สั่งจำคุกอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ เป็นเวลา 5 ปีโดยไม่รอลงอาญา ศาลอ่านคำพิพากษาลับหลัง ความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริตเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ ผู้หนึ่งผู้ใด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ในโครงการจำนำข้าว พร้อมสั่งให้ติดตามตัวมารับโทษตามคำพิพากษา ด้านตำรวจเตรียมรอหมายบังคับคดีเพื่อนำเข้าระบบประกาศสืบจับ จากนั้นประสานไปยังตำรวจสากลเพื่อขอออกหมายน้ำเงิน และหมายแดงให้สืบเสาะจับกุม ได้เค้าปูใช้พาสปอร์ตสีแดงเข้าประเทศอังกฤษ เตรียมขอลี้ภัยการเมือง

ทนายเชื่อ”ปู”ติดตามข่าวอยู่

เมื่อเวลา 08.45 น. วันที่ 27 ก.ย. ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นายนรวิชญ์ หล้าแหล่ง ทนายความน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ พร้อมทีมติดตาม น.ส.ยิ่งลักษณ์บางส่วน เดินทางมาฟังคำพิพากษาคดีปล่อยปละละเลยไม่ระงับยับยั้งโครงการรับจำนำข้าวทำให้รัฐเสียหายกว่า 5 แสนล้านบาท ที่มีน.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นจำเลย ขณะที่แกนนำพรรคเพื่อไทยและอดีตส.ส.ไม่ได้มาร่วมรับฟังคำพิพากษา อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงเวลานัดน.ส.ยิ่งลักษณ์ก็ไม่ปรากฏตัวแต่อย่างใด

นายนรวิชญ์กล่าวก่อนเข้าฟังคำพิพากษาว่า จนถึงตอนนี้ยังไม่ได้รับการประสานจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ แต่ทนายต้องมาทำหน้าที่ตามปกติ ซึ่งวันนี้ศาลคงไม่มีเหตุให้เลื่อนอ่านคำพิพากษาและไม่ทราบว่าศาลจะใช้เวลานานเท่าใด ส่วนเรื่องอุทธรณ์ ขอให้รอฟังศาลก่อน ถ้ามีคำพิพากษาออกมาคงมีช่องทางแจ้ง ถึงน.ส.ยิ่งลักษณ์อีกครั้ง และเชื่อว่าน.ส. ยิ่งลักษณ์คงติดตามข่าวสารผ่านสื่อมวลชน และจนถึงขณะนี้ตนไม่ทราบว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ อยู่ที่ไหน ส่วนที่มีคนมองว่าเมื่อคำพิพากษาออกมาแล้ว น.ส.ยิ่งลักษณ์จะนำมาเป็นเหตุผลเพื่อลี้ภัยทางการเมืองหรือไม่นั้น ตนไม่ทราบว่าใครมอง

มวลชนยังตามมาให้กำลังใจ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับบรรยากาศรอบศาลฎีกาฯ ยังคงมีมวลชนมาติดตาม การพิจารณาคดี โดยส่งเสียงให้กำลังใจ “รักยิ่งลักษณ์” “ยิ่งลักษณ์สู้ๆ” “เลิฟยูดูไบ” แม้ น.ส.ยิ่งลักษณ์จะไม่ปรากฏตัวก็ตาม โดยวันนี้เจ้าหน้าที่ไม่ได้กั้นพื้นที่ให้มวลชนอยู่บริเวณถนนด้านหน้าอาคารกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เหมือนเมื่อวันที่ 25 ส.ค.แล้ว โดยมวลชนสามารถมาอยู่ด้านหน้าศาลฎีกาฯ ได้ แต่ยังกั้นแผงเหล็กโดยรอบทางเข้าศาลฎีกาฯไว้

นอกจากนี้ยังมีสื่อมวลชนทั้งในและต่างประเทศเดินทางมาติดตามทำข่าวจำนวนมาก ขณะเดียวกันยังมีผู้แทนสถานทูตจากออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สหรัฐ และแคนาดา มาติดตามผลของคดี ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยจากกองบังคับการตำรวจ นครบาล 2 (บก.น.2) กว่า 2 กองร้อย

ศาลประชุม-อ่านคำพิพากษา

เวลา 10.00 น. ที่ห้องพิจารณาคดี ศาลฎีกาฯ นายไพโรจน์ โปเล็ม เลขานุการศาลฎีกาฯ กล่าวว่า ได้รับมอบอำนาจองค์คณะ ผู้พิพากษาคดีจำนำข้าวให้แจ้งข้อมูลเบื้องต้นว่า การอ่านคำพิพากษาครั้งนี้ เป็นการเลื่อนมาจากวันที่ 25 ส.ค. เนื่องจากจำเลยไม่มาศาลที่ออกหมายจับไปแล้ว ศาลจึงมีอำนาจตามกฎหมาย สามารถอ่านคำพิพากษาโดยไม่ต้องมีตัวจำเลยได้ องค์คณะผู้พิพากษา ได้ประชุมหารือเพื่อจัดทำคำพิพากษากลาง ตั้งแต่เวลา 07.00 น แต่กำหนดเดิมคือนัดอ่านคำพิพากษาเวลา 09.00 น. แต่คาดว่า เวลา 11.00 น. จึงจะอ่านคำพิพากษาได้ ทั้งนี้ ไม่ถือว่าล่าช้า เป็นเรื่องปกติของการทำงาน

จากนั้นเวลา 09.00 น. นายชีพ จุลมนต์ รองประธานศาลฎีกา เจ้าของสำนวนคดีจำนำข้าว พร้อมองค์คณะผู้พิพากษารวม 9 คน นัดอ่านคำพิพากษาเป็นครั้งที่ 2 หลังจากวันที่ 25 ส.ค. นัดฟังคำพิพากษาครั้งแรก น.ส.ยิ่งลักษณ์ จำเลย ไม่มาศาลตามนัด ซึ่งครั้งแรกมีเพียงทนายความมาศาลแล้วยื่นคำร้องต่อศาลขอเลื่อนนัดอ้างเหตุ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ป่วยน้ำในหูไม่เท่ากัน วิงเวียนศีรษะรุนแรง แต่ฝ่ายอัยการโจทก์คัดค้านไม่เชื่อว่าป่วยเพราะไม่มีใบรับรองแพทย์ อีกทั้งไม่เชื่อว่าอาการจะหนักจนไม่สามารถมาศาลได้ ขณะที่องค์คณะฯ ก็เห็นว่าน่าจะมีพฤติการณ์หลบหนี จึงสั่งปรับนายประกันเต็มวงเงินในสัญญาประกัน 30 ล้านบาท และให้ออกหมายจับ น.ส. ยิ่งลักษณ์ เพื่อติดตามตัวมาฟังคำพิพากษาโดยนัดอ่านคำพิพากษาอีกครั้งในวันนี้

มติเอกฉันท์คุก 5 ปีไม่รออาญา

แต่เมื่อวันนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่มาแสดงตัวต่อศาล และเจ้าหน้าที่ยังไม่สามารถติดตามตัวจำเลยมาศาลได้ตามหมายจับ องค์คณะฯ จึงปฏิบัติตามขั้นตอน พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2542 มาตรา 32 อ่านคำพิพากษาลับหลังจำเลยทันที โดยถือว่าจำเลยรับทราบผลคำพิพากษาแล้ว ซึ่งฝ่ายอัยการสูงสุดโจทก์ มีคณะทำงานอัยการ ร่วมฟังคำพิพากษา ส่วนฝ่ายจำเลยมีคณะทนายความจำเลย และ ผู้ติดตาม 2 ฝ่ายจำนวนหนึ่งมาศาล

องค์คณะศาลฎีกาฯ มีมติเอกฉันท์ พิพากษาให้จำคุก 5 ปีไม่รอลงอาญา น.ส.ยิ่งลักษณ์ จำเลยคดีปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ตามพ.ร.บ.ว่าด้วย ป.ป.ช. มาตรา 123/1 ซึ่งบทหนักสุดที่ละเลยการตรวจสอบระบายข้าวจีทูจี จนทุจริตเสียหายกับกระทรวงคลัง ประเทศชาติ โดยศาลให้ออกหมายจับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ จำเลย มารับโทษตามคำพิพากษาต่อไป (อ่านรายละเอียดหน้า 3 )

มติคุก8ต่อ1-ไม่รออาญาเอกฉันท์

คำสั่งศาลระบุ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 (เดิม) และ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 123/1 องค์คณะฯ จึงมีมติว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดกรรมเดียว ผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษบทหนักสุดตามพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริต มาตรา 123/1 จำคุก 5 ปี โดยมีมติเอกฉันท์ทั้ง 9 เสียง ไม่รอการลงโทษจำเลย โดยให้ออกหมายจับจำเลยมารับโทษตามคำพิพากษาต่อไป สำหรับมติที่องค์คณะฯ พิจารณาลงโทษจำเลย 5 ปีนั้นเป็นมติเสียงข้างมาก 8-1

โดยวันนี้การอ่านคำพิพากษาศาลใช้เวลาตั้งแต่ 11.15 น. จนเสร็จสิ้นในเวลา 15.00 น. เเต่ปรากฏว่าระหว่างนั้นเวลาประมาณ 13.00-14.00 น. มีสื่อมวลชนได้รายงานผลคำพิพากษาว่าศาลลงโทษจำคุก น.ส.ยิ่งลักษณ์ จำเลย เป็นเวลา 5 ปี ไม่รอลงอาญา ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนที่องค์คณะจะอ่านคำพิพากษาเสร็จ โดยคาดว่าจะมีรายงานเรื่องดังกล่าวต่อองค์คณะฯ คดีนี้ทราบหลังจากนี้ เพื่อทำการสอบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นต่อไป

อย่างไรก็ตาม แม้ศาลฎีกาฯ จะมีคำพิพากษาออกมาแล้วแต่ยังไม่ถึงที่สุด เนื่อง จากปัจจุบันมีการบังคับใช้รัฐธรรมนูญ ปี 2560 แล้ว ซึ่งมาตรา 195 วรรคสี่ บัญญัติรับรองสิทธิคู่ความในคดียื่นอุทธรณ์คดีได้ทั้งในประเด็นข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาภายใน 30 วันนับจากวันที่ศาลฎีกาฯ มีคำพิพากษา

ละเว้นทำให้เกิดความเสียหาย

คดีนี้ อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นจำเลยคดีหมายเลขดำ อม.22/2558 ต่อศาลเมื่อวันที่ 19 ก.พ. 2558 ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริตเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปีหรือปรับตั้งแต่ 2,000-20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามพ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2554 ระวางโทษจําคุกตั้งแต่ 1-10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 20,000-200,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ จากกรณีปล่อยปละละเลยไม่ยับยั้งโครงการจำนำข้าวที่มีการกำหนดกรอบวงเงิน ดำเนินการ 5 แสนล้านบาท กระทั่งทำให้รัฐได้รับความเสียหาย

กระทรวงการคลังสรุปตัวเลขความเสียหายอันเกิดจากการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกปีการผลิต 2555/56 และ ปี2556/57 เป็นเงิน 178,586,365,141.17 โดยให้น.ส. ยิ่งลักษณ์ รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ตามพ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของ เจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 มาตรา 8 และ 10 ในเฉพาะส่วนการกระทำของตนในอัตราร้อยละ 20 ของความเสียหาย ซึ่งคิดเป็นเงิน 35,717,273,028.23 บาท ซึ่งน.ส.ยิ่งลักษณ์ ให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา

ระหว่างการพิจารณา อัยการโจทก์ นำพยานบุคคลเข้าไต่สวน 15 ปากพร้อมเอกสารหลักฐานกว่า 60,000 แผ่น รวม 20 ลัง

ทีมทนายขอศึกษาคำพิพากษา

นายนรวิชญ์ กล่าวภายหลังว่า ในฐานะทีมทนายจะขอคำพิพากษาไปพิจารณาศึกษาดูอีกครั้งว่าจะพิจารณาอุทธรณ์หรือไม่อย่างไร ในเรื่องการต่อสู้นั้น ตนขออ่านคำพิพากษาให้ชัดเจนก่อนว่ามีประเด็นอะไรบ้างเพราะมีจำนวนมาก ส่วนข้อสงสัยว่าในการอุทธรณ์นั้นต้องแจ้งให้จำเลยมาปรากฏตัวต่อศาลนั้น ขณะนี้ตนยังไม่รู้ว่าจะแจ้งไปยังที่ใด เชื่อว่าภายหลังมีคำพิพากษา สื่อเสนอข่าวไปนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ก็คงจะรับทราบ จากนั้นแนวทางจะเป็นอย่างไรนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์อาจเป็นคนติดต่อมา

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาลฎีกาฯใช้เวลาพิจารณากว่า 4 ชั่วโมง ขณะที่มวลชนและกลุ่มผู้สนับสนุนน.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังคงปักหลักรอฟังผลคำตัดสิน ซึ่งภายหลังจากทราบผลการตัดสินแล้ว ส่วนใหญ่จับกลุ่มพูดคุยถึง คำพิพากษา จากนั้นได้แยกย้ายเดินทางกลับ โดยไม่มีเหตุวุ่นวายใดๆ เกิดขึ้น

สั่งจำคุก 4 ปีลูกเสี่ยเปี๋ยงจีทูจี

เวลา 10.00 น. ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นายไพโรจน์ โปเล็ม เลขานุการศาลฎีกาฯ ได้แจ้งกับอัยการ โจทก์และสื่อมวลชนให้ทราบว่า วันนี้ น.ส. ธันยพร จันทร์สกุลพร จำเลยที่ 21 บุตรสาวของนายอภิชาติ จันทร์สกุลพร หรือเสี่ยเปี๋ยง จำเลยที่ 14 คดีทุจริตระบายข้าวจีทูจี ซึ่งศาลออกหมายจับไปเมื่อวันที่ 25 ส.ค. เนื่อง จากไม่ได้มาศาล และในวันนี้ก็ไม่มีตัวมา ศาล องค์คณะฯ คดีทุจริตระบายข้าวซึ่งมีนาย ธนฤกษ์ นิติเศรณี รองประธานศาลฎีกา เจ้าของ สำนวนคดี จึงงดอ่านคำพิพากษาของน.ส. ธันยพร ในวันนี้ โดยให้ถือว่าจำเลยรับทราบผลคำพิพากษาแล้ว ซึ่งศาลอ่านให้อัยการโจทก์ฟังตั้งแต่วันที่ 25 ส.ค. โดยให้จำคุก น.ส.ธันยพร กรรมการบริษัทกีธา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด 4 ปีและให้ปรับ 40,000 บาท รวมทั้งให้ร่วมกันกับบริษัท กีธา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด จำเลยที่ 20 ชดใช้เงิน 1,294,109,764.80 บาท

โดยวันนี้องค์คณะฯ มีคำสั่งให้ออกหมายจับน.ส.ธันยพร จำเลยที่ 21 มารับโทษตาม คำพิพากษาต่อไป

ป้อมให้ถามตู่ปูอยู่ที่ไหน

ที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(ทส.) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ก่อนประชุมกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ ถึงกรณีที่นายกฯ ระบุว่าทราบแล้วว่าน.ส. ยิ่งลักษณ์ อยู่ที่ไหน ขณะนี้ความคืบหน้าเป็นอย่างไรบ้าง รองนายกฯ ตอบว่า ต้องไปถามนายกฯ ตนไม่พูดแล้ว เมื่อถามว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสรุปให้ทราบหรือยังว่าน.ส.ยิ่งลักษณ์ อยู่ในประเทศหรือต่างประเทศ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ต้องไปถามนายกฯ เอง

ต่อมาเวลา 11.30 น. พล.อ.ประวิตร ให้สัมภาษณ์อีกครั้ง ถึงกรณีหากศาลฎีกาฯอ่านคำพิพากษาน.ส.ยิ่งลักษณ์ ว่ามีความผิด จะประสานกับตำรวจในการติดตามจับตัว อย่างไรว่า ตนยังไม่รู้เรื่อง เพราะเพิ่งประชุมเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติเสร็จ ยังไม่รู้

เมื่อถามว่าวันนี้พล.อ.ประยุทธ์ ระบุจะ เปิดเผยที่อยู่น.ส.ยิ่งลักษณ์ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ให้ไปถามนายกฯเอง

บิ๊กตู่เผยไม่เคยรู้สึกว่าเกษียณ

ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) เป็นประธานการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวง หรือเทียบเท่าครั้งที่ 5/2560 ซึ่งการประชุมครั้งนี้เป็นนัดสำคัญ เนื่องจากมีหัวหน้า ส่วนราชการ 15 คน ที่จะเกษียณอายุราชการประจำปี 2560

โดยนายกฯ กล่าวขอบคุณทุกคนที่ทุ่มเทการทำงานร่วมกันมาตลอด ข้าราชการบางคนอาจไม่ได้เกษียณในตำแหน่งเดิม แต่ไม่ว่าจะเกษียณที่สำนักนายกฯ หรือที่ไหน เป็นเพราะประเทศมีปัญหาหลายอย่าง รวมถึงต้องทำเพื่อลดความขัดแย้ง อาจทำให้หลายคนไม่เข้าใจ ตนขอยอมรับทุกประการในสิ่งที่ทำไป ซึ่งการทำงานของภาครัฐต้องมีการปรับเปลี่ยนและยังมีบางส่วนที่ไม่พร้อมรับการเปลี่ยนแปลง จึงเกิดปัญหา ดังนั้น ขอให้ข้าราชการทุกคนเร่งสร้างความเข้าใจให้เกิดขึ้น การมอบนโยบายลงสู่ระดับปฏิบัติต้องชัดเจนเพื่อขับเคลื่อนให้เกิดประสิทธิภาพ ไม่เป็นปัญหาย้อนกลับมายังรัฐบาลอีก

“ผมไม่เคยรู้สึกถึงการเกษียณ แม้จะผ่านมาแล้ว 3 ปี เนื่องจากยังต้องทำงานอยู่ และหวังให้แผนงานโครงการต่างๆ ที่ส่วนราชการจัดทำเสร็จ ต้องเปิดรับฟังความคิดเห็น หรือทำประชาพิจารณ์ เพื่อให้ประชาชนได้ยอมรับร่วมกัน” นายกฯ กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การประชุมหัวหน้าส่วนราชการครั้งนี้ สำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี(สปน.) เป็นเจ้าภาพ ซึ่งได้มอบ ผ้ายันต์ของพระพรหมมังคลาจารย์ หรือเจ้าคุณ ธงชัยให้ผู้เข้าร่วมประชุมด้วย

ชี้ปูอยู่ต่างประเทศ-ไม่ต้องถาม

เมื่อถามถึงความคืบหน้าของคดีการปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว ที่มีน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีต นายกฯ เป็นจำเลย นายกฯ กล่าวว่า ให้รอผลการตัดสินคดีอย่างเป็นทางการจากศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตนไม่ใช่ศาล เมื่อถามย้ำว่าสรุปการข่าวของนายกฯ ชี้ชัดได้หรือไม่ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ อยู่ที่ประเทศใด พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า อยู่ต่างประเทศนั่นแหละ เมื่อถามว่าเป็นประเทศเพื่อนบ้านหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ไม่รู้ไม่ต้องมาถาม

ตร.เตรียมออกหมายแดงตามจับ

ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. กล่าวถึงศาลฎีกาฯอ่านคำพิพากษาตัดสินจำคุก น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นเวลา 5 ปี ไม่รอลงอาญาว่า ขั้นตอนหลังจากนี้คือรอหมายบังคับคดี แล้วนำเข้าระบบประกาศสืบจับโดยกองทะเบียนประวัติอาชญากร เป็นไปตามขั้นตอนกฎหมาย จากนั้น ประสานไปยังช่องทางตำรวจสากล เพื่อขอออกหมายน้ำเงิน และหมายแดงให้ตำรวจสากลสืบเสาะจับกุมต่อไป

พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวว่า กองการต่างประเทศได้ประสานส่งไปยัง 190 ประเทศสมาชิกตำรวจสากล เพื่อสืบหาแหล่งที่อยู่ ของน.ส.ยิ่งลักษณ์ มาตลอดตั้งแต่วันที่ 25 ส.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งขณะนี้มีบางประเทศ ตอบกลับมาแล้ว โดยยังไม่มีคำยืนยันจากประเทศใดว่าน.ส.ยิ่งลักษณ์ไปพำนักอยู่ ก็ตรวจสอบไปทุกที่ที่มีคนระบุว่าพบน.ส. ยิ่งลักษณ์ ใช้หนังสือเดินทางข้ามประเทศ แต่ยังไม่มีประเทศใดตอบกลับว่าพบน.ส. ยิ่งลักษณ์เลย

ส่วนที่นายกฯระบุทราบที่อยู่ของน.ส. ยิ่งลักษณ์จากสายลับนั้น พล.ต.อ.จักรทิพย์กล่าวว่า ตนไม่รู้ เชื่อว่าหากนายกฯ มีเบาะแสก็จะแจ้งมายังตนอยู่แล้ว ส่วนที่มีการระบุ รถเบนซ์ที่คาดว่าเกี่ยวข้องกับการพาน.ส. ยิ่งลักษณ์หนีนั้น เป็นเรื่องในสำนวน แต่ยืนยันเป็นรถของจริง เพราะวิ่งได้ ส่วนการตั้งคณะกรรมการสอบตำรวจทั้ง 3 นาย ที่คาดว่าเกี่ยวข้องกับการพาน.ส.ยิ่งลักษณ์หลบหนี ขณะนี้คณะกรรมการอยู่ระหว่างดำเนินการ

ผลตรวจรถพบดีเอ็นเอผู้หญิง

พล.ต.ต.ธวัชชัย เมฆประเสริฐสุข ผู้บังคับ การกองพิสูจน์หลักฐานกลาง(ผบก.พฐก.) กล่าวถึงการตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอภายในรถยนต์เก๋งคัมรี่ สีบรอนซ์ ทะเบียน ฌข 5323 กรุงเทพมาหนคร ที่พ.ต.อ.ชัยฤทธิ์ อนุฤทธิ์ รองผบก.น.5 ช่วยราชการ ศปก.น.5 ให้การ ว่าใช้พา น.ส.ยิ่งลักษณ์ และเลขาฯผู้หญิง เดินทางจากกทม.ไปส่งที่จ.สระแก้วในวันที่ 23 ส.ค.ว่า ตรวจดีเอ็นเอเสร็จเรียบร้อยแล้วและพบดีเอ็นเอของของบุคคลจำนวนมาก โดยพบดีเอ็นเอพ.ต.อ.ชัยฤทธิ์ หลายจุดทั่วรถ แทบทุกที่นั่ง แต่พบชัดเจนที่บริเวณพวงมาลัยบังคับรถ ที่นั่งของคนขับ ประตู กระจกข้างและพบดีเอ็นเอ พ.ต.ท.สามิตร ไชยอิ่นคำ สว.กองกำกับการสืบสวน บก.ภ.นครปฐม ช่วยราชการศปก.นครปฐม ติดอยู่ที่นั่งคนขับ พวงมาลัย และที่นั่งด้านหน้าข้างคนขับด้วย

พล.ต.ต.ธวัชชัยกล่าวว่า ขณะเดียวกันในดีเอ็นเอจำนวนมากที่พบ ยังพบดีเอ็นเอของ ผู้หญิงขึ้นชัดเจน ติดอยู่เบาะโดยสารด้านหลัง แต่ยังไม่ยืนยันว่าเป็นของน.ส.ยิ่งลักษณ์หรือไม่ ซึ่งฝ่ายสืบสวนจะต้องหาดีเอ็นเอมาเปรียบเทียบ นอกจากนี้ยังพบว่ามีดีเอ็นเอของกับบุคคลอื่นปะปนจำนวนมากบนรถด้วย ซึ่งจากสภาพรถ พบว่าตลอดเวลาเกือบเดือนไม่มีการล้างทำความสะอาดทั้งภายใน ภายนอก

เตรียมค้นบ้านปูเทียบดีเอ็นเอ

ด้านพล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผบ.ตร. เปิดเผยว่า ขั้นตอนต่อจากนี้จะให้สน.ท้องที่ ออกหมายจับภายใน 30 นาที เพื่อนำตัวมารับโทษตามคำพิพากษา จากนั้นจะเรียนให้ผบ.ตร. ทราบ และส่งหมายจับไปทั่วประเทศและด่านสตม.ต่างๆ ให้เฝ้าติดตาม ประกาศสืบจับต่อไป ส่วนจะประกาศให้อินเตอร์โพลหรือไม่นั้นเป็นเรื่องของอัยการ แต่เบื้องต้นยังไม่ทราบประเทศปลายทางที่น.ส.ยิ่งลักษณ์อาศัยอยู่ ทั้งนี้ ต้องให้บช.น. จัดการเรื่องการเข้าค้นบ้าน เพื่อนำดีเอ็นเอ ของน.ส.ยิ่งลักษณ์ จากของใช้ภายในบ้านมาเทียบเคียง

พล.ต.อ.ศรีวราห์กล่าวอีกว่า สำหรับคดีทั้ง 3 ตำรวจที่พาน.ส.ยิ่งลักษณ์หลบหนีนั้น ก็ให้เป็นไปตามขั้นตอนของทางกฎหมายโดยได้สั่งการให้พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร ผบช.น.ลงไปกำชับ เบื้องต้นคาดว่าไม่เกิน 1 เดือนน่าจะแล้วเสร็จทั้งนี้ผลการตรวจดีเอ็นเอพบว่าตรงกับพ.ต.อ.ชัยฤทธิ์ ซึ่งสอดคล้องกับคำให้การของพ.ต.อ.ชัยฤทธิ์ว่าใช้รถคัมรี่คันดังกล่าวจริง ส่วนการตรวจสอบดีเอ็นเอภายในรถว่าจะตรงกับของน.ส.ยิ่งลักษณ์หรือไม่นั้น ต้องนำดีเอ็นเอของน.ส.ยิ่งลักษณ์จากบ้านพักมาเทียบเคียง ส่วนจะออกหมายค้นหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่แต่ดุลพินิจของศาล เบื้องต้นแจ้งข้อหากับทางพ.ต.อ.ชัยฤทธิ์ ข้อหาปลอมและใช้เอกสารราชการปลอม

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจจะ เข้าค้นบ้านน.ส.ยิ่งลักษณ์ ในวันที่ 28 ก.ย.นี้ โดยยังไม่ระบุเวลาที่ชัดเจน

ได้เค้า”ปู”บินเข้าอังกฤษแล้ว

รายงานข่าวเปิดเผยกรณีที่พล.อ.ประยุทธ์ทราบว่าน.ส.ยิ่งลักษณ์อยู่ต่างประเทศนั้น เนื่องจากได้รับรายงานจากหน่วยข่าวด้านความมั่นคงว่าอดีตนายกฯได้ใช้พาสปอร์ต สีแดงเข้าไปในประเทศอังกฤษแล้ว โดยการเดินทางผ่านหลายประเทศ และเป็นการเข้าไปในประเทศอังกฤษก่อนที่ศาลจะมีคำพิพากษาโดยก่อนหน้านี้มีข่าวล่วงหน้าแล้วว่าน.ส. ยิ่งลักษณ์ มีแผนจะยื่นขอลี้ภัยทางการเมือง ที่ประเทศอังกฤษ

เมื่อเวลา 20.20 น. ที่โรงแรมดุสิตธานี พล.อ.ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์ถึงประเทศปลายทางที่ใช้เป็นสถานที่พำนักของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ในการหลบหนีคดีปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าวว่าให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นผู้ชี้แจง เมื่อถามย้ำว่าอยู่ที่ สหราชอาณาจักรจริงหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ตอบ และรีบเดินทางกลับทันที

ตือชี้ปูผิดละเลย-ไม่ได้ทุจริต

ที่พรรคชาติไทยพัฒนา นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล แกนนำพรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวถึงศาลฎีกาฯตัดสินจำคุกน.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นเวลา 5 ปี จากคดีจำนำข้าวว่า ขณะนี้ยังเป็นสถานการณ์ฝุ่นตลบ ไม่สามารถประเมินทิศทางการเมืองได้ ซึ่งต้องรอดูท่าทีและคำชี้แจงของพรรคเพื่อไทยต่อคำพิพากษาที่ เกิดขึ้น ทั้งนี้ กรณีที่เกิดขึ้น ตนมองว่าอาจมีผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของพรรคและนักการเมืองในมุมมองของประชาชนได้ แต่ไม่เกี่ยวกับนโยบาย เพราะนโยบายโครงการรับจำนำข้าวถือว่าได้รับการตอบรับจากประชาชน แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นคือการปล่อยปละละเลยการกำกับการปฏิบัติงาน ของเจ้าหน้าที่ หน่วยงาน รวมถึงรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง

“ตามคำพิพากษานั้น เห็นชัดว่าอดีต นายกฯ ไม่ได้ทุจริต เพียงแต่ปล่อยปละละเลยไม่กำกับ หรือควบคุมการนำนโยบายไปปฏิบัติให้เป็นไปอย่างซื่อตรง ดังนั้น แม้จะมีผลต่อความน่าเชื่อถือของนักการเมืองอยู่บ้าง แต่มีไม่มาก” นายสมศักดิ์กล่าว

นายสมศักดิ์กล่าวว่า กรณีความน่าเชื่อถือของนักการเมืองนั้น เชื่อว่าจะไม่มีใครนำไปดิสเครดิตนักการเมืองที่จะลงสนามเลือกตั้งที่ใกล้จะมาถึง เพราะหากมีประเด็นดังกล่าว นักการเมืองสามารถชี้แจงได้และหามาตร การป้องกัน โดยเฉพาะมาตรการกำกับและตรวจสอบการนำนโยบายไปปฏิบัติใช้

ยก 30 บาท-เบี้ยยังชีพคนชรา

นายอภิสิทธิ์กล่าวต่อว่าถ้าดูโพลจากสถาบันพระปกเกล้า จะพบว่านโยบายของคู่แข่งพรรคประชาธิปัตย์ที่ประสบความสำเร็จมากคือนโยบาย 30 บาท รักษาทุกโรคของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ เวลาไปสำรวจ พอพูดถึงนายทักษิณ คนจะพูดถึงนโยบาย 30 บาทตลอด แต่ทางกลับกัน พอพูดถึงพรรคประชาธิปัตย์ ชาวบ้านกลับไม่มีใครพูดถึงนโยบายเรื่องเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุที่ประสบความสำเร็จบ้างเลย นี่ก็คือความสำเร็จของฝ่ายทักษิณในด้านการพูดซ้ำอยู่เรื่อยๆ

นายอภิสิทธิ์ ให้สัมภาษณ์ถึงศาลฎีกาฯ ตัดสินจำคุก น.ส.ยิ่งลักษณ์ 5 ปีไม่รอลงอาญาว่า ขอศึกษารายละเอียดคำพิพากษาก่อน แต่พรรคในฐานะผู้ร้องต่อป.ป.ช. เห็นว่าการดำเนินนโยบายรับจำนำข้าวนั้น คาดการณ์ได้ว่าจะเกิดการทุจริต ละเลยละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ต้องดูรายละเอียดของคำพิพากษา ส่วนการติดตามผู้กระทำผิดมาลงโทษ เป็นเรื่องของฝ่ายผู้บังคับใช้กฎหมาย ใครมีหน้าที่ทำอะไรก็ต้องทำต่อไป

วิษณุแจงย้ายพงศ์พรกลับพศ.

ที่มหาวิทยาลัยสวนดุสิต นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมาย กล่าวถึงครม.มีมติเห็นชอบแต่งตั้งพ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ กลับมาปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ซึ่งจะมีผลเมื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง จากเดิมครม.มีมติให้นายมานัส ทารัตน์ใจ อธิบดีกรมการศาสนา มาดำรง ตำแหน่งผอ.พศ. แต่รัฐบาลยังไม่ได้นำขึ้นทูลเกล้าฯว่า มติใหม่นี้เป็นการยกเลิกมติเก่าไปโดยปริยาย ส่วนอธิบดีกรมการศาสนาที่จะมาดำรงตำแหน่งผอ.พศ.แทนแต่เดิมนั้น จึงไม่ต้องมาตำแหน่งนี้แล้ว

“เหตุผลที่ให้คืนตำแหน่งนายกฯ ระบุไว้ชัดเจนแล้ว ผมคงไม่ต้องพูดซ้ำ ส่วนเรื่องที่พ.ต.ท.พงศ์พรไม่มีความผิด ได้ยืนยันมาตั้งแต่เดือนส.ค.แล้ว ส่วนการทำหนังสือแย้งคำสั่งโยกย้ายไปเป็นผู้ตรวจราชการฯ ไม่ได้มีผลต่อการพิจารณาคืนตำแหน่ง ซึ่งเคยทำแบบนี้หลายครั้งในอดีต ไม่ได้เป็นเรื่องแปลกใหม่” นายวิษณุกล่าว

นายวิษณุกล่าวถึงนายกฯให้พล.อ. ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกฯ ดูแลพศ.ว่า นายกฯ หารือร่วมกับตนและนายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รมต.ประจำสำนักนายกฯ เมื่อ ประมาณ 1 เดือนแล้ว เพราะคิดว่ามีปัญหาอยู่ จึงทำให้เรียบร้อยโดยเฉพาะในช่วงนี้ และต่อไปอาจปรับเปลี่ยนการแบ่งงานอีกครั้ง เช่น ให้กรมการศาสนาและพศ. ทำงานสอดคล้องกัน เพราะทุกวันนี้มีหน่วยหนึ่ง ดูวัด อีกหน่วยหนึ่งดูพระ ซึ่งคิดว่าการดูแลวัดและพระควรเป็นหน่วยงานเดียวกัน จึงให้พล.อ. ธนะศักดิ์ เป็นคนเดียวที่มี 2 สถานะกำกับดูแล ซึ่งได้หารือเรื่องนี้กันมาระยะหนึ่งแล้ว ยืนยันว่าไม่ได้โยนเรื่องให้ใครรับผิดชอบ และการแบ่งงานครั้งนี้ไม่ใช่ส่งเผือกร้อน ไปให้ เพราะทุกอย่างเป็นหน้าที่ที่ต้องทำ อีกทั้งนายกฯให้เหตุผลชัดเจนแล้ว จึงไม่มีอะไรที่ต้องพูดกันอีก

ออมสินปัดน้อยใจถูกดึงงาน

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ กล่าวถึงครม.มีมติให้พ.ต.ท.พงศ์พร กลับไปดำรงตำแหน่ง ผอ.พศ. และให้พล.อ.ธนะศักดิ์ เป็นผู้กำกับดูแลว่า ตนไม่คิดว่าเป็นปัญหา และเป็น ไปตามที่นายกฯให้สัมภาษณ์ไว้ว่า ให้พ.ต.ท. พงศ์พร กลับไปดำรงตำแหน่ง เพื่อประโยชน์ของราชการ และเมื่อตนไม่ได้เกี่ยวข้อง กับพศ.แล้ว จึงไม่มีความเห็นในเรื่องนี้

เมื่อถามว่าน้อยใจหรือไม่ที่ถูกดึงงานไป นายออมสินกล่าวว่า ไม่น้อยใจ จะน้อยใจทำไม อยู่ตรงไหนก็ทำงานได้ เชื่อว่าทุกคนตั้งใจทำงานตามวัตถุประสงค์เดียวกัน จึงไม่มีคำว่าน้อยใจ และคงไม่ได้มอบหมายงานใดๆ ให้พล.อ.ธนะศักดิ์ เนื่องจากตนเป็นรมต.ประจำสำนักนายกฯ จะไปฝากงานให้รองนายกฯคงไม่ใช่ ซึ่งพล.อ.ธนะศักดิ์ มีความรู้ความสามารถ บริหารงานดีอยู่แล้ว เชื่อว่าทำได้ดี ทั้งนี้ งานของพศ.อยากให้เดินหน้าต่อในเรื่องสมาร์ตการ์ดพระให้สำเร็จ เรื่องบัญชีรายรับรายจ่ายของวัด ควรดำเนินการให้เป็นรูปธรรม

เชื่อไม่ซ้ำรอยมีปัญหามส.อีก

“พ.ต.ท.พงศ์พร ก็กลับไปทำหน้าที่ของท่าน ส่วนการดำเนินคดีทุจริตเงินทอนวัดก็ต้องเดินหน้าต่อไป ซึ่งส่วนราชการที่เกี่ยว ข้องกำลังดำเนินการอยู่ ส่วนข้าราชการในพศ.ที่มีชื่อเข้าไปเกี่ยวข้องนั้น นายกฯได้ให้ดำเนินการกับคนในก่อน จากนั้นจึงสืบสาวไป หากเกี่ยวข้องกับพระหรือใครก็ให้ดำเนินการต่อ ซึ่งไม่ว่าใครทำก็ต้องดำเนินการอย่างนี้ ผอ.พศ.เป็นคนดี แต่ที่ดึงท่านออกมาก่อน เพื่อจัดกระบวนการต่างๆ ก่อนจะให้กลับไป ไม่มีอะไร” นายออมสินกล่าว

เมื่อถามว่าต้องการแนะนำพ.ต.ท.พงศ์พร ในการทำงานร่วมกับมหาเถรสมาคม(มส.)หรือไม่ เนื่องจากที่ผ่านมามีปัญหา นายออมสินกล่าวว่า ไม่มีคำแนะนำ พ.ต.ท.พงศ์พรเก่งอยู่แล้ว มีความรู้ความเข้าใจใน เรื่องต่างๆ อย่างดีและได้ทำงานมาระยะหนึ่ง แล้ว จึงเชื่อว่าไม่มีปัญหา และคงไม่ย้อนกลับไปเป็นปัญหาเหมือนเดิม อย่าเพิ่งคาดหวัง ในแง่ร้าย ประวัติศาสตร์ไม่ซ้ำรอยแน่นอน

ทนายเตรียมติดตามคดี 99 ศพ

วันเดียวกัน นายโชคชัย อ่างแก้ว ทนายความกลุ่มผู้เสียหายในเหตุการณ์สลายการชุมนุม กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตย ต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ปี 2553 เปิดเผยว่า ตนเพิ่งทราบเรื่องจากข่าวว่า ทางอัยการสูงสุด (อสส.) ส่งสำนวนให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตเเห่งชาติ (ป.ป.ช.) ไปแล้ว จากกรณีที่เคยยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมต่อ อสส. ขอให้เเจ้งต่อคณะกรรมการป.ป.ช. ให้ดำเนินการไต่สวนคดี 99 ศพ ที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี เเละนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ต้องหา กระทำความผิดต่อตำเเหน่ง เพื่อนำรวม กับสำนวนความผิดฐานเจตนาฆ่าที่อสส. เคยสั่งฟ้องไป

นายโชคชัยกล่าวว่า เบื้องต้นตนจะไปตรวจสอบดูว่าสำนวนที่ทาง อสส. ส่งไปให้ ป.ป.ช เป็นสำนวนอะไรบ้างและจะเร่งติดตามไปที่ทาง ป.ป.ช. ว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป

ป.ป.ช.รอหนังสือจากอัยการ

แหล่งข่าวจากป.ป.ช. เปิดเผยว่า กรณีมีข่าวว่าอัยการฝ่ายคดีพิเศษ สำนักงานอัยการสูงสุด ได้ส่งหนังสือแจ้งมายังป.ป.ช.ให้ไต่สวนประเด็นความผิดเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ราชการของนายอภิสิทธิ์ และนาย สุเทพ ในเหตุการณ์สลายการชุมนุมนปช. เมื่อปี 2553 ซึ่งศาลฎีกาเคยวินิจฉัยว่า โจทก์ไม่ได้ฟ้องส่วนตัวจึงเป็นการดำเนินคดีในฐานะผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และเป็นความผิดเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ราชการ

แหล่งข่าว กล่าวว่า ดังนั้น อัยการจึงให้ป.ป.ช.ไต่สวนประเด็นดังกล่าวว่า เป็นสิทธิที่อัยการส่งเรื่องมาได้ เพราะเป็นไปตามพ.ร.บ. ว่าด้วยป.ป.ช. มาตรา 84 และมาตรา 86 เพียงแต่เรื่องที่ส่งมาให้ป.ป.ช.ถ้าเป็นคดี ที่เคยถูกตีตกไปแล้ว ก็ต้องเป็นคดีที่มีพยานหลักฐานชิ้นใหม่ขึ้นมาอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม หากอัยการสูงสุดส่งหนังสือมาถึงป.ป.ช. ทางสำนักงานเลขาธิการป.ป.ช. จะต้องเป็นผู้ตรวจรับก่อนจะรวบรวมและดำเนินการตามขั้นตอน เพื่อบรรจุเป็นวาระเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการป.ป.ช.ชุดใหญ่ต่อไป

ที่โรงแรมดุสิตธานี พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานป.ป.ช. ให้สัมภาษณ์ถึงอัยการสูงสุด (อสส.) ส่งหนังสือมายังป.ป.ช. เพื่อให้ไต่สวนในประเด็นความผิดเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าราชการของนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ ในเหตุการณ์การสลายการชุมนุม นปช.ปี 2553 อสส.จึงขอให้ป.ป.ช.ไต่สวนทั้ง 2 คนมีความผิดในมาตรา 157 หรือไม่ว่า ตนยังไม่ทราบว่ามีหนังสือมาถึงป.ป.ช. แต่ถ้าเห็นหนังสือดังกล่าวแล้วเราคงได้มาพิจารณาในรายละเอียดก่อน ตอนนี้คงยังตอบอะไรไม่ได้

บิ๊กตู่ร่วมงานธุรกิจไร้สินบน

เมื่อเวลา 19.00 น. ที่โรงแรมดุสิตธานี พล.อ.ประยุทธ์ร่วมงานประกาศเจตนารมณ์ภาครัฐและเอกชนในการต่อต้านการให้สินบน “รัฐเอกชนร่วมใจ ขับเคลื่อนธุรกิจไทยไร้สินบน” โดยพล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานป.ป.ช.ให้การต้อนรับ และ มีรัฐมนตรี สมาชิกสนช. ผู้นำภาครัฐ รัฐ วิสาหกิจ ทูตานุทูต หอการค้า และผู้บริหารระดับสูงภาคเอกชนเข้าร่วม

นายกฯ กล่าวสุนทรพจน์ตอนหนึ่งว่า วันนี้มาบรรยากาศเงียบสงัด มีการจัดโต๊ะเหมือนลูกขุน ผู้พิพากษา แต่ตนเดินมาด้วยความมั่นใจ เพราะไม่ได้ทำอะไรผิด เมื่อไม่ได้ทำอะไรผิดก็เดินหน้าเชิดหน้าเข้ามาได้ แต่ถ้าทำผิดก็คงต้องเดินก้มหน้าเข้ามา หรือไม่มาตามคำรับเชิญ

นายกฯ กล่าวว่า เราต้องสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจให้ได้ก่อนว่าตัวเองจะไม่ทุจริต และไม่เกี่ยวข้องกับการทุจริต เราเห็นตัวอย่างมากมายจากการดำเนินคดีและถูกตัดสินในเรื่องนี้ ตนระมัดระวังเต็มที่ กฎหมายหลายตัวต้องศึกษาเอง เพราะบางครั้งเราอาจไม่เจตนา รู้เท่าไม่ถึงการณ์ แต่เป็นปัญหาสำหรับการ แก้ปัญหาประเทศ หรือการบริหารราชการแผ่นดิน รวมถึงปัญหาที่มีหลายกลุ่มหลายฝ่าย ซึ่งไม่เข้าใจ มองภาพกันเป็นคนละภาพ

ไม่เคยนัดใครกินข้าวที่โรงแรม

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวต่อว่า ขณะนี้มีความขัดแย้งอยู่มาก ตนได้ติดตามสถานการณ์การทุจริตอย่างใกล้ชิด และพยายามให้ได้ข้อยุติตามกระบวนการยุติธรรม แต่ต้องยอมรับโลกเปลี่ยนไป มีการนำเสนอข่าวมากขึ้น ประชาชนฟังข่าวจริงบ้าง ไม่จริงบ้าง จนเป๋ไปเป๋มา แต่เราก็ห้ามไม่ได้ จำเป็นต้องแสวงหาข้อเท็จจริงตามกฎหมายให้ได้ กฎหมายบังคับกับทุกคนอย่างเท่าเทียม ไม่เอากฎหมายมาเป็นข้อขัดแย้ง ใช้เป็นเครื่องมือทำลายกัน ซึ่งตนไม่เคยคิดแบบนั้น

“รัฐธรรมนูญกำหนดให้ผู้ถูกกล่าวหายังเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่เมื่อผ่านกระบวนการยุติธรรมไปแล้ว จึงตัดสินได้ว่ามีความผิด แต่วันนี้ผมเหมือนผิดตั้งแต่ในมุ้ง ตื่นมาก็ผิดแล้ว จึงต้องแยกแยะให้ออกว่าสิ่งที่ฟังและทำเป็นอย่างไร บางทีผมพูดก็ไม่ค่อยฟัง เพราะเบื่อผม เมื่อผมขึ้นมาอยู่ตรงนี้ก็ต้องเชื่อมั่นผม ต้องทำให้ทุกอย่างสำเร็จ ผมเปิดโอกาสให้ทุกคนเข้ามาหาเสมอ คนที่มาพบก็มาอย่างเปิดเผย ไม่เคยไปแอบคุยกัน ไม่ได้ไปเจอกันที่โรงแรม ตัดปัญหาคือมาเจอกันที่ทำเนียบ มาเจอกันต่อหน้าคนอื่น ไม่เคยไปกินข้าวที่โรงแรม ลูกเมียผมก็อยู่บ้านกันตลอด ครอบครัวผมเสียสละ เขารักผมเขาต้องอยู่กับผม และผมไม่ได้เรียกร้องให้ใครสนใจผม เพราะผมเลือกเองว่าจะมายืนตรงนี้ แต่ทุกคนต้องช่วยผม ช่วยไม่ให้เกิดความขัดแย้งเพิ่มขึ้นอีก” นายกฯ กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า คนไทยเก่ง ว่างๆ ก็ซ้อมมือรบกันเอง ไม่มีใครมารบกับเราได้ เราจึงต้องแก้ปัญหานี้ให้ได้ และรวมความรักชาติให้เป็นหนึ่งเดียวเพื่อต่อสู้ปัญหาต่างๆ

สื่อนอกวิเคราะห์จำคุกยิ่งลักษณ์

เมื่อวันที่ 27 ก.ย. สำนักข่าวต่างประเทศต่างรายงานข่าวการตัดสินคดีน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดยพาดหัวคล้ายกันว่า อดีตนายกรัฐมนตรีหญิงของไทยที่ไม่อยู่ฟังคำพิพากษาต้องโทษจำคุก 5 ปีโดยไม่รอลงอาญา และเป็นเหตุการณ์หนึ่งในสถานการณ์ความขัดแย้งแบ่งขั้วในสังคมการเมืองไทยมาเกือบตลอด 12 ปี

สำนักข่าวเอเอฟพีของฝรั่งเศสพาดหัวข่าววิเคราะห์ว่า “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แห่งประเทศไทย จากนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกสู่ผู้หนีคดี” ใจความเน้นถึงการเป็นสมาชิกตระกูล ชินวัตร คนล่าสุดที่ต้องตกชะตากรรมคล้ายกับพี่ชาย นับจากสู้คดีจำนำข้าวในยุครัฐบาลทหารกระทั่งถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานละเลยในนโยบายรับจำนำข้าว น.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่มาปรากฏตัวที่ศาล หลังหายตัวไปราวกับฮูดินี นักมายากลชื่อก้องโลก คำตัดสินจำคุกนี้จึงมีความเป็นไปได้สูงยิ่งว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์จะไม่กลับมาบ้าน

ด้านบีบีซี สำนักข่าวชั้นนำของอังกฤษ นำเสนอบทวิเคราะห์ของนายโจนาธาน เฮด ผู้สื่อข่าวบีบีซีประจำภูมิภาค ว่าในการดำเนินคดีดังกล่าวนี้ไม่มีเนื้อหาใดที่ระบุว่าน.ส.ยิ่งลักษณ์เองเกี่ยวข้องกับการคอร์รัปชั่น แต่เป็นการตัดสินลงโทษให้มีความผิดทางอาญา เพราะนโยบาย รับจำนำข้าวซึ่งเป็นใจกลางหลักในการหาเสียง

บทวิเคราะห์นี้มองถึงผลกระทบทางการเมืองจากกรณีนี้ว่า ยังไม่มีพรรคการเมืองใดเข้ามาแทนที่พรรคเพื่อไทยซึ่งครองใจคนภาคเหนือและอีสานราวร้อยละ 40 ของผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งของไทย แต่อาจลดโอกาสที่พรรคเพื่อไทยจะจัดตั้งรัฐบาลอย่างมีนัยสำคัญ ในขณะที่รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ลดอำนาจของพรรคการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง ภายใต้ระบบการเลือกตั้งแบบใหม่ เป็นการยากอย่างยิ่งที่พรรคเพื่อไทยจะชนะการเลือกตั้งเสียงข้างมากอย่างที่เคยมีมาในอดีต ดังนั้น มีแนวโน้มว่าอิทธิพลในอดีตของพรรคเพื่อไทยจะถูกสภาพทางการเมืองที่แตกหักมากขึ้นเข้ามาแทนที่ โดยกลุ่มอำนาจอนุรักษนิยมดั้งเดิมจะมีอิทธิพลมากขึ้น ขณะเดียวกันยังไม่ชัดเจนว่าสถานการณ์ปัจจุบันจะแสดงให้เห็นว่าจะเป็นครั้งสุดท้ายในการทำลายอิทธิพลของตระกูลชินวัตรหรือไม่

ส่วนสำนักข่าวรอยเตอร์รายงานบทสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญการเมือง เช่น นายกานต์ ยืนยง ผู้อำนวยการสยามอินเทลลิเจนท์ยูนิต (เอสไอยู) สถาบันคลังสมองด้านนโยบายสาธารณะและการเมือง กล่าวว่า คำตัดสินดังกล่าวถือเป็นจุดจบทางการเมืองของน.ส.ยิ่งลักษณ์ และว่าเป็นไปได้ยากที่อดีตนายกฯ หญิงจะเดินทางกลับมาประเทศไทยในอนาคตอันใกล้

ขณะที่สำนักข่าวเอพี สหรัฐอเมริกา นอกจากรายงานผลคำพิพากษาแล้วยังวิเคราะห์ว่าการที่รัฐบาลทหารยึดอำนาจตั้งแต่ปี 2557 และผลักดันการปฏิรูปเพื่อควบคุมการคอร์รัปชั่นและการเมืองแบบใช้เงินด้วยการจำกัดอำนาจนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งนั้นชัดเจนว่าต้องการกันนายทักษิณออกไป การขยายเวลาจัดการเลือกตั้งให้ยืดเยื้อออกไปนานที่สุดนั้น เพราะเป็นไปได้ว่าเครื่องจักรทางการเมืองของนายทักษิณจะกลับมาทำงานอีกครั้ง

บิ๊กตู่บินสตูลมอบเน็ตประชารัฐ

เมื่อวันที่ 27 ก.ย. ที่ทำเนียบรัฐบาล พ.อ.หญิง ทักษดา สังขจันทร์ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกฯ เปิดเผยว่า ในวันที่ 29 ก.ย.นี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคสช. จะไปเป็นประธานพิธีเปิดการใช้งานสถานีเคเบิลใต้น้ำ ที่จ.สตูล เพื่อประชาสัมพันธ์นโยบายของรัฐบาล นำประเทศไทยก้าวสู่ ประเทศไทย 4.0 โดยนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีบทบาทขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ รวมทั้งพบปะและรับฟังความคิดเห็นจากภาคประชาชนในพื้นที่ และมอบนโยบายแก่ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้บริหารองค์กรส่วนท้องถิ่น

กำหนดการมีดังนี้ เวลา 07.00 น. นายกฯ เดินทางจากท่าอากาศยาน 2 กองบิน 6 (บน.6) ไปยังท่าอากาศยานทหาร กองบิน 56 (หาดใหญ่) จากนั้นเดินทางต่อโดยเฮลิคอปเตอร์ไปยังที่ว่าการอ.ละงู จ.สตูล และเดินทางต่อโดยขบวนรถยนต์ไปมหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา วิทยาเขตสตูล เพื่อเปิดพิธีส่งมอบเน็ตประชารัฐ จ.สตูล และร่วมพูดคุยผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์เน็ตประชารัฐกับตัวแทนแต่ละภูมิภาค จำนวน 5 ภูมิภาค พร้อมส่งมอบให้กับตัวแทนประชาชนในพื้นที่

จากนั้นนายกฯจะมอบอุปกรณ์กีฬาให้กับนักเรียนโรงเรียนบ้านราไว อ.ทุ่งหว้า พร้อมมอบถุงยังชีพให้กับผู้นำศาสนา ผู้นำท้องถิ่นที่ประสบอุทกภัยและพบปะประชาชนในพื้นที่ เยี่ยมชมร้านค้าชุมชนที่ใช้เน็ตประชารัฐมาช่วยขายสินค้า ต่อมาเวลา 11.45 น. นายกฯเดินทางต่อไปยังสถานีเคเบิลใต้น้ำปากบารา เพื่อเป็นประธานในพิธีเปิดใช้บริการสถานีเคเบิลใต้น้ำปากบารา พร้อมเยี่ยมชมสถานีเคเบิลใต้น้ำปากบารา จากนั้นเวลา 14.45 น. นายกฯเดินทางกลับโดยเฮลิคอปเตอร์ไปยังกองบิน 56 และเดินทางกลับกรุงเทพฯในเวลาต่อมา

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน