คดียิ่งลักษณ์จบแล้ว ทั้งทนายและอัยการสูงสุดไม่ยื่นอุทธรณ์ ทนายเผยติดต่อไม่ได้ ขณะที่อสส.พอใจคำพิพากษา ชี้คู่ความไม่อุทธรณ์ถือว่าคดีถึงที่สุดแล้วอัยการยันหมายจับไม่มีอายุความ ส่วนคดี จีทูจี เล็งยื่นอุทธรณ์เน้นกลุ่มเอกชน-โรงสีข้าวที่ศาลยกฟ้อง ด้าน 3 พรรคใหญ่-อดีตส.ว. จี้คสช.ปลดล็อกทำกิจกรรมการเมืองได้ หวั่นทำเสียโอกาส ทวงสัญญาวัดความจริงใจ”บิ๊กตู่” ด้านกรธ.ย้ำส่งกม.ลูก 3 ฉบับที่เหลือให้สนช.ตามกรอบเดิม แจงกม.เลือกตั้งส.ส. สั่งกกต.ออนไลน์ภาษีย้อนหลังผู้สมัคร 3 ปี “บิ๊กตู่”ปลื้มภาพรวมเศรษฐกิจดีขึ้น ยกตัวเลขส่งออกสูงสุด ลั่นเดินหน้าตามโรดแม็ป
“บิ๊กตู่”ปลื้มภาพรวมเศรษฐกิจดีขึ้น
เมื่อวันที่ 29 ต.ค. พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พอใจสถานการณ์เศรษฐกิจโดยรวมของประเทศที่ดีขึ้น นับตั้งแต่ก่อน ที่รัฐบาลจะเข้ามาบริหารประเทศเมื่อปี 2557 ยืนยันว่าขั้นตอนทุกอย่างจะเป็นไปตามโรดแม็ป และย้ำว่าไม่ใช่เพียงการประกาศให้มีการเลือกตั้งเท่านั้นที่ทำให้เศรษฐกิจขยายตัว เพราะความจริงประเทศไทยมีพื้นฐานที่ดีอยู่แล้ว นักลงทุนมีความเชื่อมั่น ขอเพียงทุกฝ่ายหันมาร่วมมือกัน
พล.ท.สรรเสริญกล่าวว่า นายกฯ ได้รับรายงานผลสำรวจความเชื่อมั่นของภาคอุตสาหกรรมไทยเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา ว่าผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมมีมุมมองเชิงบวกต่อเศรษฐกิจ ดัชนีความเชื่อมั่นอยู่ที่ 86.7 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 85.0 ในเดือน ส.ค. และปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเดือนที่ 2 ติดต่อกัน และสูงสุดในรอบ 6 เดือน สอดคล้องกับปริมาณการผลิตสินค้าอุตสาหกรรม เช่น รถยนต์ ปูนซีเมนต์ และการขยายตัวของธุรกิจเอสเอ็มอี ในช่วงปลายปีนี้ที่เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน
ฟุ้งตัวเลขส่งออกสูงสุด
โฆษกรัฐบาล กล่าวว่า ตัวเลขการส่งออกของไทยในเดือน ก.ย. 2560 มีมูลค่าถึง 2.18 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.22 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 ติดต่อกัน โดยเฉพาะการส่งออกข้าว ซึ่งเป็นผลผลิตทางการเกษตรที่สำคัญของเกษตรกร มียอดการส่งออกตลอด 9 เดือนที่ผ่านมา 8.97 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 25.28 และคาดว่าสิ้นปีนี้อาจส่งออกข้าวได้สูงสุดใกล้เคียงกับเป้าหมายที่ตั้งไว้คือ 11 ล้านตัน
พล.ท.สรรเสริญกล่าวว่า นายกฯให้ความสำคัญกับการสร้างความสมดุลทางเศรษฐกิจในทุกมิติ จึงมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับฐานรากและมาตรการช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของผู้มีรายได้น้อย ครอบคลุมทั้งเรื่องที่อยู่อาศัย การดำรงชีวิตประจำวัน การรักษาพยาบาล การเดินทาง การประกอบอาชีพ และจะยังดำเนินการต่อเนื่อง แต่สิ่งเหล่านี้ต้องใช้เวลาจึงจะเห็นผลเป็นรูปธรรม จึงอยากให้ประชาชนเข้าใจและร่วมมือกับรัฐบาล พัฒนาตัวเอง ปรับเปลี่ยนวิธีคิด เพิ่มมูลค่าผลผลิต ลดต้นทุนที่ไม่จำเป็น เพื่อให้เกิดการเปลี่ยน แปลงที่รวดเร็วขึ้น
ทนายยิ่งลักษณ์ยันไม่ยื่นอุทธรณ์
นายนรวิชญ์ หล้าแหล่ง ทนายความของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ เปิดเผยถึงการยื่นอุทธรณ์ในคดีจำนำข้าวหลังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษาจำคุก น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นเวลา 5 ปีว่า เมื่อวันที่ 27 ต.ค.ที่ผ่านมา เป็นวันครบกำหนด 30 วัน เเต่นับจากวันที่ 25 ส.ค.ที่เป็นวันนัดฟังคำพิพากษาครั้งเเรก น.ส.ยิ่งลักษณ์ก็ไม่ได้ติดต่อกับทีมทนายความ ทางทีมทนายจึงไม่ได้ยื่นอุทธรณ์หรือขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ออกไป ถือว่าเรื่องจบไป ส่วนทนายก็สิ้นสุดภาระหน้าที่ในการทำคดีดังกล่าว และขณะนี้ยังไม่ได้รับมอบหมายให้ทำคดีใดเพิ่มเติม ที่ผ่านมาทีมทนายได้ทำคดีที่รับผิดชอบอย่างเต็มที่ตามวิชาชีพแล้ว
นายนรวิชญ์กล่าวว่า ส่วนที่มีข่าวว่าอัยการสูงสุด (อสส.) เตรียมประสานกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อดำเนินการเพิกถอนหนังสือ เดินทาง(พาสปอร์ต)ของน.ส.ยิ่งลักษณ์ และติดตามนำตัวกลับมาดำเนินคดีหลังจากจำเลยไม่ใช้สิทธิ์ยื่นอุทธรณ์ต่อสู้คดีนั้น ตนไม่ขอออกความเห็น เนื่องจากเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย
อสส.ก็ไม่ยื่น-ชี้คำพิพากษาถึงที่สุด
นายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวว่า ตนทราบว่าในคดีนี้ นายเข็มชัย ชุติวงศ์ อสส. มีความเห็นไม่ยื่นอุทธรณ์ เนื่องจากเห็นด้วยตามคำพิพากษา ของศาลที่ลงโทษ น.ส.ยิ่งลักษณ์
เมื่อถามว่าจะต้องส่งกระทรวงการต่างประเทศเพิกถอนพาสปอร์ตเลยหรือไม่ นายโกศลวัฒน์กล่าวว่า ขั้นตอนหลังจากนี้จะเป็นไปตามที่อสส.เคยกล่าวไว้ว่าใครมีหน้าที่อะไรก็ต้องทำตามกฎหมาย ต้องดูว่ากฎหมายอนุญาต ให้ทำยังไงต่อได้อีกบ้าง เเต่ไม่ได้เร่งรัดเรื่องใด เป็นพิเศษ ให้เป็นไปตามขั้นตอนเพื่อความเป็นธรรม
รายงานข่าวจากศาลยุติธรรมภายหลังจากทนายความน.ส.ยิ่งลักษณ์ เเละอสส. คู่ความไม่ยื่นอุทธรณ์ในคดีจำนำข้าวว่า ขั้นตอนหลังจากนี้เมื่อคู่ความไม่ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาภายใน 1 เดือนจะถือว่าคดีถึงที่สิ้นสุด ซึ่งปกติ หมายคดีถึงที่สิ้นสุด จะออกตามภายใน 30 วันนับจากวันอ่านคำพิพากษาเมื่อวันที่ 27 ก.ย. หากไม่มีการยื่นอุทธรณ์คดี
เผยหมายจับ”ปู”ไม่มีอายุความ
รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับคดีโครงการ รับจำนำข้าวที่ไม่ได้ออกหมายคดีถึงที่สิ้นสุด เพราะยังไม่ได้ตัวจำเลยมาบังคับตามคำพิพากษา ของศาล ซึ่งหมายคดีถึงที่สุดจะออกต่อเมื่อได้ตัวจำเลยมาเเล้ว ส่วนกรณีนี้ ศาลได้ออกหมายจับตัวจำเลยมาบังคับตามคำพิพากษาเมื่อวันที่ 27 ก.ย.ที่อ่านคำพิพากษาลับหลังจำเลย ให้ลงโทษจำคุก 5 ปีนั้น จากการตรวจสอบหมายจับของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ในคดีนี้พบว่าเป็นหมายจับที่ไม่มีอายุความ ซึ่งเป็นการตีความตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาความอาญาของผู้ดำรงตำเเหน่งทาง การเมืองใหม่ ที่หมายจับจะใช้บังคับจับกุมตัวจำเลยได้โดยไม่นับอายุความ
อัยการเร่งตามตัวมาดำเนินคดี
นายสุรศักดิ์ ตรีรัตน์ตระกูล ผู้ตรวจการอัยการ ในฐานะรองหัวหน้าคณะทำงานอัยการ รับผิดชอบคดีจำนำข้าวและระบายข้าว กล่าวว่า คดีจำนำข้าวที่ อสส.ได้ยื่นฟ้องน.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นจำเลยนั้นขณะนี้ถือว่าคดีเป็นที่สุดตามคำพิพากษาของศาลฎีกาฯแล้ว เพราะไม่ได้ยื่นอุทธรณ์คดี ในส่วนของโจทก์ อสส.มีความเห็น เมื่อวันที่ 27 ต.ค.ที่ผ่านมาแล้วเห็นว่าศาลฎีกาฯ ได้พิพากษาจำคุก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ตามบทลงโทษ ที่ได้ยื่นฟ้องคดีแล้ว จึงไม่ได้ยื่นอุทธรณ์อีก ต่อไป
นายสุรศักดิ์กล่าวว่า จากนี้จะเป็นเรื่องการบังคับคดีตามคำพิพากษา ก็ต้องดำเนินการ ติดตามตัวน.ส.ยิ่งลักษณ์มารับโทษต่อไป ซึ่งจะไม่มีการนับอายุความแล้ว หากหลบหนีก็ต้องหลบหนีไปตลอด ส่วนเรื่องความรับผิดทางละเมิดที่กระทรวงการคลังเคยมีคำสั่งให้ชดใช้ค่าเสียหายนั้น เป็นเรื่องของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่นจะต้องว่ากันตามขั้นตอน ซึ่งทราบว่าอยู่ในการพิจารณาของศาลปกครอง
ถอนพาสปอร์ตเป็นหน้าที่กต.
นายสุรศักดิ์กล่าวอีกว่า ส่วนการเพิกถอนพาสปอร์ตของน.ส.ยิ่งลักษณ์นั้น กระทรวงการต่างประเทศต้องพิจารณาต่อไป ซึ่งหลังจาก คดีจำนำข้าวถึงที่สุดแล้ว เราจะแจ้งคำสั่งไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้ทราบ ส่วนการได้ตัวมาก็เป็นส่วนของการขอส่งตัวผู้ร้าย ข้ามแดนกลับมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป ซึ่งจะต้องให้ทราบแหล่งที่อยู่ที่แท้จริงของจำเลย ตามพ.ร.บ.ความร่วมมือระหว่างประเทศ ในเรื่องทางอาญา เพื่อจะได้ดำเนินการเรื่องส่งตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดน ต้องประสานกับกระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
“คดีนี้อัยการทำตามหน้าที่ ก็มีคนถามว่าทำไมลงโทษน้อย คดีนี้เราฟ้องให้จำคุกในอัตราโทษตั้งแต่ 1-10 ปี และปรับเงิน 20,000-200,000 บาท ทั้งนี้ ศาลวินิจฉัยเหมาะสมแก่การลงโทษแล้ว คือให้จำคุก 5 ปี ถือว่าสูงแล้ว ในคดีความผิดลักษณะอย่างนี้” นายสุรศักดิ์กล่าว
เล็งยื่นอุทธรณ์คดีระบายข้าวจีทูจี
นายกิตินันท์ ธัชประมุข อธิบดีอัยการสำนักงานสอบสวน ในฐานะคณะทำงานรับผิดชอบคดีจำนำข้าวและระบายข้าว กล่าวถึงความคืบหน้าการอุทธรณ์คดีทุจริตระบายข้าวจีทูจีว่า คณะทำงานจะประชุมในช่วงต้นเดือน พ.ย.นี้ เพื่อสรุปประเด็นการอุทธรณ์คดี ซึ่งได้ร่างคำอุทธรณ์ไว้แล้วว่าจะมีแนวทางอย่างไร หลักใหญ่จะเน้นกลุ่มเอกชนและโรงสีข้าวที่ศาลฎีกาฯ มีคำพิพากษายกฟ้องไปซึ่งส่วนนี้จะต้องพิจารณารายละเอียดให้รอบคอบ เพราะ จะมีผลสืบเนื่องกับความเสียหายทางแพ่ง ถ้าศาลยกฟ้อง ราชการก็อาจเรียกร้องค่าเสียหายจากกลุ่มโรงสีดังกล่าวได้ ส่วนกลุ่มจำเลยที่เป็นอดีตนักการเมืองและอดีตข้าราชการ กรมการค้าต่างประเทศนั้น เป็นประเด็น ยิบย่อย ในเรื่องการแก้ไขสัญญาบางฉบับว่าจะยื่นอุทธรณ์ด้วยหรือไม่ โดยคำพิพากษาของศาลฎีกาฯที่ออกมาแล้วนั้น ได้ลงโทษกลุ่มจำเลยดังกล่าวไว้ในอัตราโทษที่ค่อนข้างสูงตามบทลงโทษแล้ว
เมื่อถามว่าอัยการจะสรุปประเด็นและยื่นอุทธรณ์คดีจีทูจีได้ทันระยะเวลาการขอขยายอุทธรณ์ ครั้งที่ 2 นี้ช่วงสิ้นเดือนพ.ย.หรือไม่ นายกิตินันท์กล่าวว่า น่าจะทันเพราะขณะนี้มีความพร้อม ในการร่างอุทธรณ์ไว้แล้ว เพียงแต่ต้องสรุปประเด็นให้ครบถ้วนชัดเจนอีกครั้ง โดยนายภูมิ สาระผล อดีต รมช.พาณิชย์ และนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ จำเลยที่ 1-2 ได้ยื่นอุทธรณ์คดีต่อศาลฎีกาฯแล้ว และขณะนี้คณะทำงานอัยการได้รับสำเนาคำอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองแล้ว ซึ่งจะตรวจดูรายละเอียดเพื่อทำคำแก้อุทธรณ์ส่งต่อศาลฎีกาฯต่อไป ซึ่งจะมีเวลา 30 วัน แต่หากรายละเอียดมีมาก ทำคำแก้อุทธรณ์ไม่ทัน ก็ขอขยายระยะเวลาได้อีก
แจงยื่นฟ้อง”ปู”ไม่ได้แยกเหตุการณ์
เมื่อถามว่าการไม่ยื่นอุทธรณ์คดีจำนำข้าวที่ยื่นฟ้องน.ส.ยิ่งลักษณ์ ซึ่งศาลได้พิพากษาลงโทษในประเด็นการระบายข้าวเท่านั้น ไม่ได้ ระบุเป็นความผิดจำนำข้าวแล้วจะมีผลอย่างไรหรือไม่ นายกิตินันท์กล่าวว่า คดีจำนำข้าวที่อสส.ได้ยื่นฟ้องน.ส.ยิ่งลักษณ์นั้น เป็นการกระทำเพียงกรรมเดียว โดยยื่นฟ้องถึงการปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ โดยมิชอบในภาพรวม ทั้งโครงการจำนำข้าวที่มีความต่อเนื่องมา จนถึงการนำข้าวที่เข้าสู่โครงการมาระบายออกขาย ด้วยการทำสัญญาขายข้าวแบบจีทูจี ดังนั้น แม้จะระบุถึงการละเว้นปฏิบัติหน้าที่ไม่ชอบฯ ในช่วงของการระบายข้าว แต่ถือว่าเป็นความผิดตามที่อัยการได้ฟ้องและศาลมีคำพิพากษาตามบทลงโทษนั้นแล้ว โดยการฟ้องอัยการไม่ได้แยกเหตุการณ์ ฟ้องต่างกรรมกัน
อดีตส.ว.หนุนคสช.ปลดล็อก
นายสิงห์ชัย ทุ่งทอง อดีต.ส.ว.อุทัยธานี กล่าวว่า ตนเห็นด้วยว่าควรจะเริ่มปลดล็อกพรรคให้เริ่มทำกิจกรรมได้แล้ว เพราะถึงเวลาแล้ว และขณะนี้ร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยการได้มา ซึ่งส.ว.และร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. ที่เป็นกฎหมายลูกเกี่ยวกับการเลือกตั้ง 2 ฉบับสุดท้ายใกล้เสร็จสมบูรณ์แล้ว ดังนั้น คสช.ควรให้นักการเมืองและพรรคออกมาทำกิจกรรม เพื่อเตรียมความพร้อมสู่การเลือกตั้งในช่วงปลายปี 2561 ซึ่งการปลดล็อกนั้น แม้จะทำให้รัฐบาลและคสช.ตกเป็นเป้าโจมตี แต่ก็เป็นการส่งสัญญาณว่าจะมีการเลือกตั้งตามโรดแม็ปตามที่นายกฯประกาศไว้ สร้างความมั่นใจให้กับทุกคนด้วย และหากนักการเมืองทำอะไรที่ก่อให้เกิดความวุ่นวาย รัฐบาลยังมีกฎหมายที่เอาไว้ควบคุมได้
ปชป.รอวัดความจริงใจ”บิ๊กตู่”
นายศุภชัย ศรีหล้า อดีตรองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ คสช.บอกว่าไม่อยากให้ฝ่ายการเมืองขยับ เพราะอยู่ในช่วงพระราชพิธีสำคัญ ซึ่งฝ่ายการเมือง ทุกคนปฏิบัติตาม จนถึงวันนี้งานพระราชพิธีสำคัญได้ผ่านมาอย่างราบรื่นเเล้ว ประกอบ กับพ.ร.บ.ว่าด้วยพรรคการเมืองมีผลบังคับใช้ แต่ติดที่มีคำสั่งคสช.ห้ามพรรคการเมืองเคลื่อนไหวค้ำอยู่ และเมื่อไปดูรายละเอียดกฎหมายพรรคการเมืองทั้ง 150 มาตรา แต่ละมาตราแต่ละขั้นตอนต้องใช้เวลาปรับตัว อาทิ พรรคมีสมาชิกเดิมนับล้านคน ยังไม่นับจำนวน สาขาพรรคทั่วประเทศอีก ดังนั้น จึงไม่ง่ายเลยที่จะอธิบายแจกแจงกติกาใหม่ในเวลาอันสั้น
“การปลดล็อกยิ่งเร็ว ยิ่งดี มีผลต่อการ รับไม้ต่อในการสร้างบ้านแปลงเมือง ผมพูดเพื่อให้ทำตามขั้นตอนกฎหมายไม่ใช่ในมุมอื่น ถ้าคสช.อยากเห็นการปฏิรูปการเมือง อยากเห็นพรรคเป็นของประชาชนจริงๆ ต้องให้เวลาประชาชน รวมถึงพรรคปรับตัว แต่ถ้าไม่ทำตามคำพูด แสดงว่าที่เคยพูดมาก็เเค่ลม ปาก คสช.ต้องให้โอกาสประชาชน ให้โอกาสประเทศ เหมือนที่ประชาชนเคยให้โอกาสและรอคอยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้าคสช.มาอย่างอดทน ดังนั้น วัดความจริงใจกันไปเลยว่าคสช.อยากเห็นการปฏิรูปการเมืองอย่างจริงใจหรือไม่” นายศุภชัยกล่าว
ชทพ.หวั่นพรรคเสียโอกาส
นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวว่า ขอเรียกร้องให้พล.อ.ประยุทธ์ปลดล็อกให้พรรค ทำกิจกรรมทางการเมืองได้แล้ว เพราะร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยพรรคการเมือง ประกาศใช้ จะครบกำหนด 1 เดือนแล้ว กิจกรรมบางอย่างจากที่กำหนด 180 วันก็จะเหลือเพียง 150 วัน ทำให้พรรคเสียโอกาสไปเรื่อยๆ ไม่สามารถทำอะไรได้เลย เป็นห่วงพรรคที่มีสมาชิกจำนวนมาก ต้องส่งจดหมายให้สมาชิกพรรคและกว่าจะตอบกลับมา และต้องให้กกต.รับรองอีก ซึ่งต้องใช้เวลาดำเนินการ ฉะนั้น อย่ากลัวว่าหากเปิดให้พรรคดำเนินกิจกรรมแล้วจะทำให้การบริหารงานของรัฐบาลมีปัญหา หรือยุ่งยาก รัฐบาลสามารถบริหารประเทศ ต่อไปได้
ห่วงระบบไพรมารี่โหวต
นายนิกร จำนง ผอ.พรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวว่า หากคสช.จะปลดล็อกการเมือง ขอเรียกร้องให้ปลดล็อกทั้งหมดดีกว่าปลดแค่บางส่วน ส่วนที่คสช.กังวลว่าหากปลดล็อกแล้วจะเกิดความขัดแย้งขึ้นอีกนั้นเชื่อว่าไม่มีอย่างแน่นอน เพราะทุกคนต้องเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้งตามที่นายกฯ ประกาศไว้ อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าหนักใจในเรื่องการเลือกตั้งแบบไพรมารี่โหวต เพราะเป็นเรื่องใหม่สำหรับ ทุกฝ่าย กกต.ก็เป็นใครก็ไม่รู้ ทุกอย่างเริ่มจากศูนย์หมด เป็นระบบที่ไม่เคยมีมาก่อน คนคุมการเลือกตั้งก็ใหม่ ทุกอย่างใหม่หมด วิ่งเข้าไปหาปัญหากันหมดเลย
“ตรงนี้น่าห่วง เพราะอาจมีปัญหาที่เราคิดไม่ถึงอีกมาก เป็นปัญหาใหม่ๆ ในเวลาจำกัด ไม่มีโอกาสแก้ตัว สุดท้ายพรรคการเมืองก็จะกลายเป็นจำเลยอีก หลังจากเคยเป็นมาแล้ว 4 ปีเต็ม เราจะกลายเป็นตำบลกระสุนตก” นายนิกรกล่าว
พท.ครวญเหมือนถูกมัดมือชก
ด้านนายสามารถ แก้วมีชัย คณะทำงานติดตามการร่างรัฐธรรมนูญ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า หลังจากพ.ร.บ.ว่าด้วยพรรคการเมืองประกาศใช้ พรรคต่างๆ ต้องดำเนินการตามที่กฎหมายกำหนด จึงหวังอย่างยิ่งว่าผู้รับผิดชอบ จะปลดล็อก เปิดโอกาสให้พรรคเดินหน้าต่อเพื่อไปสู่การเลือกตั้ง ซึ่งพรรคเพื่อไทยเป็นพรรคใหญ่ เราอยากดำเนินการทุกอย่างให้ทันตามเงื่อนเวลาที่กำหนด ตอนนี้เปรียบเหมือนเราถูกมัดมือมัดเท้า รอให้ผู้มีอำนาจมาปลดล็อกปลายเชือก จึงหวังว่าในช่วงเดือน พ.ย.นี้ คงจะมีความชัดเจนในเรื่องนี้
นายชัยเกษม นิติศิริ คณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การเร่งดำเนินการทั้งเรื่องกฎหมาย และการปลดล็อกให้พรรคดำเนินกิจกรรมได้เป็นสิ่งที่ควรทำทั้งสิ้น เพื่อเดินตามโรดแม็ป อะไรที่ผ่อนปรนได้ก็ควรเร่งทำ เพราะไม่มีเหตุติดขัดแล้ว แต่ผู้มีอำนาจเขาจะทำหรือไม่นั้นก็เดาใจยาก แต่หากยื้อเวลาออกไปเรื่อยๆ คนเขาก็จะรู้สึกได้เอง
นายประจักษ์ แกล้วกล้าหาญ รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า ในพรรคภูมิใจไทยได้พูดคุยกันเห็นว่า คสช.ให้ประชุมพรรคได้เมื่อไรก็เมื่อนั้น ทางเราจะไม่โอดครวญแต่พร้อมปฏิบัติตามกฎกติกา และพร้อมปฏิบัติตามกฎหมาย เพราะหากพรรคไม่ปฏิบัติตามกติกาก็คงเดินไปกันไม่ได้
กรธ.ส่งกม.ลูกให้สนช.ทัน 1 ธ.ค.
นายชาติชาย ณ เชียงใหม่ คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) กล่าวถึงการจัดทำกฎหมายลูกก่อนครบกำหนด 240 วัน ในวันที่ 1 ธ.ค.ว่า กรธ.จะส่งร่างพ.ร.บ.ประกอบ รัฐธรรมนูญ 3 ฉบับสุดท้าย ให้สนช. ตามกรอบเวลาเดิมที่กำหนดไว้ โดยร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ป.ป.ช.)นั้น กรธ.มีการปรับแก้เล็กน้อย ยังยืนยันในหลักการคือ 1.ต้องมีความรวดเร็วในการป้องปราม
นายชาติชายกล่าวว่า 2.ต้องร่วมมือในด้านการข่าว กำหนดให้เซ็นเอ็มโอยูกับสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เพื่อร่วมมือเรื่องข้อมูลระหว่างกัน ไม่ต่างคนต่างทำเหมือนที่ผ่านมา และ 3.ต้องทำงานเชิงรุก ไม่รอรับเรื่องเรียน แต่ตรวจสอบได้ทันทีเมื่อพบเห็นข้อมูล ทั้งนี้ จะส่งให้สนช.พิจารณาในวันที่ 31 ต.ค.นี้ ส่วนร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยการได้มาซึ่งส.ว. คาดว่าจะได้รับความเห็นจากคณะกรรมการการ เลือกตั้ง (กกต.) ในสัปดาห์นี้ จากนั้นจึงนำมาพิจารณาแล้วส่งให้สนช.วันที่ 21 พ.ย.
ออนไลน์ภาษีย้อนหลังผู้สมัครส.ส.
นายชาติชายกล่าวว่า ส่วนร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ทางกรธ.พิจารณาแล้ว 40 มาตรา จาก 130 มาตรา เกี่ยวกับกรอบเวลาและวิธีดำเนินงาน ทั้งการกำหนดวัน เลือกตั้ง หน่วยเลือกตั้ง เขตเลือกตั้ง โดยล้อรับตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด และมีบางส่วนที่จะเขียนให้ชัดเจนขึ้น เพื่อตอบโจทย์การปฏิรูป และความโปร่งใส เช่น กำหนดให้ผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งต้องเปิดเผยรายการเสียภาษีย้อนหลัง 3 ปี ก็เพิ่มเติมให้กกต.ต้องนำข้อมูล เหล่านี้เผยแพร่บนเว็บไซต์ให้สังคมรับรู้ด้วย
นายชาติชายกล่าวว่า นอกจากนี้ ยังมีแนวคิด ส่งเสริมความเข้มแข็งของพรรคคือ เรื่องเงินค่าสมัคร 10,000 บาท ผู้สอบผ่านได้เป็นส.ส. และผู้สมัครที่ได้คะแนนเกินร้อยละ 5 อาจให้นำค่าสมัครส่งคืนพรรคแทนผู้สมัคร เพื่อให้พรรคมีเงินทำกิจกรรมส่งเสริมความเป็นสถาบัน มากยิ่งขึ้น โดยพร้อมส่งให้สนช.พิจารณาในวันที่ 28 พ.ย.นี้
สนช.เชื่อมีคนสมัครกกต.แน่
นายตวง อันทะไชย อดีตประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยกกต. ของสนช. กล่าวถึงกรณีที่ยังไม่มีคนสมัครเข้ารับการสรรหาเป็นกกต.ว่า ยังมีเวลา และมั่นใจว่าก่อนครบกำหนดในวันที่ 10 พ.ย. จะมีคนมาสมัคร แต่ที่ยังไม่มีใครสมัครนั้น ถ้าดูคุณสมบัติแล้ว บุคคลที่จะเข้ารับการสรรหาได้ ต้องเป็นผู้ใหญ่จึงมีความสุขุมและไม่เร่งรีบ แต่เชื่อว่ามีคนสมัครแน่นอน
ส่วนข้อวิจารณ์ว่าเป็นเพราะคุณสมบัติของ กกต.เข้มข้นจนเกินไปหรือขั้นเทพ จึงทำให้มีคนที่มีคุณสมบัติถึงจำนวนน้อย นายตวง กล่าวว่า ไม่ขอแสดงความเห็น คุณสมบัติ เหล่านี้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ และตอนที่กมธ.พิจารณายกร่างกฎหมายประกอบ ก็ไม่สามารถเขียนอะไรที่เกินหรือขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญได้ แต่มองว่ามีบุคคลที่มีคุณ สมบัติครบจำนวนมากที่สามารถสมัครเข้ารับการสรรหาได้ ขออย่ากังวล
ยันไม่กระทบโรดแม็ปเลือกตั้ง
“ถ้าดูตามสเป๊กแล้ว คนที่สมัครได้ก็เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ คงรอดูท่าทีกันก่อน แต่เชื่อว่าสุดท้ายแล้ว มีคนมาสมัครล้านเปอร์เซ็นต์ ขอให้สังเกตดูว่าตอนเปิดสมัครรับกรรมการองค์กรอิสระใหม่ๆ ก็ไม่มีใครสมัคร แต่สุดท้าย ก็มี” นายตวงกล่าว
ส่วนที่กังวลว่าหากการสรรหากกต.ล่าช้าอาจกระทบโรดแม็ปเลือกตั้งนั้น นายตวง กล่าวว่า ไม่มีปัญหา ยังมีเวลาเพราะกฎหมายลูกเกี่ยวกับการเลือกตั้งยังร่างไม่เสร็จ และมั่นใจว่าได้กกต.ก่อนแน่นอน
นพ.เจตน์ ศิรธรานนท์ โฆษกกมธ.วิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(วิปสนช.) กล่าวถึงกรณีที่ยังไม่มีบุคคลใดยื่นใบสมัคร กกต.ว่า ไม่น่าเป็นปัญหา เป็นเรื่องปกติ ที่ผ่านมาส่วนใหญ่การสมัครเข้าสรรหาองค์กรอิสระวันสุดท้ายและวันรองสุดท้าย ดังนั้น ต้องรอดูก่อน ส่วนจะต้องใช้แนวทางให้กรรมการสรรหาทาบทามบุคคลเข้ารับการสรรหาหรือไม่นั้น คิดว่าต้องรอดูก่อน เพราะยังมีเวลาอีกหลายวัน