ส่งอวัยวะ “น้องเมย”คืนวันนี้ สถาบันนิติวิทยาศาสตร์แจง ผ่าศพนักเรียนเตรียมทหาร พบหัวใจ สมอง และกระเพาะหาย คาดวันที่ 30 พ.ย. นี้สรุปผลชันสูตรได้ “บิ๊กป้อม”ลั่นตายเพราะสุขภาพเด็กเอง ยันซ่อมไม่ละเมิด เผยตัวเองก็เคยโดนจนสลบ ผบ.ททส.สั่งตั้งกก.สอบข้อเท็จจริง ปมไลน์แฉโดนซ่อม

เมื่อวันที่ 22 พ.ย. ที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ นายสมณ์ พรหมรส ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์, นพ.ไตรยฤทธิ์ เตมหิวงศ์ รองผอ.สถาบันนิติศาสตร์, พญ.ปานใจ โวหารดี ผอ.กองส่งเสริมและพัฒนางานนิติวิทยาศาสตร์ ร่วมกันสัมภาษณ์ตอบปัญหาที่เป็นประเด็นที่ทุกคนแคลงใจในเรื่องของการเสียชีวิตของนายภคพงศ์ ตัญกาญจน์ หรือน้องเมย นักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1 ซึ่งครอบครัวนำร่างไปชันสูตรและพบว่าอวัยวะภายในหาย และ ยังติดใจสาเหตุการเสียชีวิตนั้น

นายสมณ์กล่าวว่า จากกรณีการเสียชีวิตของนายภคพงศ์นั้น ถือว่าเป็นเรื่องทุกคนในสังคมสงสัยและแคลงใจ จึงอยากออกมาตอบคำถามเพื่อเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะว่าในวันที่ 27 ต.ค. ทางพนักงานสอบสวนได้ส่งร่างของนายภคพงศ์มาตรวจสอบชันสูตรหาสาเหตุการเสียชีวิตอีกครั้ง ต่อมาในวันที่ 30 ต.ค. มีการตั้งคณะกรรมการในการแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญมาตรวจพิสูจน์และผ่าชันสูตรครั้งที่ 2 ในวันที่ 1 พ.ย.ที่ผ่านมา จึงพบว่าร่างของนายภคพงศ์มีอวัยวะภายในที่หายไป ได้แก่ หัวใจ สมอง และกระเพาะอาหาร จึงได้แจ้งกับทางพนักงานสอบสวนว่ามีอวัยวะภายในบางส่วนที่หาย และขออวัยวะที่หายไปคืน เนื่องจากทางเราต้องทำรายงานผลการตรวจพิสูจน์เพื่อสาเหตุข้อเท็จจริงให้เสร็จโดยเร็วที่สุด

นายสมณ์กล่าวด้วยว่า ในวันที่ 23 พ.ย. พนักงานสอบสวนจะส่งอวัยวะ สมองและหัวใจ ของนายภคพงศ์ มายังสถาบันนิติวิทยา ศาสตร์ เพื่อตรวจพิสูจน์ คาดวันที่ 30 พ.ย.นี้จะสามารถสรุปผลชันสูตรได้ ขณะนี้เหลือเพียงการตรวจสมอง หัวใจ และกระเพาะอาหาร ส่วนการผ่าพิสูจน์ร่างส่วนอื่นๆ ดำเนินการไปแล้ว

นายสมณ์กล่าวอีกว่า ยืนยันว่าไม่ได้พูดคุยกับทางทีมแพทย์ชันสูตรศพ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า และทางพนักงานสอบสวน ก็ไม่ได้แจ้งว่าอวัยวะภายในบางส่วนของ นายภคพงศ์หายไป สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ทราบจากการผ่าชันสูตรรอบ 2 จึงได้แจ้งครอบครัวของนายภคพงศ์ให้ทราบและอนุญาตให้สามารถเข้าไปดูการผ่าชันสูตรศพได้

“อย่างไรก็ตามเชื่อว่าการผ่าพิสูจน์ครั้งแรก คาดแพทย์มีเจตนาดีในการหาร่องรอยทางคดี แต่ขาดการสื่อสารกับญาติ เรื่องการนำอวัยวะออกจากร่าง” นายสมณ์กล่าว

นพ.ไตรยฤทธิ์กล่าวว่า จากข้อสงสัยที่ว่าในการผ่าชันสูตรศพและนำอวัยวะออกมาเพื่อตรวจนั้นต้องแจ้งกับทางญาติหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับว่าผู้ตายเสียชีวิตอย่างไร ซึ่งทางการแพทย์มีการเสียชีวิตอยู่ 2 แบบ คือ 1.เสียชีวิตแบบธรรมชาติ เกิดจากโรคภัย หมอทราบสาเหตุชัดเจน หากจะผ่าชันสูตรแพทย์ต้องขออนุญาตจากครอบครัวหรือญาติพี่น้องของ ผู้เสียชีวิตก่อน และ 2.การเสียชีวิตจากสาเหตุที่ไม่สอดคล้องกับการรักษา ทางแพทย์ก็จะผ่าชันสูตรศพ

“การเสียชีวิตของนายภคพงศ์ เป็นการเสียชีวิตที่ยังหาสาเหตุไม่ชัดเจน ทางพนักงานสอบสวนจึงส่งร่างมาเพื่อผ่าพิสูจน์เป็นในส่วนของรูปคดี ทางการแพทย์จะผ่าชันสูตรทันทีเพื่อความรวดเร็วของรูปคดีให้ชัดเจนถึงสาเหตุของการตายมากยิ่งขึ้น” นพ.ไตรยฤทธิ์กล่าว

พญ.ปานใจกล่าวเสริมว่า ในแนวปฏิบัติต้องแยกระหว่างการเสียชีวิตในรูปคดี จำเป็นต้องชันสูตรร่วมระหว่างตำรวจกับแพทย์นิติเวชแตกต่างจากการเสียชีวิตด้วยโรคทั่วไป การเสียชีวิตทางคดีทางแพทย์สามารถชันสูตรศพได้เลยโดยไม่ต้องบอกญาติ แพทย์เก็บอวัยวะชิ้นใหญ่ไปตรวจเพิ่ม ซึ่งในประเทศไทยยังไม่มีมาตรฐานที่ชัดเจนในเรื่องของการขออนุญาตนำอวัยวะศพไปชันสูตรหาสาเหตุการตายในรูปคดี ทางการแพทย์ถือว่าเป็นรูปคดี นำอวัยวะไปตรวจให้รู้สาเหตุและรู้คำตอบทางคดี จากนั้นจะแจ้งให้ญาติทราบ

พญ.ปานใจกล่าวอีกว่า ในส่วนของการแจ้งสาเหตุการตายว่าหัวใจล้มเหลวเฉียบพลันนั้น แพทย์จะต้องรีบหาสาเหตุเบื้องต้น เพื่อแจ้งให้กับทางญาติของผู้เสียชีวิต ก่อน 24 ชั่วโมง แพทย์จึงต้องรีบหาสาเหตุและส่งให้เร็วที่สุด โดยทางการแพทย์วินิจฉัยว่าหัวใจและสมอง คืออวัยวะสำคัญที่บอกสาเหตุได้ จึงได้เขียนรายงานเบื้องต้นก่อน ภายหลัง ผ่าชันสูตร ตรวจเพิ่มเติม ก็สามารถเปลี่ยนสาเหตุการตายได้ โดยถือว่าไม่มีการขัดแย้ง

ผู้สื่อข่าวถามว่า การปั๊มหัวใจจนทำให้กระดูกซี่โครงหัก 4 ซี่ มีรอยช้ำในช่องท้อง ไหปลาร้าหัก 2 ข้าง เป็นไปได้หรือไม่ พญ.ปานใจกล่าวว่า มีส่วนที่เป็นไปได้ ขึ้นอยู่กับแพทย์ที่อยู่หน้างานว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะต้องทำอย่างไรให้สามารถช่วยเหลือคนไข้ให้ปลอดภัยโดยเร็วที่สุด จากประสบการณ์โดยตรงเคยเจอคนไข้ที่หัวใจแตก เพราะเกิดจากการปั๊มหัวใจ ซึ่งในกรณีของนายภคพงศ์สามารถเป็นไปได้ แต่ยังไม่สรุปให้ชัดเจนเนื่องจากผลการตรวจยังไม่ออก คาดว่าจะเสร็จภายในอาทิตย์หน้า

วันเดียวกัน น.ส.สุพิชชา ตัญกาญจน์ พี่สาวน้องเมยนักเรียนเตรียมทหารที่เสียชีวิต กล่าวว่า ตอนนี้ยังไม่มีอะไรคืบหน้า และ ในวันที่ 23 พ.ย.นี้จะเดินทางไปรับอวัยวะที่ สถาบันพยาธิวิทยา ศูนย์อํานวยการแพทย์พระมงกุฎเกล้า เพื่อนำมาให้กระทรวงยุติธรรม ส่งตรวจสอบที่สถาบันนิติเวช เพื่อชันสูตรต่อ ก่อนหน้านี้หลังจากที่น้องเสียทางญาติไม่ได้ติดใจอะไร แต่แค่คาใจว่าทำไมถึงไม่แจ้งมาก่อนเรื่องการนำอวัยวะออกไปทั้งหมด หากยังตรวจไม่เสร็จทำไมถึงไม่แจ้งครอบครัว ก่อนที่น้องจะเสียน้องได้เดินทางกลับมาบ้านวันที่ 22 ต.ค. และน้องบาดเจ็บโดยบอกกับทางครอบครัวว่า ตกบันไดจากชั้น 2 เมื่อวันที่ 10 ต.ค. ทางครอบครัวจึงพาไปหาหมอผลตรวจออกมาน้องก็มีร่างกายปกติ ต่อมาในวันที่ 23 ต.ค.น้องเมยบอกกับครอบครัวว่า น้องโดนธำรงวินัยโดยเอาศีรษะไปวางบนตะแกรงท่อน้ำทิ้ง จนสลบไปเพราะว่าทนไม่ไหว

“จากที่ได้ฟังข่าวแถลงของผู้นำบางรายที่บอกว่า หากร่างกายไม่แข็งแรงแล้วจะมาเรียนทำไม สิ่งนี้ทำให้ตนคิดว่า ทุกคำพูดของคนที่เป็นถึงผู้นำในระดับประเทศทำไมถึงไม่มี วุฒิภาวะ ทำไมถึงพูดออกมาแบบนั้นมันเลยสร้างความสับสนต่อครอบครัว เพราะความจริงแล้วน้องเมยร่างกายแข็งแรงมากก่อนที่น้องจะเข้าเตรียมทหาร น้องเข้าเรียนพิเศษ ฝึกฝนร่างกายให้แข็งแรงและเตรียมพร้อมอยู่เสมอ จนน้องได้คะแนนสอบพละพวกกายภาพร่างกาย 944 คะแนน จากคะแนนเต็ม 1,000 ถือว่าเป็นคะแนนที่สูงมาก เป็นไปไม่ได้ที่น้องจะอ่อนแอ ทำไมถึงพูดออกมาแบบนั้น” น.ส.สุพิชชากล่าว

น.ส.สุพิชชากล่าวว่า มีภาพจากกล้องวงจรปิดตอนที่น้องเมยโทร.มาหาแม่จากโรงพยาบาลก่อนที่จะเสียชีวิตโดยน้องพูดกับแม่ว่า “แม่ครับน้องเมยยังไม่หายป่วยเลย อย่าไปเชื่อผู้พันนะครับ” และก่อนจะวางสายน้องเมยพูดกับแม่ว่าอยากลาออก โดยน้องมีความมุ่งมั่นที่จะเป็นทหารตั้งแต่เด็กๆ แล้ว อย่างไรก็ตามตอนนี้เหลือแค่รอผลชันสูตรจากกระทรวงยุติธรรมและทางครอบครัวพร้อมที่จะฟังผลที่ออกมา หากพบว่าน้องถูกทำร้ายจริงคงต้องปล่อยให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

วันเดียวกัน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กล่าวถึงการเสียชีวิตของนายภคพงศ์ว่า ทางกองบัญชาการกองทัพไทย(บก.ทท.) ชี้แจงไปหมดแล้ว รวมถึงมีกล้องวงจรปิดเป็นหลักฐาน และแจ้งความลงบันทึกประจำวัน ทุกอย่างว่าตามระเบียบและกฎหมาย อีกทั้งแพทย์ได้ประสานผู้ปกครองให้รับอวัยวะภายในคืนแล้ว 4 ชิ้น ภายหลังการพิสูจน์

พล.อ.ประวิตรกล่าวอีกว่า เรื่องนี้ผ่านมา 1 เดือน และทางโรงเรียนเตรียมทหารได้ติดต่อพูดคุยกับครอบครัว รวมถึงการช่วยเหลือจัดงานฌาปนกิจ ซึ่งตนเห็นใจกับครอบครัว เพราะลูกชายเพียงคนเดียวพ่อแม่ก็ต้องเสียดาย ทั้งยังเป็นนักเรียนเตรียมทหารด้วย ตนยืนยันว่าเรื่องชิ้นส่วนอวัยวะที่ถูกตัดไปพิสูจน์นั้นไม่ได้เป็นการปกปิดข้อมูล และทางพนักงานสอบสวนก็ได้รายงานเรื่อง ดังกล่าวแล้ว ถือเป็นขั้นตอนทางการแพทย์ และทางพ่อแม่ไม่ได้แจ้งมาเช่นกันว่ายังไม่ได้รับชิ้นส่วนดังกล่าวคืน

“ผมยืนยันว่าเด็กเสียชีวิต เนื่องจากสุขภาพของเด็กเอง ไม่มีการซ้อมอะไรทั้งสิ้น เขาป่วย และเชื่อว่าทางโรงเรียนไม่ได้ปิดบังข้อมูล แม้ว่าบริเวณที่เด็กล้มลงจะไม่มีภาพวงจรปิดก็ตาม เพราะหากเสียชีวิต ใครจะมาปิดบังสาเหตุก็ไม่ได้” พล.อ.ประวิตรกล่าว

เมื่อถามว่าหากเด็กสุขภาพไม่ดี ทำไมถึงเข้าเรียนโรงเรียนเตรียมทหารได้ พล.อ. ประวิตร กล่าวว่า ตนอยากทราบเช่นกัน ตอนรับสมัครก็มีแพทย์ตรวจคัดกรองแล้ว แต่อาจมาเป็นช่วงตอนเข้าเรียน ซึ่งเด็กเป็นโรคฮีต สโตรก ส่วนที่เปิดบันทึกประจำวันของเด็กที่ระบุว่าเขาโดนซ่อมนั้น คิดว่าก็โดนซ่อมกันทุกคน เช่น วิดพื้น วิ่ง สก๊อตจัมพ์ ไม่ต้องถูกตัวกัน และการซ่อมไม่ได้มากมายอะไร ขณะเดียวกันประเด็นที่เด็กเคยโดนซ่อมจนหยุดหายใจไปครั้งหนึ่งนั้น ใครจะไปรู้ว่าลูกเขา มีภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน พร้อมทั้ง ยืนยันว่าการซ่อมไม่ได้เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน ตนก็เคยโดนซ่อมเกินกำลังจะรับได้ จนสลบไปเหมือนกัน แต่ไม่ตาย

เมื่อถามว่าจะแก้ไขปัญหาพวกนี้อย่างไร เพื่อไม่ให้เกิดขึ้นอีก พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า “ก็ไม่ต้องเข้ามาเรียน ไม่ต้องมาเป็นทหาร เราเอาคนที่เต็มใจ”

ผู้สื่อข่าวถามว่า เด็กควรที่จะไปตายด้วยเหตุผลอื่น เช่น การออกสงคราม และการต่อสู้กับผู้ร้าย พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า กรณีนี้เด็กเสียชีวิตเพราะไม่สบาย ถ้าให้ตนเลือกตายได้ก็ขอตายในสนามรบ

ขณะที่พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า เป็นความเข้าใจคลาดเคลื่อน ผู้เสียชีวิตไม่ได้มีอาการฮีต สโตรก ซึ่งกระทรวงกลาโหมให้ความสำคัญ ในเรื่องการฝึกทุกระดับตั้งแต่นักเรียนเตรียมทหารเป็นต้นไปยืนยันทุกชีวิตมีค่า แต่จะต้องมีการฝึกเพื่อให้เตรียมพร้อมทำการรบ คงไม่มีใครอยากให้เกิดการสูญเสีย

วันเดียวกัน พล.อ.ธารไชยยันต์ ศรีสุวรรณ ผบ.ทสส. กล่าวว่า นักเรียนเตรียมทหารคน ดังกล่าว ไม่มีสภาวะการเป็นโรคฮีตสโตรก ทางแพทย์ที่ดูแลชี้แจงแล้ว แต่คาดว่าน่าจะมีโรคประจำตัว แต่การเป็นโรคประจำตัวนั้นไม่ได้ร้ายแรง และขัดต่อการเป็นนักเรียนเตรียมทหาร ทั้งนี้ตนได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนกรณีที่มีไลน์ของเด็กหลุด และระบุว่าถูกรุ่นพี่ซ่อม เพื่อหาข้อเท็จจริง

“บางครั้งการซ่อมเป็นเรื่องของการอบรมวินัย ซึ่งนักเรียนเตรียมทหารเป็นเรื่องปกติ ที่จะต้องซ่อม เพราะเป็นการสร้างวินัยในการแปรสภาพจากพลเรือนไปสู่การเป็นทหาร แต่ไม่สามารถซ่อมเกินกรอบที่กำหนดเอาไว้ได้ หากเป็นเช่นนั้นถือว่ามีความผิด จะต้องสอบสวนและลงโทษ ซึ่งในส่วนของนักเรียนเตรียมทหารคนดังกล่าว ผู้ปกครองระบุว่า โดนซ่อมด้วย ซึ่งเราก็จะสอบส่วนนี้ทั้งหมด ขณะนี้ต้องทำความเข้าใจกับพ่อแม่ให้ดีที่สุด โดยเฉพาะข้อข้องใจของครอบครัวเราก็จะชี้แจงทั้งหมด ซึ่งจะมีขั้นตอนทางการแพทย์ ระเบียบวินัย รวมถึงเพื่อนๆ ที่อยู่ในเหตุการณ์” พล.อ.ธารไชยยันต์กล่าว

ด้านพล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. กล่าวว่า เท่าที่ได้รับรายงานจาก พล.ต.ท.จิตติ รอดบางยาง ผบช.ภ.2 รายงานมาว่า ขั้นตอนขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการในส่วนของการทำสำนวนชันสูตรพลิกศพให้เสร็จเรียบร้อยก่อน ซึ่งเรื่องนี้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ หรือทางกองทัพยังไม่ได้ประสานอะไรมา คดีแบบนี้เป็นปกติอยู่แล้ว โรงเรียนเหล่ามีลักษณะคล้ายๆ แบบนี้เป็นประจำ ไม่ได้มีอะไรน่าตื่นเต้น การพิสูจน์ทราบข้อเท็จจริงก็มีกระบวนการของเขาอยู่แล้ว ไม่ใช่ว่าเราจะไปเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ส่วนกรณีที่อวัยวะภายในของนายภัคพงศ์หายไป คงเป็นขั้นตอนในการชันสูตรพลิกศพ ถ้าญาติข้องใจสามารถเข้าแจ้งความได้ ส่วนจะเป็นคดีอาญาได้หรือไม่นั้นต้องว่ากันอีกที ว่ากันไปทีละขั้นตอน พูดชี้นำไปบางทีไม่ดี

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน