รัฐบาล-สนช.โต้วุ่น ยันไม่เก็บภาษีน้ำเกษตรกรรายย่อย บิ๊กเต่าเผย “ตู่” ยังงง ถาม”กูไปสั่งมันตอนไหนวะ” บิ๊กป้อมปูดมีข้อมูลจ้องป่วนราชพิธี สั่งจับตา 4 กลุ่ม ทั้งจากตปท. 3จว.ใต้ ล้มเจ้า และพวกป่วนทั่วไป ตร.พร้อมรับนโยบายเฝ้าระวัง เผยยังไม่มีเหตุบ่งชี้ “บิ๊กตู่”นำทีมจับเข่าคุย”ทรัมป์” บินถึงสหรัฐแล้ว

บิ๊กตู่นำคณะบินถึงสหรัฐแล้ว

เมื่อวันที่ 2 ต.ค. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พร้อมด้วยนางนราพร จันทร์โอชา ภริยา และคณะ เดินทางถึงท่าอากาศยานนานาชาติวอชิงตัน ดัลเลส นครวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกาแล้ว เมื่อเวลา 10.40 น. ตามเวลาทองถิ่น ซึ่งตรงกับเวลา 21.40 น. วันที่ 1 ต.ค.ในประเทศไทย เพื่อปฏิบัติภารกิจเยือนสหรัฐอเมริกาอย่าง เป็นทางการ ตามคำเชิญของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ 2-4 ต.ค. โดยมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกรมพิธีการทูตสหรัฐ นายพิศาล มาณวพัฒน์ เอกอัครราชทูตไทยกรุงวอชิงตัน เจ้าหน้าที่สถานทูตไทยต้อนรับ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากนั้นพล.อ.ประยุทธ์พร้อมคณะ อาทิ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รมว.พาณิชย์ และพล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหมจะหารือกับคณะทำงาน และหารือกับนักธุรกิจและนักลงทุนไทยในสหรัฐ เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนพบปะประธานาธิบดีสหรัฐ ใน วันที่ 2 ต.ค. ในช่วงกลางวัน ตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งเป็นช่วงดึกของวันนี้ตามเวลาในไทย เพื่อจะทราบถึงปัญหาอุปสรรคการลงทุน รวมถึงโอกาสเพิ่มมูลค้าระหว่างกันในอนาคต

วันเดียวกัน เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่พระราชโองการโปรดเกล้าฯ พระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 วงเงินรวมทั้งสิ้น 2,900,000,000,000 บาท ทั้งนี้ เป็นงบประมาณรายจ่ายงบกลาง ในความควบคุมของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณ 97,823,525,500 บาท (เงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น 91,423,525,500 บาท) ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2560 เป็นต้นไป

บิ๊กป้อมลั่นมีจ้องป่วนราชพิธี

ที่กระทรวงกลาโหม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และรมว.กลาโหม กล่าวภายหลังการประชุมเตรียมความพร้อมการจัดพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ตลอดเดือนต.ค.ว่า เน้นย้ำในที่ประชุมให้ดูแลในทุกเรื่อง ซึ่งเตรียมการรองรับคน 250,000 คน โดยประชาชนที่จะมาร่วมพิธีนั้นต้องเข้ามาตามเส้นทางที่กำหนดไว้และจะประชาสัมพันธ์ให้ทราบเป็นระยะ ผ่านโทรทัศน์วิทยุรวมการเฉพาะกิจ รวมถึงเส้นทางของรถยนต์วีไอพี

พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า นอกจากนี้ต้องระมัดระวังเหตุการณ์ต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นเพราะคนมาร่วมพิธีจำนวนมาก ตนเป็นห่วงทุกเรื่องที่อาจเกิดขึ้น ไม่ว่าการก่อกวนการ ต่อต้าน ได้สั่งเพิ่มกำลังเต็มที่ ยอมรับว่าเรามีข้อมูลว่ามีกลุ่มคนเตรียมเคลื่อนไหวก่อเหตุในช่วงพระราชพิธี ทั้งในและนอกประเทศ ซึ่งเราต้องดูแลไม่ให้เกิดเหตุการณ์ใดๆ ขึ้น เพราะคนที่ต่อต้าน และไม่หวังดีต่อสถาบัน ทุกหน่วยงานจะต้องร่วมมือกันดูแลการจัดงานพระราชพิธีให้ลุล่วงไปด้วยดีและต้องทำให้ได้ ให้เกิดความปลอดภัย ไม่ให้มีอะไรเกิดขึ้น

สั่งเฝ้าระวัง 4 กลุ่มก่อเหตุ

“งานนี้ถือเป็นงานหนึ่งในโลกที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ต้องทำเต็มที่ ให้เกิดความปลอดภัย อยากขอความร่วมมือกับประชาชนทุกคนเพื่อให้พระราชพิธีสมพระเกียรติของพระองค์ท่านที่ได้ทรงงานมา 70 ปี ใครที่คิดไม่ดีก็ขอให้หยุด” พล.อ.ประวิตรกล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์สั่งการให้พล.อ.ประวิตร บูรณาการงานของหน่วยงานความมั่นคง โดยเฉพาะงานด้านการข่าว ทั้งในส่วนกองทัพทุกเหล่าทัพ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) และสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ให้ดูแลความปลอดภัยช่วงงานพระราชพิธี หลังจากได้รับข้อมูลว่ามาว่าจะมีคนบางกลุ่มก่อเหตุสร้างสถานการณ์ปั่นป่วนการจัดพระราชพิธีในช่วงเดือนต.ค. แบ่งเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ 1.กลุ่มก่อเหตุจากนอกประเทศ 2.กลุ่มใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ 3.กลุ่มต่อต้านสถาบัน 4.กลุ่มก่อกวนทั่วไป ซึ่งขณะนี้หน่วยงานความมั่นคงกำลังดูแลอย่างเข้มงวด ทั้งการป้องกันและงานด้านการข่าว แต่ไม่อยากให้ประชาชนตื่นตระหนกตกใจ ขอความร่วมมือประชาชนช่วยกันเป็นหูเป็นตาด้วย

ผบ.ทบ.ยันเกาะติดผู้ไม่หวังดี

ที่บก.ทบ. พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ. ในฐานะเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงกรณีพล.อ. ประวิตรระบุมีกลุ่มจ้องป่วนในช่วงพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ว่า ทางการข่าวทราบมานานแล้วจะมีการปลุกระดมผ่าน โซเชี่ยลมีเดียก่อกวนในพระราชพิธี ได้แจ้งเตือนทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องติดตามข้อมูลข่าวสาร เพื่อให้ประชาชนทราบ พร้อมทั้งย้ำว่าเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงเตรียมมาตรการรักษาความปลอดภัยอย่างเต็มที่ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ซึ่งพล.อ.ประวิตรเป็นผู้รับผิดชอบหลัก โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นแม่งานหลัก ส่วนทหารได้จัดกำลังสนับสนุนไปตามกรอบ ส่วนงานด้านการข่าวติดตามผู้ไม่หวังดีที่จะเข้ามาสร้างสถานการณ์เราดำเนินการมาตลอดอยู่แล้ว

“ผมขอฝากพี่น้องประชาชนว่าพระราชพิธีนี้เป็นงานใหญ่ที่สุด จะมีคนมาร่วมงานมากที่สุด เพื่อถวายความจงรักภักดีต่อพระองค์ท่าน ทางเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจะดูแลรักษาความปลอดภัยอย่างเต็มที่ แต่ว่าพื้นที่กว้างขวาง ผมขอให้พี่น้องประชาชนช่วยกันเป็นหูเป็นตาให้เจ้าหน้าที่ เพื่อให้พระราชพิธีครั้งนี้ผ่านไปอย่างเรียบร้อยและสมพระเกียรติ” พล.อ.เฉลิมชัยกล่าว

เชื่อพวกก่อกวนทำอะไรไม่ได้

เมื่อถามว่าจากการข่าวคนที่จะก่อเหตุป่วนเป็นกลุ่มใด พล.อ.เฉลิมชัยกล่าวว่า เป็นกลุ่มเดิมๆ พวกหนีคดี มาตรา 112 แล้วปลุกระดมผ่านโซเชี่ยลมีเดียในต่างประเทศ ซึ่งข่มขู่แบบนี้มานานแล้ว คิดว่าพวกเขาเองไม่กล้าเข้ามาป่วนในประเทศ เพราะในทางปฏิบัติก็ทำไม่ได้ พวกเขาอยู่ในกรอบที่จำกัด ถ้าพี่น้องประชาชนให้ความร่วมมือช่วยกันดูแลความปลอดภัย และติดตามข่าวสาร ตนคิดว่าพวกคนที่คิดก่อกวนก็ไม่สามารถทำได้

เมื่อถามว่าการปลุกระดมผ่านโซเชี่ยลมีเดียประเมินว่าจะทำจริงหรือแค่ปลุกระดมเท่านั้น เลขาธิการ คสช.กล่าวว่า ตนขอประเมินสถานการณ์ก่อน แต่เรื่องปลุกระดมนั้นมีมานานแล้ว ซึ่งเราส่งเจ้าหน้าที่ทุกหน่วยไปติดตามเรื่องนี้

พล.อ.เฉลิมชัยกล่าวด้วยว่า ได้เน้นย้ำในการประชุมผู้บังคับหน่วยขึ้นตรงกองทัพบก (นขต.ทบ.) ให้สนับสนุนงานของรัฐบาล และ คสช.ให้เป็นไปตามโรดแม็ป เพื่อเตรียมการสู่การเลือกตั้ง เน้นเรื่องสำคัญ 1.การปฏิรูป และ 2.จัดทำยุทธศาสตร์ ให้เป็นไปตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ขณะเดียวกันเน้นย้ำการรักษาความสงบเรียบร้อยในประเทศเพื่อสร้างบรรยากาศปรองดอง โดยใช้กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย (กกล.รส.) ตามเดิม และการช่วยเหลือประชาชน ยืนยันว่าถ้าจัดทำกฎหมายลูกเสร็จสิ้นจะมีกระบวนการนำไปสู่การเลือกตั้ง ซึ่งเท่าที่ดูตอนนี้ไม่มีอะไรน่าหนักใจ ทุกอย่างเป็นไปตามแผน

ตร.เผยยังไม่มีเหตุบงชี้

ที่ ตร. พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษก ตร. กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ทุกหน่วยดำเนินการอย่างเต็มที่ หลังพล.อ.ประวิตรออกมาแสดงความห่วงใย ที่ผ่านมา ตร.และหน่วยงานความมั่นคงทุกภาคส่วนมีการบูรณาการร่วมกันมาตลอด โดยเฉพาะการติดตั้งกล้องวงจรปิดบริเวณรอบพระบรมมหาราชวัง ท้องสนามหลวง และโดยรอบงานพระราชพิธี มีการเข้มงวดจุดคัดกรองทุกจุดทั้งวงในและรอบนอก ยืนยันการข่าวยังปกติ ไม่พบเหตุบ่งชี้อะไรเป็นพิเศษ ส่วนนักท่องเที่ยวต่างชาติก็มีมาตรการคัดกรองอย่างเข้มงวด เนื่องจากพล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. เน้นย้ำการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ทุกนาย เพราะเป็นงานพระราชพิธีที่สำคัญสูงสุด

ที่บช.น. พล.ต.ท.ชาญเทพ เสสะเวช รรท.ผบช.น. เปิดเผยถึงกรณีพล.อ.ประวิตรเผยข้อมูลว่ามีกลุ่มคนเตรียมเคลื่อนไหวก่อเหตุในช่วงพระราชพิธี ทั้งในและนอกประเทศว่า ได้ติดตามข่าวเกี่ยวกับความมั่นคงอยู่อย่างต่อเนื่องกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับฝ่ายการข่าวหรือหน่วยข่าวกรองแห่งชาติ ได้รับแจ้งว่าสามารถควบคุมกรณีดังกล่าวได้อยู่ ส่วนผู้ที่ใช้สื่อผ่านช่องทางยูทูบจากต่างประเทศนั้น ยังอยู่ระหว่างการติดตามว่ามีกลุ่มไหนบ้าง สำหรับพื้นที่สนามหลวงเราดูแลอยู่แล้ว ส่วนจะต้องตรวจสอบพื้นที่ไหนเป็นพิเศษนั้น ในแผนมีอยู่แล้ว โดยมีตำรวจสันติบาลเป็นแม่งานหลัก รอง ผบช.น.ดูแลฝ่ายความมั่นคง เป็นคนดูแล

พล.ต.ต.ภาณุรัตน์ หลักบุญ รอง ผบช.น. เปิดเผยถึงการดูแลความปลอดภัยพื้นที่กรุงเทพฯ ว่า ได้ระดมตรวจค้น 3 ระลอก โดยเพิ่มความเข้มไปเรื่อยๆ ปรับตามข้อมูลการข่าว จนถึงงานพระราชพิธีถวายพระเพลิง โดยจะระดมกวาดล้างเพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์ใดเกิดขึ้น ทั้งนี้ ยังไม่ปรับแผนเพื่อตั้งจุดตรวจจุดสกัด

วรชัยเชื่อไม่มีคนกล้าป่วน

นายวรชัย เหมะ อดีต ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่ฝ่ายความมั่นคงออกมาระบุว่าจะมีกลุ่มป่วนในช่วงงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพช่วงเดือน ต.ค.ว่า พล.อ.ประยุทธ์กังวลเกินเหตุไปหรือไม่ ส่วนตัวเชื่อว่าไม่มีใครที่จะกล้าป่วนหรือสร้างความวุ่นวายในช่วงเวลาดังกล่าวอย่างแน่นอน เพราะคนไทยทุกคนรัก เทิดทูนบูชา และจงรักภักดีต่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 กันทั้งนั้น และงานพระราชพิธีดังกล่าวถือเป็นวาระสำคัญของชาติ เป็นงานสำคัญที่สุดในชีวิตของคนไทยทุกคนทั้งที่อยู่ในประเทศและอยู่ต่างแดน ที่จะได้แสดงความรัก ความเคารพ และความจงรักภักดีต่อพ่อของแผ่นดิน เชื่อว่าไม่มีใครกล้าออกมาป่วนแน่นอน แค่คิดก็ยังไม่กล้าคิดเลย

“พล.อ.ประยุทธ์อย่ากังวลหรือกลัวจนเกินเหตุ เพราะอาจจะส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของงานพระราชพิธีได้ หากมีใครกล้าออกมาป่วน รับรองว่าไม่มีทางที่คนคนนั้นจะได้รับการให้อภัยอย่างแน่นอน” นายวรชัยกล่าว

ชัชชาติส่งใบลาออกแล้ว

รายงานข่าวจากคนใกล้ชิด นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ อดีตรมว.คมนาคม เปิดเผยว่า เช้าวันนี้ นายชัชชาติได้ส่งเอกสารไปให้ทางสภาพัฒน์ ที่เป็นฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติแล้ว เพื่อลาออกจากตำแหน่งกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขันของรัฐบาล

วิษณุแจง”ชัชชาติ-สมชัย”ถอนตัว

ที่โรงแรมเดอะเบิร์คลีย์ ประตูน้ำ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ อดีตรมว.คมนาคม ขอ ลาออกจากกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน และนายสมชัย จิตสุชน ผอ.วิจัยด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึง สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย(ทีดีอาร์ไอ) ลาออกจากกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างโอกาสการพัฒนาทางสังคมว่า มีผู้แจ้งข่าวนี้ให้ทราบแล้วเมื่อวันที่ 1 ต.ค. ถือว่าเขาทำตามเจตนาของตัวเอง แต่น่าเสียดาย เพราะหวังจะได้ใช้สติปัญญา วิสัยทัศน์ และยุทธศาสตร์ของคน เหล่านั้น แต่ไม่เป็นไร และรู้สึกเห็นใจ

นายวิษณุกล่าวว่า เหตุผลในการเชิญนายชัชชาตินั้น เพราะคณะกรรมการฯชุดดังกล่าว มีเรื่องโครงสร้างพื้นฐานรวมที่เกี่ยวข้องกับเรื่องวิศวกรรม โครงสร้างถนน เส้นทางรถไฟ เส้นทางคมนาคมขนส่ง ซึ่งนายไกร ตั้งสง่า อุปนายกสภาวิศวกร ที่มาร่วมเป็นกรรมการชุดนี้แนะนำว่านายชัชชาติมีวิสัยทัศน์ในด้านนี้ เหมาะสมร่วมเป็นกรรมการ จากนั้นได้มีบุคคลติดต่อ ซึ่งนายชัชชาติให้คำตอบรับมาในตอนแรก แต่เมื่อตอนนี้เขาถอนตัวออกไปก็จบ

เชื่อไม่มีการเมืองแทรก

“เข้าใจว่าไม่มีเรื่องการเมืองเข้ามาแทรกแซง และถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา การปรับเปลี่ยนใจในภายหลังไม่ใช่เรื่องผิดปกติ อีกทั้งไม่เกี่ยวกับการทำให้รัฐบาลเสียหน้า อย่างไรก็ตามจะแต่งตั้งบุคคลอื่นมาแทนที่คนลาออก แต่ยังไม่ใช่ในสัปดาห์นี้ เมื่อเขาขอออกก็ไม่ต้องพูดอะไรอีก ขอขอบคุณที่ตอบรับในตอนนั้น แต่ขณะนี้น่าเสียดาย เสียใจ ผมก็เข้าใจท่านดีเช่นกัน ผมเคยได้รับเชิญให้ไปเป็นตำแหน่งหนึ่งในอดีต แต่ก็ลาออก มาจนถึงวันนี้ผมยังรู้สึกว่าได้ทำให้เขาผิดหวัง” นายวิษณุกล่าว

นายวิษณุกล่าวว่า ส่วนที่นายสมชัย ขอลาออกนั้น เพราะระเบียบของสถาบันทีดี อาร์ไอที่ไม่ต้องการให้ไปทำอะไร ซึ่งอาจ ส่งผลกระทบต่อองค์กร ถือเป็นเรื่องธรรมดา แต่ละคนที่เข้ามาร่วมเป็นกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาตินั้นมีเหตุผลคำอธิบายรองรับอยู่ ในการเชิญคนมาร่วมเป็นกรรมการนั้น เราไม่ได้ยึดถือองค์ประกอบเรื่องการเมือง คิดถึงแค่คุณสมบัติของเขา และไม่ได้มีเส้นมีสายตามที่นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมพิทักษ์รัฐธรรมนูญ อ้าง เพียงแต่เรา ไม่ได้นำเหตุผลเหล่านั้นมาเปิดเผย และหลังจากแต่งตั้งกรรมการครบหมดทุกคณะแล้ว เราจะเปิดเผยว่าแต่ละคนเข้ามาด้วยคุณสมบัติอะไร

ยันไม่เก็บภาษีน้ำเกษตรกร

นายวิษณุกล่าวถึงกระแสข่าวการจัดทำร่างพ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำ ที่เตรียมเก็บภาษีน้ำกับ กลุ่มเกษตรกรและกลุ่มอุตสาหกรรมว่า รัฐบาลไม่ต้องการเก็บค่าน้ำหรือภาษีน้ำจากเกษตรกรรายย่อย ซึ่งร่างพ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำ ยังอยู่ใน ชั้นคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพ.ร.บ. ทรัพยากรน้ำ ของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ขณะที่พล.อ.อกนิษฐ์ หมื่นสวัสดิ์ ประธานกมธ. นายพีระศักดิ์ พอจิต รองประธานสนช. และพล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.เกษตรและสหกรณ์ พูดแล้วว่าไม่เก็บภาษีน้ำจากเกษตรกรรายย่อย ทั้งนี้ จะให้ผู้ที่เกี่ยวข้องออกมาชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนอย่างเป็นทางการ

นายวิษณุกล่าวว่า การเรียกเก็บภาษีดังกล่าว จะแบ่งเกณฑ์ แต่เนื่องจากมีการให้สัมภาษณ์พูดเหมารวมทั้งหมด ทำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน เกิดความสะพรึงกลัว ทั้งที่จริงไม่ได้ถึงขั้นต้องเรียกเก็บเงินจากชาวนา แต่จะให้ผู้ประกอบการรายใหญ่ที่ใช้น้ำจำนวนมาก เป็นผู้รับผิดชอบและใครที่ทำให้สิ่งแวดล้อมเป็นพิษ ต้องจ่ายค่าดูแลสิ่งแวดล้อม อาจเป็นในรูปจัดเก็บภาษีหรือการเรียกเก็บค่าทรัพยากรน้ำ ซึ่งจะต้องกำหนดสัดส่วนการเรียกเก็บเหมือนการเก็บภาษีอัตราก้าวหน้า ซึ่งเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมที่ไม่เคยต้องรับผิดชอบเลย

กมธ.แจงวุ่นพรบ.ทรัพยากรน้ำ

ที่รัฐสภา พล.อ.อกนิษฐ์ หมื่นสวัสดิ์ ประธานกมธ. แถลงกรณีร่างพ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำ ว่า ขณะนี้เกิดความเข้าใจผิด ซึ่งไม่ใช่การเก็บภาษี เป็นเพียงเก็บค่าใช้น้ำเท่านั้น ซึ่งยังไม่มีความชัดเจนเนื่องจาก กมธ.ยังเห็นว่ามีปัญหาที่ต้องกลับไปทบทวน เพื่อความรอบคอบและต้องแบ่งประเภทการใช้น้ำให้ชัดเจน เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบกับผู้ใช้น้ำ โดยพ.ร.บ.ฉบับนี้จะใช้บังคับเรื่องการใช้น้ำจากแหล่งน้ำสาธารณะนอกเขตชลประทาน เช่น แม่น้ำ คลอง ห้วย โดยไม่เกี่ยวกับการใช้น้ำประปา น้ำบาดาล และน้ำในเขตชลประทาน ซึ่งมีกฎหมาย 3 ฉบับกำกับอยู่แล้วคือ พ.ร.บ. ชลประทานหลวง 2485 พ.ร.บ.น้ำบาดาล และพ.ร.บ.การประปา ยืนยันว่าร่างกฎหมายนี้จะไม่มีการเก็บค่าใช้น้ำจากเกษตรกรรายย่อย จะเก็บเฉพาะรายใหญ่

พล.อ.อกนิษฐ์กล่าวด้วยว่า เดิมที่มีข่าวว่ากฎหมายฉบับนี้จะมีผลบังคับใช้ปลายเดือนต.ค.นี้ ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง เมื่อรัฐธรรมนูญประกาศใช้แล้ว กมธ.ได้ดำเนินการตามรัฐธรรมนูญมาตรา 77 วรรคสอง ออกไปรับฟังความเห็นจากประชาชนและทุกภาคส่วน ขณะนี้รับฟังความเห็นแล้ว 29 จังหวัด ซึ่งทุกพื้นที่เห็นด้วย ไม่ให้เก็บค่าใช้น้ำจากเกษตรกรรายย่อย นอกจากนี้วันที่ 17-18 ต.ค. จะไปรับความเห็นจากประชาชนในพื้นที่จังหวัดสงขลา เพื่อให้เกิดรอบคอบ กมธ. จึงขอขยายเวลาการพิจารณาออกไปจนถึงเดือนม.ค. 2561 คาดว่าน่าจะเสร็จสิ้น จากนั้นจะต้องมีการออกกฎกระทรวงรองรับการประกาศใช้กฎหมายฉบับดังกล่าวอีก 27 ฉบับ คาดว่าจะต้องเวลาอีกพอสมควรกว่ากฎหมายจะบังคังใช้ได้อย่างสมบูรณ์

เผยบิ๊กตู่ยังงงถาม”กูสั่งตอนไหน”

ด้านพล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รมว.ทรัพยากรกธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) กล่าวถึงกรมทรัพยากรน้ำจัดทำร่างพ.ร.บ. ทรัพยากรน้ำ ว่า เรื่องกฎหมายน้ำที่อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำออกมาแถลงข่าว พล.อ.ประยุทธ์ยังงงกับเรื่องนี้ และส่งข้อความหาตนว่า “กูไปสั่งมันตอนไหนวะ” และยังบอกด้วยว่า พล.อ. ประยุทธ์และรัฐบาลไม่เคยคิดให้เก็บค่าใช้น้ำจากเกษตรกร ซึ่งการที่ตนไม่ชี้แจงก่อนหน้านี้เพราะไม่ใช่หน้าที่ของรัฐมนตรีที่เป็นฝ่ายบริหาร แต่เป็นเรื่องของฝ่ายนิติบัญญัติ คือ สนช.ที่พิจารณากฎหมายนี้อยู่

พล.อ.สุรศักดิ์กล่าวด้วยว่า ตนได้ให้อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำชี้แจงประชาชนผ่านสื่อต่างๆ แล้ว หวังว่าจะเข้าใจกันมากขึ้นว่ารัฐบาลไม่มีนโยบายเก็บค่าใช้น้ำเพราะมีเป้าหมายคือลดต้นทุนในภาคการเกษตร เพื่อช่วยเหลือประชาชน

ปชป.จี้รัฐบาลพูดให้ชัดภาษีน้ำ

ที่พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) นายกรณ์ จาติกวณิช ประธานกรรมการนโยบาย ปชป. และคณะทำงานด้านน้ำ แถลงว่า ทีมนโยบายพรรคได้ศึกษาแนวทางแก้ไขปัญหาเรื่องทรัพยากรน้ำมาตลอด พบว่าประเทศไทย ไม่ได้มีปัญหาขาดแคลนน้ำ เพราะปริมาณน้ำฝนที่ตกแต่ละปีมีมากกว่าปริมาณน้ำที่ต้องใช้ ดังนั้นต้นตอของปัญหาน้ำอยู่ที่ประสิทธิภาพบริหารจัดการน้ำที่บางช่วงน้ำเยอะเกินไปจนท่วมหรือน้อยเกินไปจนแล้ง ขอเสนอแนวคิดต่อรัฐบาลดังนี้

1.ขอให้รัฐบาลแถลงความชัดเจนว่าจะไม่เก็บค่าน้ำจากเกษตรกรรายย่อย ชี้แจงรายละเอียดของนิยามการเป็นเกษตรกรรายย่อยและเกณฑ์สำหรับเกษตรกรที่ปลูกเพื่อการพาณิชย์ตามมาตรา 39 ร่างพ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำ 2.ขอให้รัฐบาล นำรายได้ค่าน้ำของภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการ มาเป็นรายได้ตรงต่อการพัฒนาแหล่งน้ำชุมชนการอนุรักษ์แหล่งน้ำและการสนับสนุนการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพ

แนะ 5 ข้อแก้ปัญหาน้ำ

3.ขอให้รัฐบาลปฏิรูปกฎหมายน้ำควบคู่กับการปฏิรูปองค์กรด้านน้ำ เพื่อให้หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรน้ำทั้ง 33 หน่วย ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและ ตอบสนองต่อความต้องการของเกษตรกรอย่างแท้จริง 4.ขอให้เร่งรัดการขยายพื้นที่ชลประทานที่มีเพียงร้อยละ 30 ของพื้นที่เพาะปลูกให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้นโดยเฉพาะภาคอีสาน โดยจัดระบบการเก็บกักน้ำที่ทั่วถึงและเพียงพอ และ5.ขอให้รัฐบาลพิจารณาเช่าพื้นที่น้ำท่วมซ้ำซากในฤดูน้ำหลากเป็นพื้นที่กักเก็บน้ำ และใช้น้ำจากพื้นที่นี้สำหรับพื้นที่เกษตรบริเวณใกล้เคียง

ด้าน นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำนปช. กล่าวถึงแนวคิดเก็บภาษีน้ำว่า รัฐบาลต้องสร้างความแข็งแกร่งให้ประชาชนโดยเฉพาะคนจน และคำนึงถึงหลักเอาคนรวยมาช่วยคนจนให้ยืนบนลำแข้งตนเองได้ การจะเก็บภาษีน้ำ ทำให้เห็นใจรัฐบาลชุดนี้ที่ไม่มีความสามารถทางเศรษฐกิจเท่าที่ควร เพราะมีคนรวยที่ได้อานิสงส์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจมีไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์ของประเทศ ทำให้การเก็บภาษีต่ำกว่าเป้า จึงต้องหาทางรีดเลือดจากปู หากจะดำเนินการ ควรเก็บเฉพาะจากอุตสาหกรรมใหญ่ที่มีรายรับเกิน 1,000 ล้านบาทต่อปี โดยเก็บเป็นขั้นบันได และต้องพิจารณาจัดการน้ำทั้งประเทศ แล้วบริหารจัดการไม่ให้มีน้ำท่วมแล้ง วิธีนี้ไม่จำเป็นต้องเก็บภาษีการใช้น้ำจากเกษตรกร

พท.จี้สอบรบ.ตั้งศาลนั่งกก.ปฏิรูป

ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ทีมกฎหมายพรรคเพื่อไทย (พท.) ยื่นหนังสือต่อป.ป.ช. ผ่านนายสุทธิ บุญมี ผอ.คณะด้านสืบสวนและกิจการพิเศษ เพื่อให้ป.ป.ช.ตรวจสอบการกระทำของนายกฯและครม. กรณีการแต่งตั้ง นายธานิศ เกศวพิทักษ์ และนายชีพ จุลมนต์ ประธานศาลฎีกา ผู้พิพากษาในองค์คณะผู้พิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ไปดำรงตำแหน่งกรรมการปฏิรูปตำรวจและกรรมการกฤษฎีกา เป็นการฝ่าฝืนข้อห้ามตามกฎหมายวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2542 มาตรา 13 หรือไม่ และจะเข้าข่ายมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และกฎหมาย ป.ป.ช. มาตรา 123/1 หรือไม่ เพราะกฎหมายวิธีพิจารณาคดีอาญาฯทั้งฉบับเดิมที่มีบทบัญญัติในมาตรา 13 และฉบับใหม่ในบทบัญญัติมาตรา 11 วรรคสี่ ห้ามไม่ให้มีคำสั่งให้ผู้พิพากษาในองค์คณะ ไปทำงานที่อื่นนอกศาลฎีกาบังคับไว้

อัยการติงร่างพรบ.ปปช.

นายธนกฤต วรธนัชชากุล อัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุด (อสส.) กล่าวถึงการประกาศให้พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2560 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 29 ก.ย.ที่ผ่านมาว่า มีข้อสังเกตบางประการเกี่ยวกับกฎหมายฉบับนี้ ซึ่งเกี่ยวข้องกับพ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยป.ป.ช.ฉบับใหม่ ซึ่งกำลังเสนอเข้าสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)

นายธนกฤต กล่าวว่า 1.ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยป.ป.ช. 2542 มาตรา 40 และ 41 การดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่รัฐบางประเภทที่จงใจไม่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อป.ป.ช. หรือจงใจยื่นบัญชีฯด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ จะอยู่ในเขตอำนาจของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยให้ป.ป.ช. เสนอเรื่องให้ศาลฎีกาฯวินิจฉัย แต่ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาฯ 2560 มาตรา 10 (1) และ (4) จะไม่มีการบัญญัติอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีของศาลฎีกาฯ ในเรื่องการไม่ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของเจ้าหน้าที่รัฐบางประเภทไว้

บัญญัติเพิ่มเขตอำนาจศาล

นายธนกฤต กล่าวว่า โดยมาตรา 10 จะจำกัดเขตอำนาจของศาลฎีกาฯ ให้มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีเยื่นบัญชีทรัพย์สินฯ เฉพาะผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองระดับประเทศเท่านั้น ไม่รวมถึงผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองระดับท้องถิ่นและผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูงตามที่กฎหมายกำหนดไว้ ทั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องและรองรับกับร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยป.ป.ช. มาตรา 134 เนื่องจากต้องการให้ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติ มิชอบ เป็นผู้มีอำนาจพิจารณาพิพากษากรณีเหล่านี้แทนศาลฎีกาฯ

มาตรา 10 ยังบัญญัติให้คดีที่มีการกล่าวหาว่าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ หรือผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ร่ำรวยผิดปกติ ทุจริตต่อหน้าที่ หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่ หรือใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย และกรณีที่กรรมการป.ป.ช. หรือเจ้าหน้าที่ป.ป.ช. จงใจไม่ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน หรือจงใจยื่นบัญชี อันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้ง ให้ทราบ ให้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษา ของศาลฎีกาฯด้วย ซึ่งเป็นการบัญญัติเพิ่มเติม เขตอำนาจของศาล

ชี้เพิ่มอำนาจปปช.ส่อทำคดีอืด

นายธนกฤต กล่าวว่า 2.พ.ร.บ.ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาฯฉบับใหม่ ไม่ได้บัญญัติหลักเกณฑ์ที่เป็นเงื่อนไขให้ป.ป.ช. จะมีอำนาจฟ้องคดีอาญาได้เองก็ต่อเมื่อคณะทำงานร่วมที่อสส.และป.ป.ช.แต่งตั้งไม่อาจหาข้อยุติร่วมกันได้ในการดำเนินคดีดังเช่นที่เคยบัญญัติไว้ใน พ.ร.บ.ฉบับเก่า มาตรา 11 เนื่องจากต้องการให้สอดรับกับร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยป.ป.ช.ใหม่ ซึ่งกำหนดไว้ในมาตรา 111 ว่าเมื่ออสส. ได้รับสำนวนคดีอาญาจากป.ป.ช. แล้วให้ อสส.ฟ้องคดีต่อศาลที่มีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีภายใน 90 วัน นับแต่วันที่ได้รับสำนวนคดี และหากพ้น 90 วันแล้วให้ป.ป.ช. มีอำนาจเรียกสำนวนคืนเพื่อฟ้องคดีเองได้ เว้นแต่อสส.มีความเห็นว่าสำนวนคดียังมีข้อไม่สมบูรณ์ ให้แจ้งป.ป.ช. ทราบเพื่อร่วมกันตั้งคณะทำงานรวบรวมพยานหลักฐานให้สมบูรณ์ภายใน 90 วัน

นายธนกฤต กล่าวว่า ร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยป.ป.ช. มาตรา 121 วรรคสอง ยังกำหนดให้กรณี อสส. มีหน้าที่ยื่นคำร้องเพื่อขอให้ทรัพย์สินของบุคคลตามที่กฎหมายกำหนด ตกเป็นของแผ่นดิน แต่อสส.ไม่ยื่นคำร้องภายในกำหนด 90 วัน ให้ป.ป.ช. มีอำนาจยื่นคำร้องขอให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินต่อศาลที่มีเขตอำนาจได้เองด้วย ซึ่งหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในมาตรา 111 และมาตรา 121 วรรคสอง จะทำให้ ป.ป.ช. มีอำนาจฟ้องคดีหรือยื่นคำร้องต่อศาลที่มีเขตอำนาจได้เองโดยไม่ต้องผ่านอสส. เพิ่มขึ้นมาจากเดิม ที่กำหนดไว้แค่เฉพาะกรณีคณะทำงานร่วมที่อสส.และป.ป.ช. แต่งตั้งไม่อาจหาข้อยุติร่วมกันได้ในการดำเนินคดีดังกล่าว

นายธนกฤต กล่าวว่า การเพิ่มขอบเขตอำนาจฟ้องคดีต่อศาลได้เองของป.ป.ช. ตามมาตรา 111 รวมทั้งอำนาจยื่นคำร้องต่อศาลขอให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินตามมาตรา 121 วรรคสอง จะต้องพิจารณาว่ามีความจำเป็นและเหมาะสมเพียงใดด้วย อีกทั้งตามมาตรา 111 และมาตรา 121 วรรคสอง ไม่ได้กำหนดว่าเมื่อเรียกสำนวนคืนมาจากอสส.แล้ว ป.ป.ช.จะต้องฟ้องคดีหรือยื่นคำร้องต่อศาลภายในกี่วัน การที่ป.ป.ช. จะฟ้องคดีหรือยื่นคำร้องต่อศาลเอง จึงอาจจะยิ่งทำให้การดำเนินคดีล่าช้าออกไปมากกว่าเดิมด้วย

ตร.ถามอังกฤษ-หาตัว”ปู”

ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) พ.ต.อ. กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษก ตร. กล่าวถึงการติดตามตัวน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีต นายกฯ ผู้ต้องหาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในคดีที่ปล่อยปละละเลย ไม่ระงับยับยั้งให้มีการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าวว่า ตำรวจและทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ติดตามทวงถามมิตรประเทศอย่างต่อเนื่อง ส่วนกรณีสื่อต่างประเทศรายงานว่าน.ส.ยิ่งลักษณ์อยู่ประเทศอังกฤษนั้น มีการประสานงานอยู่แล้ว แต่ทางอังกฤษยังไม่ได้ตอบกลับมา ส่วนตำรวจ 3 รายที่คาดว่าเกี่ยวข้องกับการพา น.ส.ยิ่งลักษณ์ หลบหนี อยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริงจากคณะกรรมการตรวจสอบ ส่วนการดำเนินคดีอาญาในพื้นที่สน.ปทุมวัน มีการแจ้งข้อหาตามขั้นตอนแล้ว ส่วนผลการตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอของผู้หญิงภายในรถคัมรี่ สีบรอนซ์นั้น อยู่ระหว่างการดำเนินการ ยังไม่สามารถระบุได้ว่าดีเอ็นเอของหญิงดังกล่าวเป็นของน.ส.ยิ่งลักษณ์ หรือไม่ เจ้าหน้าที่กำลังเร่งพิสูจน์

ด้านพล.ต.ต.ภาณุรัตน์ หลักบุญ รองผบช.น. ในฐานะประธานคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง เปิดเผยความคืบหน้ากรณีพ.ต.อ.ชัยฤทธิ์ อนุฤทธิ์ รองผบก.น.5 มีส่วนเกี่ยวข้องในการพา น.ส.ยิ่งลักษณ์ หลบหนีว่า คณะกรรมการต้องตรวจสอบว่าคำชี้แจงจากพ.ต.อ.ชัยฤทธิ์ เป็นอย่างไร มีความผิดทางวินัยหรือไม่ ส่วนความผิดทางอาญานั้นได้ดำเนินการไปแล้ว ส่วนประเด็นพฤติการณ์ในการนำอดีตนายกฯ ไปบริเวณอ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว เป็นคำรับของพ.ต.อ.ชัยฤทธิ์ แต่ในการรวบรวมพยานหลักฐาน ต้องดูผลการตรวจสอบว่าดีเอ็นเอที่อยู่บนรถที่กล่าวอ้างมีอดีตนายกฯ นั่งอยู่บนเบาะภายในรถตรงกับดีเอ็นเอของอดีตนายกฯหรือไม่ กรณีดังกล่าวถือเป็นสาระสำคัญเหมือนกัน ถ้าข้อเท็จจริงที่รวบรวมนั้น มีความผิดอาญาหรือผิดวินัยข้อหาไหน ทั้งนี้จะตรวจสอบเรื่องนี้ให้จบภายใน 1-2 วัน

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน