ศาลฎีกาสั่งยกคำร้อง “ครูจอมทรัพย์” ขอรื้อคดีขับรถชนคนตายชี้คำให้การพยานไม่น่าเชื่อถือ อีกทั้ง สับ วาปี พยานเอกที่รับว่าเป็นคนขับชนไม่ขึ้นให้การ ทั้งที่เป็นเงื่อนไขสำคัญ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 สั่งพิจารณารื้อคดี ภายหลังรับฟังคำพิพากษา เจ้าตัวกล่าวเสียงเครียด สู้จนถึงที่สุดแล้ว จะเดินหน้าเรื่องขอกลับเข้ารับราชการต่อไป ขณะที่ตร.เตรียมเอาผิดผู้ที่มาให้การเท็จ เผยมีไม่ต่ำกว่า 9 คน

เมื่อวันที่ 17 พ.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.นครพนม ว่าวันนี้ เวลา 13.30 น. ศาลจังหวัดนครพนม นัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีครูจอมทรัพย์ หรือ นางจอมทรัพย์ แสนเมืองโคตร อายุ 55 ปี อดีตข้าราชการครู ผู้ต้องหาคดีขับรถชนคนตาย ในพื้นที่ อ.เรณู นคร จ.นครพนม เหตุเกิดเมื่อ 11 มี.ค. 2548 ในพื้นที่ สภ.นาโดน ซึ่งคดีดังกล่าวเจ้าตัว ถูกศาลฎีกาตัดสินให้จำคุก 3 ปี 2 เดือน ก่อนได้รับการอภัยโทษเมื่อปี 2556 ภายหลังติดคุกมา 1 ปี 6 เดือน ต่อมาครูจอมทรัพย์เข้าร้องทุกข์ต่อกระทรวงยุติธรรม เพื่อขอรื้อคดีตาม พ.ร.บ.การรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ พ.ศ.2526 ร่วมทั้งทำเรื่องขอกลับเข้ารับราชการตามเดิม โดยในตอนแรกได้นำตัวนายสับ วาปี ที่รับว่าเป็นคนขับรถชนมาเป็นพยานปากเอก ต่อมาศาลอุทธรณ์ภาค 4 มีคำสั่งให้ศาลชั้นต้น คือ ศาลจังหวัดนครพนมพิจารณารื้อคดี โดยนัดสืบพยานเมื่อวันที่ 8-10 ก.พ. 2560 ที่ผ่านมา แต่เมื่อถึงขั้นตอนสืบพยานปรากฏว่านายสับกลับถูกตัดออกจากพยาน จากนั้นจึงส่งเรื่องให้ศาลฎีกาเป็นผู้ตัดสิน ขณะที่ฝ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจได้คัดค้านการรื้อฟื้นคดี โดยพล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. สั่งการให้ พล.ต.อ.ปัญญา มาเม่น อดีตจเรตำรวจในขณะนั้น ลงพื้นที่สืบสวนสอบสวน จนได้ข้อมูลเชิงลึกว่าอาจมีกระบวน การรับจ้างรื้อคดีเพื่อหวังเงินชดเชยเข้ามาเกี่ยวข้อง ทั้งนี้ก่อนหน้าศาลได้นัดอ่าน คำพิพากษาในวันที่ 7 ธ.ค. แต่ได้เลื่อนมาอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาในวันนี้แทน

ขณะที่บรรยากาศภายในบริเวณศาลจังหวัดนครพนม เริ่มคึกคักตั้งแต่ช่วงเช้า กองทัพสื่อมวลชนมารอรายงานข่าวผลการตัดสินของศาล นอกจากนี้ยังมีเจ้าหน้าที่ตำรวจ ชุดเฉพาะกิจตำรวจภูธรจังหวัดนครพนม ระดมกำลังเข้ามาดูแลอำนวยความสะดวก ดูแลความปลอดภัย เนื่องจากคดีนี้คาดว่า จะมีเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้อง รวมถึงประชาชน ที่ให้ความสนใจ เดินทางมาร่วมฟังคำพิพากษาจำนวนมาก

ขณะเดียวกันในช่วงเช้าครูจอมทรัพย์ พร้อมนายภูมิสิทธิ์ เอื้อมบุญสุข และนาย พงศา ราตรี ทนายความ และชาญวิทย์ เพียรแสน นักทัณฑวิทยา สำนักปลัดกระทรวงยุติธรรม เดินทางมาที่สนามบินนครพนม เพื่อมารับนางวาสนา เพชรทอง หลานสาว ซึ่งเป็นผู้ไปยื่นร้องเรียนยุติธรรมให้รื้อฟื้นคดีเมื่อปี 2556 และ นายพิมพ์รดา แสนเมืองโคตร วัย 29 ปี บุตรชาย

โดยก่อนเดินทางไปที่ศาลจังหวัดนครพนม ครูจอมทรัพย์พร้อมคณะ เดินทางไปกราบไหว้พญาศรีสัตตนาคราช ที่ริมฝั่งแม่น้ำโขง อ.เมือง เมื่อเดินทางไปถึงศาล ครูจอมทรัพย์นำพวงมาลัยไปไหว้ศาลพระภูมิเจ้าที่ บริเวณประตูทางเข้าหน้าศาล ท่ามกลางกองทัพสื่อมวลชนและเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบคอยดูแลความปลอดภัย

ครูจอมทรัพย์กล่าวก่อนเข้ารับฟังคำพิพากษาว่า ในที่สุดวันนี้ก็มาถึงจนได้หลังรอคอยมานานกว่า 10 ปี ถ้าบอกว่ากังวลก็กังวลอยู่แต่ไม่มาก แต่มีความพร้อมที่อยากจะฟังก่อนศาลนัดอ่านคำพิพากษาในวันที่ 7 ธ.ค. คดีจะได้สิ้นสุดสักที ผลที่ออกมาอย่างไรตนก็น้อมรับคำพิพากษาและครอบครัวจะได้อยู่เป็นสุขสักที และจะได้ไม่พะวงกับการรอคอยอะไรอีก และขอขอบคุณสื่อมวลชน ประชาชนจำนวนมากที่คอยให้กำลังใจมาโดยตลอด จากนั้นได้มีนางศิริพันธ์ จำปามูล ตัวแทนครูจาก จ.สกลนคร ได้มามอบช่อดอกไม้ให้กำลังใจ ซึ่งครูจอมทรัพย์ได้ขอบคุณที่มาให้กำลังใจ ก่อนจะเดินฝ่ากองทัพสื่อมวลชนขึ้นไปห้องพิจารณาที่ 1 บนชั้น 2 ศาลจังหวัดนครพนม

ต่อมาเวลา 13.30 น. ที่ห้องพิจารณาคดี 1 ครูจอมทรัพย์ พร้อมญาติ ทนายความ สื่อมวลชน นอกจากนี้ยังมี พล.ต.ต.สุวิชาญ ญาณกิตติกุล ผบก.ภ.จว.นครพนม ตัวแทนสภาทนายความ จ.นครพนม ร่วม 40 คน ขึ้นไปฟังศาลพิพากษานานกว่า 2 ชั่วโมง โดยศาลฎีกาได้ตัดสินยกคำร้องการรื้อฟื้นคดีของครูจอมทรัพย์ ทำให้คดีนี้เป็นอันยุติลงหลังยืดเยื้อมาหลายปี

ทั้งนี้ คำพิพากษาสรุปสาเหตุที่ยกคำร้องครั้งนี้มีอยู่ 2 ประเด็น ที่น่าสนใจก็คือ ประเด็นแรกพยานหลักฐานที่ครูจอมทรัพย์นำสืบในช่วงวันที่ 8-10 ก.พ. แม้ว่าก่อนหน้านี้ทางฝ่ายผู้ร้องขอยื่นรื้อฟื้นคดี จะมีการอ้างนายสับ วาปี ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้ศาลอุทธรณ์ภาค 4 รับรื้อฟื้นคดีในครั้งนี้ แต่ว่าหลังจากที่ศาลได้มีการให้รื้อฟื้นคดีแล้ว ในวันสืบพยานฝ่ายผู้ร้องกลับไม่ได้นำตัวนายสับ วาปี ขึ้นเบิกความในชั้นศาล แม้ว่า นายสับ จะเดินทางมาศาลในวันดังกล่าวก็จริง ขณะที่พยานบุคคลอื่นๆ ที่เห็นเหตุการณ์โดยเฉพาะนางทัศนีย์ หาญพยัคฆ์ ในชั้นสอบสวน ในชั้นของการพิจารณาคดีของศาลครั้ง 3 ครั้ง ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่าคำให้การของพยานมีลักษณะที่ไม่น่าเชื่อถือ เพราะว่ามีการให้การวกไปวนมาและไม่เหมือนเดิมทั้ง 3 ครั้ง ในขณะที่พยานคนอื่นอย่างเช่น นางทองเรศ ซึ่งนางทัศนีย์ อ้างว่าเป็นผู้ที่ซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์มาในวันที่เกิดเหตุก็ไม่ได้ให้การ ไม่ได้เข้าให้การกับพนักงานสอบสวนตั้งแต่ครั้งแรกในวันที่ เกิดเหตุ แต่มาปรากฏตัวในภายหลัง

นอกจากนี้ศาลยังได้ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับกรณีของนายสับ วาปี รวมทั้งรถยนต์ทะเบียน บค 56 มุกดาหาร ที่นายสับ วาปี อ้างว่าได้ขับรถไปชนในวันเกิดเหตุว่าไม่ใช่รถของครูจอมทรัพย์ ซึ่งศาลก็เห็นว่าในการให้ปากคำของนายสับ ที่เข้าให้ปากคำกับตำรวจและสารภาพว่าเป็นผู้ก่อเหตุนั้นไม่มีความน่าเชื่อถือในสำนวน โดยอ้างว่าได้ขับรถเพื่อที่จะออกไปหาซื้อไม้ยูคาฯ มาขายแต่ว่าช่วงเกิดเหตุนั้นเป็นเวลาประมาณ 2 ทุ่ม ซึ่งผิดปกติวิสัยของผู้ที่จะรับซื้อไม้ แต่ก็บอกว่าได้มาขับรถชนคนตายในวันที่เกิดเหตุ ทำให้ไม่มีความน่าเชื่อถือและในวันที่มีการสืบพยานนายสับ ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญที่จะเป็นคนให้รายละเอียดในเรื่องของการรับสารภาพครั้งนี้ กลับไม่เข้ามาเบิกความในชั้นศาลซึ่งทำให้ศาลมองว่านี่อาจจะเป็นการหลีกเลี่ยงการซักค้านจากฝ่ายของ ผู้คัดค้าน นั่นก็คือฝ่ายอัยการจึงทำให้คำร้องขอรื้อฟื้นคดีของครูจอมทรัพย์นั้นถูกยกคำร้อง

ภายหลังรับฟังคำตัดสิน ครูจอมทรัพย์ กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่า รู้สึกเสียใจแต่น้อมรับคำตัดสินของศาลในวันนี้ แต่ก็ได้สู้จนถึงที่สุดแล้ว แต่ก็ไม่ได้เป็นตามที่เราคิด แต่ก็ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ได้ และขอให้เชื่อมั่นในครูจอมทรัพย์ ต่อจากนี้ตนก็จะเดินหน้าขอยื่นเรื่องกลับเข้ารับราชการครูอีกครั้ง หลังให้สัมภาษณ์เสร็จ ครูจอมทรัพย์พร้อมบุตรชายได้เดินฝ่าวงล้อมสื่อมวลชนไปขึ้นรถกลับในทันที

ด้าน พ.ต.อ.ไพโรจน์ กุจิราพันธ์ รอง ผบก.ภ.จว.หนองบัวลำภู ซึ่งเป็นหัวหน้าชุดคลี่คลายคดีในขณะนั้น กล่าวว่า จะมีการดำเนินคดีผู้ที่มาเป็นพยานให้การเท็จฝั่งครูจอมทรัพย์ ซึ่งอาจจะมีผู้ถูกดำเนินไม่ต่ำกว่า 9 คน

ขณะเดียวกัน ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษก ตร. เปิดเผยว่าในส่วนของตำรวจคงจะขอสงวนแสดงความเห็นในคำพิพากษาของศาล ซึ่งผลการพิพากษาเป็นอย่างไร ต้องน้อมรับเคารพคำพิพากษาของศาล ไม่สามารถก้าว ล่วงได้ อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาได้รับรายงานและมีการตรวจสอบสำนวนการสอบสวนมาโดยตลอด อีกทั้งในคดีดังกล่าว พล.ต.อ.ปัญญา มาเม่น อดีต จตช. เข้าไปตรวจสอบสำนวนการสอบสวน ก็พบว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ดำเนินการอย่างตรงไปตรงมาปกติ สำนวนการสอบสวนสมบูรณ์แล้ว ซึ่งในคดีนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจในชั้นสอบสวนได้สอบสวน รวบรวมพยานหลักฐานอย่างละเอียด ทำสำนวนการสอบสวนอย่างรอบคอบ และดำเนินการฟ้องผู้ต้องหาไปตามพยานหลักฐาน ไม่ได้มีการจับแพะ หรือกลั่นแกล้งให้ผู้หนึ่งผู้ใดมารับโทษ ตามที่เป็นประเด็นแต่อย่างใด ส่วนที่ทำให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสื่อมเสีย ต้องให้ฝ่ายกฎหมายและฝ่ายที่เกี่ยวข้องพิจารณาหารือดำเนินการ เนื่องจากที่ผ่านมาสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้รับความเสื่อมเสีย เกิดความไม่เชื่อมั่นในการสอบสวนในกระบวนการยุติธรรม

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน