ตำรวจยังมึนไม่ฟันธงคดีตร.เก๊ จับลูกยัดยา ก่อนแช็ตขอมีเพศสัมพันธ์กับแม่ จริงหรือเท็จ ขณะแม่เครียด กลัวถูก ปองร้าย ขอไม่พูดอะไรอีก เพราะบอกตำรวจไปหมดแล้ว วอนเลิกยุ่งกับครอบครัว ส่วนข้อมูลให้ตำรวจไปตามหาความจริงเอาเอง ล่าสุดตำรวจเอามือถือลูกชายไปตรวจหาจุดที่อยู่ในวันเกิดเหตุ ว่าสอดคล้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหรือไม่ เพราะกล้องวงจรปิดตรงจุดที่เหยื่อระบุถูกจับดันเสีย หากพิสูจน์ไม่ได้ อาจต้องถึงเข้าเครื่องจับเท็จ

จากกรณีนางหน่อย (นามสมมติ) อายุ 40 ปี และนายพงษ์ (นามสมมติ) อายุ 17 ปี ลูกชาย ชาว อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี โพสต์ข้อความเตือนภัยว่า ลูกชายถูกชาย 3 คนอ้างเป็น เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมขณะขี่รถจักรยานยนต์บนถนนยุทธศาสตร์เลียบแม่น้ำโขง บริเวณสามแยกบ้านถ้ำเสือ ต.เขมราฐ อ.เขมราฐ ขณะกำลังเดินทางไปหาแฟนที่ จ.อุดรธานี ก่อนตรวจ ค้นพบยาบ้า 10 เม็ดในกระเป๋าเป้ แต่แทนที่ จะพาไปโรงพักกลับพาไปขังในรีสอร์ตก่อนถูกมอมยา จากนั้นให้โทรศัพท์ไปหามารดาให้รับเป็นเพื่อนผ่านเฟซบุ๊ก ก่อนแช็ตคุยอ้างเป็นตำรวจ สภ.ดอนตาล มุกดาหาร เสนอให้มาร่วมหลับนอนแลกกับการปล่อยตัวลูกชาย แม่เอะใจจึงแจ้งตำรวจ สภ.ดอนตาล ซ้อนแผนนัดเจอกัน แต่คนร้ายไหวตัวทันไม่ยอมมา ก่อนเจรจายอมปล่อยตัวแลกกับไม่ให้เอาเรื่อง สุดท้ายเด็กกลับบ้านมาปลอดภัย โดยลูกชายเผยระหว่างสะลึมสะลือได้ยินคนร้ายคุยกันทำนองว่าลูกพี่ทำไมไม่เรียกเงิน แต่กลับขอหลับนอนแทน หลังแจ้งความนางหน่อยตัดสินใจโพสต์เรื่องราวลงสื่อโซเชี่ยลเพื่อเตือนภัย ด้านตร.เดินหน้าล่าตัวคาดก่อเหตุมาหลายครั้ง ยังไม่แน่ชัดว่ารู้จักกับเหยื่อมาก่อนหรือไม่ ตามที่เป็นข่าวไปแล้วนั้น

ความคืบหน้าเมื่อวันที่ 6 ธ.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงเย็นวันที่ 5 ธ.ค.ที่ผ่านมา พ.ต.อ.ปรัชญา คงสกุล ผกก.สภ.เขมราฐเชิญตัวนางหน่อย ผู้เป็นแม่ และนายพงษ์ ลูกชายมาให้ปากคำเกี่ยวกับเหตุการณ์เกิดขึ้นโดยละเอียด โดยหลังการสอบปากคำนางหน่อยก็ให้การตามที่ประสานกับ พ.ต.ท.เชิดชาย คำบุญ พนักงานสอบสวน สภ. ดอนตาล จ.มุกดาหาร ให้ช่วยเหลือวางแผนจับตัวคนร้าย เพื่อช่วยบุตรชายตามที่ได้รับแจ้งผ่าน ทางเฟซบุ๊ก แต่สุดท้ายคนร้ายไม่มา พร้อมแจ้งว่าได้ปล่อยตัวบุตรชายแล้ว

ต่อมาเมื่อวันที่ 29 พ.ย. นางหน่อยได้ลงประจำวันไว้ที่สภ.ดอนตาล ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น และพนักงานสอบสวนของ สภ.ดอนตาล แนะนำให้เข้าแจ้งความกับสภ. เขมราฐ ซึ่งเป็นจุดที่นายพงษ์อ้างว่าถูกเรียกตรวจและถูกควบคุมตัว แต่นางหน่อยไม่ติดใจเอาความ จึงไม่ได้แจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เขมราฐ

ส่วนนายพงษ์ให้การยืนยันว่า ถูกคนร้ายจับตัวไปจริง แต่ทางตำรวจยังมีข้อพิรุธสงสัยในคำให้การหลายประเด็น เนื่องจากนายพงษ์อ้างว่า จำเหตุการณ์ไม่ได้ทั้งหมด เพราะระหว่างที่คนร้ายเรียกให้หยุดรถตรวจค้นก่อนยัดยาบ้าให้ มีการนำของบางอย่างมาป้ายที่บริเวณลำคอ ทำให้นายพงษ์มีอาการมึนงงจนจำเหตุการณ์ ไม่ค่อยได้

หลังสอบปากคำนางหน่อยและนายพงษ์ นานกว่า 2 ชั่วโมง เจ้าหน้าที่ก็ได้ให้กลับบ้านได้ เพราะในชั้นนี้สองแม่ลูกยังเป็นผู้เสียหาย

พ.ต.อ.ปรัชญากล่าวว่า ส่วนการตรวจสอบเฟซบุ๊กที่คนร้ายใช้พูดคุยโต้ตอบกับนางหน่อย พบว่าได้ปิดเฟซบุ๊กไปแล้ว ซึ่งเจ้าหน้าที่นำมือถือของนายพงษ์มาตรวจสอบหาจีพีเอสย้อนหลังกลับไปในวันที่ 25 พ.ย. ซึ่งเป็นวันที่นายพงษ์อ้างว่าถูกจับตัวไป เพื่อใช้เป็นพยานหลักฐานยืนยันว่าจุดที่นายพงษ์อยู่ในขณะนั้น อยู่บริเวณใด สอดคล้องกับเหตุการณ์ที่ให้การหรือไม่ เนื่องจากกล้องวงจรปิดของฝ่ายความมั่นคงที่ติดตั้งไว้บริเวณบ้านสามแยกถ้ำเสือ ถ.ยุทธศาสตร์เลียบแม่น้ำโขง ซึ่งนายพงษ์อ้างเป็นจุดที่ถูกจับตัว รวมไปถึงกล้องวงจรปิดบริเวณรอยต่อ อ.เขมราฐ จ.อุบลราช ธานี ไป อ.ชานุมาน จ.อำนาจเจริญ และมุ่งหน้าไปอำเภอดอนตาล จ.มุกดาหาร ปรากฏว่าเสียใช้งานไม่ได้ทั้งสองจุด ทำให้ไม่สามารถตรวจสอบอะไรได้

พ.ต.อ.ปรัชญากล่าวต่อว่า แต่จากการตรวจสอบพบว่า วันที่ 25 พ.ย. นางหน่อยเข้ามาลงประจำวันไว้เป็นหลักฐานที่ สภ.เขมราฐ โดยระบุว่า ได้รับแจ้งว่าบุตรชายถูกเจ้าหน้าที่จับตัวในพื้นที่ สภ.ดอนตาล แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดหลังจากนั้นไม่ได้มาพบกับเจ้าหน้าที่อีกเลย ซึ่งหากการสอบสวนได้ผลสรุปเป็นเรื่องจริง เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องสืบสวนติดตามจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดี เพราะเป็นความผิดอาญาฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่น หรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย แต่หากไม่ใช่เรื่องจริง ผู้ที่ กุเรื่องขึ้นจะต้องถูกดำเนินคดีข้อหาให้ร้ายกับเจ้าพนักงาน หรือให้การเท็จ สำหรับขั้นตอนสุดท้าย หากยังไม่สามารถสรุปเรื่องราวที่เกิดขึ้นว่าจริงหรือเท็จ เพราะระหว่างเกิดเหตุการณ์มีนายพงษ์คนเดียวที่อ้างว่าอยู่กับคนร้าย และยังให้การวกวนเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เจ้าหน้าที่ต้องทำความจริงปรากฏให้ได้ โดยอาจต้องส่งตัวนายพงษ์เข้าเครื่องจับเท็จของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อให้ได้ความจริงของเรื่องราวทั้งหมดด้วย

ขณะที่นางหน่อยกล่าวว่า ตอนนี้รู้สึกไม่ปลอดภัย และต้องการบอกกับสังคมว่าที่ออกมาเล่าเรื่องราว เพราะต้องการเตือนภัยให้ผู้ใช้เส้นทางดังกล่าวให้ระวัง ถ้าต้องเจอแบบลูกชาย โดยไม่มีเจตนาจะเอาเรื่องราวกับใคร แต่กลับกลายเป็นเรื่องใหญ่ มีคนมาวุ่นวายกับชีวิตของคนในครอบครัว ทำให้เกิดความเครียดและกลัวถูกปองร้าย จึงไม่ต้องการให้ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องมาถ่ายภาพบ้านหรือภาพของคนในครอบครัว และจะให้ข้อมูลนี้เป็นครั้งสุดท้าย สำหรับ เจ้าหน้าที่ตำรวจจะดำเนินการหาความจริงเรื่องนี้อย่างไร ครอบครัวได้ให้ข้อมูลที่เกิดขึ้นไปทั้งหมดแล้ว ก็ให้เจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบเอาเอง เพราะไม่ต้องการไปยุ่งเกี่ยวอะไรอีกแล้ว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน