๋ยวเอากลับเข้าไปทำใหม่ก็จบแค่นั้น “ขออย่าไปขยายความกันอีกเลย ท่านเป็นคนดี ส่วนพระท่านก็ส่งข่าวว่าพร้อมจะร่วมมือทุกอย่าง ผิดก็ว่าไปตามผิด ฉะนั้นไม่มีประโยชน์ว่ากันไปมา เพราะเป็นเรื่องเฉพาะคน เฉพาะราย เฉพาะพื้นที่”

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน