สยอง! หนุ่มโรคลมชักกำเริบขณะซิ่งปิกอัพ กลางเมืองพัทยา พุ่งขยี้รถจยย.พังเกลื่อนถนน 10 คัน มีผู้เสียชีวิต 2 ราย บาดเจ็บอีก 15 ตร.เผยได้ใบขับขี่มาก่อนป่วย ขณะที่ขนส่งชี้ หารือแพทยสภาออกกฎหมายหลายครั้ง แต่ยังไม่ได้ข้อสรุป เผยข้อมูลน่าตกใจ ทั่วประเทศ มีผู้ป่วยลมชักเป็นล้านคน คาดที่มีใบขับขี่รถเป็นแสนคน ขณะที่คดีลุงโมโหถูกบีบแตรใส่ ใช้ไม้เท้าทุบกระจกรถคู่กรณีแตก เจ้าตัวอ้างป่วยเส้นเลือดสมองแตก เลยกลายเป็นคนโมโหง่าย ล่าสุดตร.เชียงใหม่ ดำเนินคดีกับลุงคนดังกล่าวแล้ว

เมื่อเวลา 07.00 น. วันที่ 4 ธ.ค. ร.ต.ท. หญิงขวัญข้าว อินาวัง รอง สว.(สอบสวน) สภ.เมืองพัทยา จ.ชลบุรี รับแจ้งอุบัติเหตุรถยนต์พุ่งชนรถจักรยานยนต์หลายคัน มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตหลายราย เหตุเกิดบนถนนพัทยาใต้ บริเวณหน้าตึกคอมพัทยา ม.10 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี จึงนำกำลังไปตรวจสอบพร้อมเจ้าหน้าที่กู้ภัยสว่างบริบูรณ์ธรรมสถานเมืองพัทยา

ในที่เกิดเหตุพบรถกระบะอีซูซุ ดีแมคซ์ สีดำ ทะเบียน ผค 43 ชลบุรี สภาพด้านหน้าพังยับเยินจอดอยู่ริมถนน โดยตลอดเส้นทางกว่า 200 เมตรพบรถจักรยานยนต์ และชิ้นส่วนอะไหล่ตกกระจัดกระจายเกลื่อนถนน มีผู้บาดเจ็บนอนร้องขอความช่วยเหลืออยู่คนละทิศละทางรวม 15 ราย ส่วนใหญ่เป็นเด็กนักเรียนและผู้ปกครอง พบผู้เสียชีวิตคาที่ 2 ราย ทราบชื่อคือ นายวุฒิชัย เหลาคำ อายุ 23 ปี และน.ส.สุนารี บำรุงราษฎร์ อายุ 23 ปี ขณะที่ในที่เกิดเหตุยังพบสุนัขพันธุ์ปอม เมอเรเนียนตายสยองในสภาพคอขาด 1 ตัว เจ้าหน้าที่กู้ภัยระดมกำลังเข้าช่วยเหลือ ปฐมพยาบาลเบื้องต้นก่อนลำเลียงส่งโรงพยาบาลพัทยาเมโมเรียล 9 ราย โรงพยาบาลเมืองพัทยา 4 ราย และผู้บาดเจ็บสาหัสที่โรงพยาบาลกรุงเทพพัทยา 2 ราย ส่วนผู้เสียชีวิตทั้งสองได้มอบให้กู้ภัยนำส่งชันสูตรที่โรงพยาบาลบางละมุง

ขณะที่ผู้ขับขี่รถกระบะ พบนั่งเบลออยู่จึงรีบนำตัวออกจากที่เกิดเหตุเนื่องจากเกรงว่าจะถูกชาวบ้านรุมประชาทัณฑ์ สอบสวนทราบชื่อต่อมาคือนายอัครเดช อุดมรัตน์ อายุ 44 ปี เป็นชาวจังหวัดชลบุรี ให้การกับเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วยอาการมึนงงว่า ตนขับรถมาตามปกติพอถึงที่เกิดเหตุจู่ๆ ก็ไม่รู้สึกตัวมารู้สึกตัวอีกทีก็พบว่าขับชนรถชาวบ้านพังยับเยินเกลื่อนถนนแล้ว ตนรู้สึกตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ก่อนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะควบคุมตัวมายังสภ.เมืองพัทยา ซึ่งตนมีโรคประจำตัวคือโรคลมชักด้วย ต่อมาตำรวจนำตัวนายอัครเดช มาตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ในร่างกาย ปรากฏว่าไม่มีปริมาณแอลกอฮอล์

ต่อมาพ.ต.อ.อภิชัย กรอบเพชร ผกก. สภ.เมืองพัทยา เดินทางไปตรวจเยี่ยมผู้บาดเจ็บทั้ง 15 ราย ก่อนเผยว่า ขณะนี้ผู้บาดเจ็บบางส่วนกลับบ้านไปบ้างแล้ว แต่ยังเหลือ ผู้บาดเจ็บอีกสาหัสอีก 4 ราย ที่ยังคงต้องพักฟื้นให้แพทย์ดูอาการอย่างใกล้ชิด สำหรับคดีตำรวจควบคุมนายอัครเดช ตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ในร่างกายแต่ไม่ปรากฏพบ ขณะที่ผู้ต้องหากล่าวอ้างว่าป่วยเป็นโรคลมชัก โดยมีหลักฐานการรักษาตัว ที่ ร.พ.กรุงเทพพัทยา จึงทำหนังสือขอตรวจสอบประวัติการรักษาพยาบาล และแพทย์ผู้ทำการรักษาถึงข้อเท็จจริง นอกจากนี้ยังได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาไปตรวจหาสารเสพติดที่ ร.พ.บางละมุง ขณะที่จากการสอบสวนผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่าเคยเสพยามาก่อนแต่เลิกแล้ว

ทั้งนี้ ทางพนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหา “ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย มีผู้ได้รับอันตรายสาหัส และมีผู้ได้รับอันตรายแก่จิตใจ หลบหนีและขับรถไม่คำนึงถึงความปลอดภัย” ซึ่งหากพบว่าผู้ต้องหาเสพสารเสพติดขณะขับรถด้วยจะแจ้งข้อหาเพิ่ม แต่ขณะนี้ยังไม่อนุญาตให้ประกันตัว ส่วนกรณีที่ว่าผู้ต้องหาป่วยเป็นโรคลมชักและมีใบขับขี่ได้อย่างไรนั้น ทราบว่าเพิ่งป่วยเป็นโรคนี้ได้ประมาณ 5 ปี ขณะที่ใบขับขี่ได้มาก่อนหน้านี้

ต่อมาพ.ต.อ.อภิชัย เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบหาสารเสพติดในร่างกายของนายอัครเดช ที่โรงพยาบาลบางละมุง ปรากฏว่าพบสารเสพติด เจ้าหน้าที่จึงแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มในข้อกล่าวหา ขับเสพ มีโทษจำคุกไม่เกิน 4 ปื ปรับไม่เกิน 20,000 บาท ซึ่งจะมีโทษน้อยกว่าขับรถโดยประมาททำให้ผู้อื่นเสียชีวิตที่ได้ตั้งข้อกล่าวหาไปก่อนหน้านี้ ส่วนด้านรถกระบะนั้นมีการทำประกันชั้น 1 กับบริษัทเมืองไทยประกันภัยไว้ ส่วน พ.ร.บ.รถยนต์ เป็นของบริษัทอาคเนย์ประกันภัย ซึ่งในเบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ให้ประกันตัวนายอัครเดชในชั้นโรงพัก

ด้านนายสนิท พรหมวงษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก(ขบ.) เปิดเผยว่า นายอัครเดช อุดมรัตน์ มีใบอนุญาตขับรถ แบบตลอดชีพ ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจ อยู่ระหว่างการสอบสวนเพื่อหาหลักฐาน ซึ่งจะต้องรอก่อนยังสรุปไม่ได้ หากภายหลังแพทย์พิสูจน์ทราบและมีหลักฐานว่าผู้ขับขี่รถกระบะคันดังกล่าวเป็นโรคลมชักจริง กรมจะเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ทันที เพราะเป็นบุคคลที่มีสภาพร่างกายไม่พร้อมในการขับขี่

นายสนิทกล่าวต่อถึงกรณีที่หลายฝ่ายสงสัยว่า นายอัครเดชได้ใบขับขี่มาได้อย่างไร หากเป็นโรคลมชักนั้น ขอชี้แจงว่าจากการตรวจสอบเบื้องต้นนายอัครเดชได้ใบขับขี่มานานแล้วอาจทำให้เกิดช่องว่างในการเข้าไปตรวจสอบประวัติสุขภาพได้ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้กรมได้ประกาศยกเลิกการให้ใบอนุญาตขับขี่ตลอดชีพกับบุคคลทั่วไปแล้ว ใช้ระบบใบขับขี่ชั่วคราวแทน รวมทั้งอยู่ระหว่างหารือกับแพทยสภา เพื่อปรับปรุงมาตรฐานใบรับรองแพทย์ที่นำมายื่นประกอบการขอใบอนุญาตขับขี่ให้เป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัย ซึ่งมีแนวคิดร่วมกันว่าจะต้องมีการจัดทำแบบฟอร์มใบรับรองแพทย์มาตรฐานขึ้นมาให้เป็นรูปแบบเดียวกัน โดยอาจจะมีการกำหนดกลุ่มโรคที่มีความเสี่ยงหรือมีอันตรายต่อการขับขี่ในแบบฟอร์มใบรับรองแพทย์ เช่น โรคติดต่อร้ายแรง และโรคลมชัก เป็นต้น โดยหากแพทย์วินิจฉัยว่าบุคคลใดเข้าข่าย เป็นโรคต้องห้าม หรือมีความเสี่ยงแพทย์จะ วินิฉฉัยว่าไม่เหมาะสมที่จะขับขี่รถ ซึ่งกรมจะไม่พิจารณาออกใบอนุญาตขับขี่ให้

“กรมหารือกับแพทยสภามาระยะหนึ่งแล้ว แต่ยังไม่ได้ข้อสรุป เรื่องแบบฟอร์มใบรับรองแพทย์มาตรฐาน ที่จะห้ามไม่ให้คนที่อยู่ในกลุ่มโรคที่เสี่ยงรวมทั้งลมชักมาขับรถ จึงยังไม่ได้บังคับเป็นกฎหมาย หรือห้าม ซึ่งปัจจุบัน ใช้เพียงใบรับรองแพทย์เท่านั้น ในการยื่นประกอบขอใบขับขี่ หากแพทย์เขียนความเห็นว่าบุคคลนั้นมีสภาพปกติ สามารถขับรถได้ กรมก็จะออกใบขับขี่ให้ เพราะกรมต้องยึดตามใบรับรองแพทย์” นายสนิทกล่าว

วันเดียวกัน นพ.อุดม ภู่วโรดม ผู้อำนวยการสถาบันประสาทวิทยา กล่าวว่า โรคลมชักเป็นโรคที่เกิดขึ้นจากความผิดปกติในสมอง กรรมพันธุ์ หรือเนื้องอกในสมองที่ส่งผลให้สมองผิดปกติ โดยจะมีอาการชักอยู่สองแบบคือ ชักกระตุก ชักเกร็ง หรือนิ่ง เหม่อลอย สถิติขณะนี้คาดว่ามีคนไทยเป็นโรคลมชัก 600,000-700,000 คน ซึ่งถ้าเข้าพบแพทย์รักษาอาการ ทานยาอย่างสม่ำเสมอ ก็สามารถใช้ชีวิตอย่างปกติได้ จะเป็นอันตรายเมื่อขาดยา ไม่ควรทำงานที่ต้องบังคับเครื่องจักร ขับรถยนต์ เพราะจะก่อให้เกิดอันตรายต่อตนเองและผู้อื่นด้วย และเมื่อเห็นคนมีอาการลมชักกำเริบนั้นความเข้าใจที่ผิดก็คือจะต้องไปหาช้อนมางัดปากเพราะเกรงจะกัดลิ้น เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ที่ควรทำก็คือ ไม่งัด ง้าง ถ่าง กด คือไม่หาอะไรมางัดปากผู้ป่วย ไม่พยายาม ง้าง ถ่างแขนขาร่างกายผู้ป่วย ไม่กดตัวผู้ป่วย เพราะอาการชักปกตินั้นจะหยุดได้เองภายใน 2 นาที จะเป็นอันตรายเมื่อชัก 5 นาที ต้องรีบพบแพทย์โดยด่วน ระหว่างที่ชักผู้ปฐมพยาบาลควรประคองผู้ป่วยไว้ไม่ให้ศีรษะไปกระแทกอะไรให้เป็นอันตราย

“ขณะนี้ในประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายห้ามผู้ป่วยโรคลมชักขับยนต์หรือมีใบขับขี่ แต่สถาบันประสาทวิทยาพยายามหารือกับกรมการขนส่งเพื่อให้ออกเป็นกฎหมายว่า ผู้ป่วยลมชักที่ไม่มีอาการมาแล้ว 6 เดือน-1 ปี เท่านั้นจะสามารถทำใบขับขี่ได้แต่ยังอยู่ในขั้นตอนการหารือกันอยู่ และในวันที่ 7 ม.ค. 2561 ทางสถาบันประสาทจะมีการจัดงาน “ชักอยากจะวิ่ง” เชิญชวนประชาชนมาร่วมวิ่งเพื่อสมทบทุนช่วยเหลือผู้ป่วยกับสถาบันประสาทด้วย” นพ.อุดมกล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าจากข้อมูลของแพทยสภา ระบุว่าประเทศไทยมีผู้ป่วยเป็นโรคลมชักราว 1 ล้านคน โดยในจำนวนนี้เป็นผู้ที่มีใบอนุญาตขับขี่รถถึง 1 แสนคน

วันเดียวกันผู้สื่อข่าวรายงานว่ามีคดีที่ ผู้ขับขี่ก่อเหตุบนท้องถนนโดยอ้างความเจ็บป่วยอีกราย จากกรณีผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ Santiphap Viriyothai โพสต์คลิปวิดีโอจากกล้องหน้ารถ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนถนนบริเวณช่อง ทางออกถ.ดอนจั่น-สันกำแพง จ.เชียงใหม่ โดยในคลิปปรากฏภาพรถยนต์ ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นฟอร์จูนเนอร์ ขณะกำลังเลี้ยวออกจากซอยเข้าสู่ทางคู่ขนาน ทำให้รถคันที่มีกล้องได้บีบแตร 1 ครั้ง จากนั้นรถฟอร์จูนเนอร์ได้เบรกกะทันหัน ก่อนที่คนขับซึ่งเป็นชายจะเปิดประตูออกมาโต้เถียงด้วยอาการไม่พอใจ และปิดประตู แต่ว่าเหตุการณ์ไม่จบลงเท่านั้น ชายคนขับรถฟอร์จูนเนอร์ได้เปิดประตูออกมาอีกครั้ง พร้อมกับหยิบไม้เท้าเดินเข้ามาฟาดใส่ที่กระจกจนแตกกระจาย ทำให้เด็กในรถผวาร้องไห้เสียงดัง โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 3 ธ.ค.

ต่อมาเวลา 10.30 น. ที่ สภ.แม่ปิง พ.ต.อ. ปิยะพันธ์ ภัทรพงศ์สินธุ์ รอง ผบก.ภ.จ.เชียงใหม่ เรียกตัวนายพรพรหม โทณวณิก อายุ 60 ปี คนขับรถโตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ และนายสันติภาพ วิริโยไทย อายุ 31 ปี คนขับรถโตโยต้าวีออส คู่กรณีเข้าพบก่อนแจ้งข้อหานายพรพรม 3 ข้อหา คือ “ขับรถโดยประมาท,ทำลายทรัพย์สินของผู้อื่นได้รับความเสียหาย และทำร้ายร่างกายผู้อื่นได้รับบาดเจ็บ ข่มขู่” โดยนายพรพรม ยอมรับสารภาพทุกข้อกล่าวหาและพร้อมชดใช้ในสิ่งที่ตนได้กระทำขึ้นรวมทั้งได้กล่าวขอโทษคู่กรณีด้วย โดยอ้างว่ากระทำไปเพราะเป็นโรคเส้นเลือดสมองตีบ ทำให้มักเกิดอารมณ์โมโห และควบคุมตัวเองไม่ได้ หลังถูกกดแตรใส่ ทำให้คุมตัวเองไม่อยู่จึงก่อเหตุดังกล่าว

ด้าน พ.ต.อ.ปิยะพันธ์ เผยว่า นายพรพรหม ยอมชดใช้ทุกเรื่อง เขาได้บอกกับตำรวจว่าเขาเคยทำงานที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ต่อมาป่วยด้วยอาการเส้นเลือดในสมองแตก จนกลายเป็นคนโมโหง่าย ขณะก่อเหตุทำไปโดยไม่รู้ตัว ตอนนี้รู้ตัวแล้วและขอโทษแล้ว ฉะนั้นอยากฝากเตือนคนขับรถต้องมีสติมีวินัยและไม่ประมาท ต้องมีความพร้อมในการขับขี่รถ ก็จะไม่เกิดอุบัติเหตุและเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น

 

 

 

 

 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน