คดีหวยอลเวงจบแล้วหนึ่ง ผลตรวจดีเอ็นเอชัด ไร้รอยนิ้วมือหนุ่มบุรีรัมย์ เจ้าตัวยอมรับพร้อมขอโทษคนถูกรางวัลตัวจริง ด้านเสี่ยใจดีไม่เอาเรื่องทำให้เสื่อมเสีย ส่วนคดีถูก 30 ล้านที่เมืองกาญจน์ส่อบาน ทนายนำร.ต.ท.เข้าร้อง”ผบ.ตร.-กองปราบฯ” ขอความเป็นธรรม และให้สอบ 2 ตร.ยุ่งเหยิงพยาน ผบช.ก.สั่งตรวจสอบ 5 คดีแย่งกันเป็นคนถูกรางวัลที่ 1 ป.ลงพื้นที่ลุยสอบแล้ว

จากกรณีนายพันธุ์ศักดิ์ เสือชุมแสง หรือปื๊ด อายุ 31 ปี หนุ่มชาวต.หัวถนน อ.นางรอง เข้าแจ้งความ เมื่อวันที่ 20 ส.ค.ที่ผ่านมา ว่าลอตเตอรี่ที่ตนเองถูกรางวัลที่ 1 งวดประจำวันที่ 16 ส.ค. 2560 หมายเลข 715431 จำนวน 2 คู่ เป็นเงิน 12 ล้านบาทถูกขโมยไป ต่อมา ทราบว่ามีคนนำไปขึ้นเงิน เมื่อวันที่ 23-24 ส.ค.ที่ผ่านมา คือนายวิทยา ธนทรัพย์สิน และนางขวัญศิริ ธนทรัพย์สิน สองสามีภรรยาชาว อ.สุวรรณภูมิ จ.ร้อยเอ็ด โดยทั้งคู่เข้าให้ปากคำว่าถูกรางวัลที่ 1 จำนวน 3 คู่ไม่ใช่ 2 คู่ ได้เงิน รางวัล 18 ล้านบาทไม่ใช่ 12 ล้าน พร้อมนำรูปถ่ายลอตเตอรี่ชุดที่ถูกรางวัล มาเป็น หลักฐาน ยืนยันความบริสุทธิ์

ความคืบหน้าเมื่อวันที่ 12 ธ.ค. พ.ต.อ. สมภพ สังข์กรทอง ผกก.สภ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ นำหลักฐานผลตรวจทางนิติวิทยาศาสตร์ ทั้งดีเอ็นเอ และลายนิ้วแฝงบนลอตเตอรี่ที่ได้รับมาจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พร้อมสำนวนคดีที่เกี่ยวข้อง แถลงผลคดีว่า จาก หลักฐานผลตรวจดีเอ็นเอบนสลากกินแบ่งรัฐบาลชุดที่ถูกรางวัลงวดดังกล่าว ไม่พบลายนิ้วมือแฝงของนายพันธ์ศักดิ์ แต่มีลายนิ้วมือของนายวิทยา และนางขวัญศิริ สรุปได้ว่า รางวัลดังกล่าวเป็นของนายวิทยา อย่างถูกต้องคือ 18 ล้านบาท ขณะนี้รอเพียงคู่กรณีทั้งสองฝ่ายที่จะเดินทางมาฟังผลตรวจนิติวิทยาศาสตร์ และการแถลงสรุปคดีจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่สภ.นางรอง ในช่วงบ่ายวันนี้พร้อมกันอีกครั้ง

ต่อมาเวลา 13.00 น. นายวิทยา และนายพันธ์ศักดิ์ เดินทางมารับทราบผลการตรวจ ดีเอ็นเอ โดยพ.ต.อ.สมภพเชิญทั้งคู่มาเจรจา ในห้องลับว่าจะยอมความกันอย่างไร ใช้เวลาประมาณ 1 ช.ม.ก่อนจะออกมาไปห้องแถลงข่าว โดยนายวิทยาได้สอบถามนายพันธ์ศักดิ์ ต่อหน้าสื่อมวลชน ตำรวจ ว่ายอมรับผลการตรวจดีเอ็นเอหรือไม่ นายพันธ์ศักดิ์ได้ตอบว่ายอมรับ และอยากจะขอโทษกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะสลากกินแบ่งฯของตนได้หายไปจริง ไม่มีเจตนาใส่ร้ายแต่อย่างไร และขอรับผิดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด ว่าเป็นการเข้าใจผิด

นายวิทยากล่าวว่า ครั้งแรกจะฟ้องฐานหมิ่นประมาท และแจ้งความอันเป็นเท็จ แต่เห็น แล้วว่าไม่ได้ตั้งใจกล่าวโทษตนเองตั้งแต่แรก ประกอบกับนายพันธ์ศักดิ์ยอมรับและขอโทษ จึงไม่ขอติดใจเอาความ ให้ยุติกันเพียงแค่นี้

ด้านนายพันธ์ศักดิ์กล่าวว่า แม้ในใจยังคิดว่าสลากที่ซื้อมาถูกรางวัล แต่เมื่อผลออกมาเช่นนี้ก็ยอมรับผิดแต่เพียงผู้เดียว พร้อมขอโทษนายวิทยา และขอโทษสังคมที่มีกระแสก่อนหน้านี้

อย่างไรก็ตามตำรวจยังไม่แจ้งข้อหาแจ้งความเท็จต่อนายพันธ์ศักดิ์ เนื่องจากมาแจ้งความว่าสลากกินแบ่งรัฐบาลหายไปเท่านั้น ไม่ได้ระบุกกล่าวหานายวิทยา ส่วนพ่อเด็กที่ถูกพาดพิงว่าลูกชายเป็นคนขโมยนั้น ไม่มีหลักฐานว่าเป็นการหมิ่นประมาท การเชิญตัวมาให้ปากคำเป็นเพียงการสืบสวนสอบสวนของตำรวจเท่านั้น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บิดาของเด็กชายต้องสงสัยว่าเป็นคนขโมยหวย 12 ล้านไป พร้อมทนายความเตรียมเข้าแจ้งความกับนายพันธ์ศักดิ์ ที่สภ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ ด้วย

วันเดียวกัน ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) นายษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนพา ร.ต.ท.จรูญ วิมูล อดีตข้าราชการตำรวจ ผู้นำสลากกินแบ่งรัฐบาล งวดประจำวันที่ 1 ธ.ค.2560 ซึ่งถูกรางวัลที่ 1 ได้เงินรางวัล 30 ล้านบาท ไปขึ้นเงิน แต่ต่อมา นายปรีชา ใคร่ครวญ ข้าราชการครูโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งในจ.กาญจนบุรี ออกมากล่าว อ้างว่าเป็นเจ้าของสลาก มีการแจ้งความดำเนินคดีที่ สภ.เมืองกาญจนบุรี เดินทางยื่นหนังสือถึง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.

โดยขอให้ตั้งกรรมการสอบสวนทางวินัยกับนายตำรวจระดับสูง 2 นาย ที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ยุ่งเหยิงพยานหลักฐาน กรณีเรียก ร.ต.ท.จรูญ ไปพบที่บ้านพักเพื่อเจรจาให้ยอมตกลงระงับข้อพิพาท รวมทั้งกรณีที่มีการอายัดเงินในบัญชีธนาคารโดยไม่ถูกต้อง และมีการให้สัมภาษณ์ในลักษณะชี้นำการสอบสวน โดยมีพ.ต.อ.ยสวินท์ หรรษมนต์ รองผบก.ส.3 ในฐานะนายตำรวจเวรอำนวยการ เป็นผู้รับหนังสือแทน

นายษิทรากล่าวว่า มีนายตำรวจ 2 นายเข้าไปเกี่ยวกันกับคดีนี้ รายแรกไปให้สัมภาษณ์ สื่อมวลชนในลักษณะบิดเบือนข้อเท็จจริง กล่าวหา ร.ต.ท.จรูญ ว่า จำสถานที่ เวลา คนขาย ไม่ได้ ทั้งที่ตนเองก็มีสำนวนการสอบสวนอยู่ในมือ นอกจากนี้มีการเรียกร.ต.ท.จรูญไปพบที่บ้านพักซึ่งเป็นที่มิดชิดเพื่อเจรจาพูดคุยเกี่ยวกับคดีอาญาให้ยอมรับผิด ในทำนองว่าหากยอมรับผิด ร.ต.ท.จรูญ จะได้รับส่วนแบ่งอย่างไร หากไม่ยอมจะได้รับโทษอย่างไร ซึ่งกรณีนี้เป็นคดีลักทรัพย์ เป็นความผิดที่ยอมความไม่ได้

นายษิทรากล่าวว่า ตนมองว่ากรณีนี้ นายตำรวจระดับสูงลงมายุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน มีการให้สัมภาษณ์ว่าจะต้องดำเนินคดีแน่นอน ฝ่ายนี้กระทำผิดแน่นอน โดยไม่รับฟังพยานหลักฐานจากฝ่ายตนก่อน ทั้งนี้ได้นำพยานหลักฐานเป็นเทปบันทึกคำให้สัมภาษณ์ของนายตำรวจคนดังกล่าวที่ไปออกรายโทรทัศน์ 3 รายการ มีการให้สัมภาษณ์ที่สับเปลี่ยนไปมา ไม่ถูกต้องตามความเป็นจริง มอบให้กับผบ.ตร.ด้วย

นายษิทรากล่าวอีกว่า อีกรายคือ นายตำรวจ ที่ทำหนังสือไปอายัดเงินในบัญชีธนาคาร ซึ่งไม่ชอบด้วยการสอบสวน เพราะการอายัดบัญชีต้องมีการสอบสวนให้ครบถ้วนกระบวนความเสียก่อนว่า บุคคลที่ถูกอายัดบัญชีเป็น ผู้กระทำผิดจริง เป็นการอายัดบัญชีโดยไม่เปิดโอกาสให้คู่กรณีได้แก้ต่าง

ขณะที่ร.ต.ท.จรูญกล่าวว่า การเรียกไปพูดคุยกับนายตำรวจระดับสูงคนดังกล่าว ไม่ใช่ลักษณะของการข่มขู่ให้ยอมรับผิด แต่เป็นการพูดในทำนองว่าหากตนไม่ยอมรับจะต้องขึ้นศาล ต้องติดคุกติดตะราง นายตำรวจคนดังกล่าว พยายามให้ตนยอมรับว่าเก็บสลากได้ ส่วนเรื่องรายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับแม่ค้าขายสลากตนบอกตลอดว่าไม่สามารถจำใบหน้าได้ แต่รายละเอียดเกี่ยวกับสถานที่ เวลา ตนจำได้ทั้งหมด ซึ่งตนยืนยันว่าซื้อสลากดังกล่าวมาจริงๆ ตนยืนยันข้อเท็จจริงตรงนี้มาโดยตลอด จึงอยากให้ ผบ.ตร.ให้ความเป็นธรรมกับตน ทำความจริงให้ปรากฏ

จากนั้นร.ต.ท.จรูญเดินทางไปที่กองปราบปราม ขอเข้าพบ พล.ต.ต.สุทิน ทรัพย์พ่วง รรท.รองผบช.ก. พ.ต.อ.ไมตรี ฉิมเฉิด รรท.ผบก.ป. และ พ.ต.อ.สันติ ชัยนิรมัย รองผบก.ป. เพื่อร้องขอความเป็นธรรมในคดี โดยพ.ต.อ.ไมตรี สั่งการให้พนักงานสอบสวน กก.5 บก.ป. สอบปากคำไว้เป็นหลักฐานในเบื้องต้น โดยใช้เวลาสอบสวนนานเกือบ 2 ชั่วโมง

พ.ต.อ.ไมตรีกล่าวว่า สั่งการให้ชุดสืบสวน กก.5บก.ป. เดินทางลงพื้นที่ไปตรวจสอบรายละเอียดคดีนี้แล้ว เนื่องจากจากคดีมีความสลับซับซ้อนและสามารถดำเนินคดีได้ หากพิจารณา แล้วว่าจะดำเนินคดีเองก็จะเสนอต่อตร.พิจารณา อนุมัติให้โอนสำนวนคดีมา ขณะนี้กำลังพิจารณาว่าจะต้องเรียกใครมา สอบสวนเพิ่มเติมบ้างโดยเฉพาะคู่กรณีอีกฝ่าย ทั้งนี้พล.ต.ท. ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ ผบช.ก. ยังสั่งการให้เข้าไปตรวจสอบคดีที่เกี่ยวกับการแย่งการเป็นเจ้าของสลากกินแบ่งรัฐบาลในคดีอื่นๆด้วย ซึ่งพบว่ามีคดีที่จะต้องเข้าไปตรวจสอบอีก 4 คดี ประกอบด้วยคดีที่เกิดขึ้นในพื้นที่ อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์, อ.สามชุก จ.สุพรรณบุรี, เขตประเวศ กรุงเทพฯ และในพื้นที่ อ.บ้านดุง จ.อุดรธานี รวมทั้งหมดในขณะนี้ 5 คดี

พล.ต.ท.ฐิติราชกล่าวว่า ได้สั่งให้สืบสวนขยายผลหาข้อเท็จจริงในคดีการแย่งชิงความเป็นเจ้าของสลากกินแบ่งรัฐบาล ทั้งในคดีที่เกิดขึ้นใหม่และคดีลักษณะเดียวกันที่เกิดขึ้นในอดีต เพราะเชื่อว่าแต่ละคดีน่าจะมีเบื้องหลัง ที่ซับซ้อนและเป็นไปได้ที่อาจจะมีการวาง แผนการกระทำความผิดอย่างเป็นขบวนการ จึงให้กองปราบปรามสืบสวนหาข้อเท็จจริง ในทุกคดีว่ามีความเชื่อมโยงกันหรือไม่ หากพบว่าเข้าข่ายความผิดใดก็ให้ดำเนินคดีตามกฎหมายกับฝ่ายนั้นทันที

วันเดียวกัน นายธนวรรธน์ พลวิชัย โฆษกสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล กล่าวถึงกรณีสลากสลากกินแบ่งรัฐบาลรางวัลที่ 1 หายจนเกิดการแจ้งความดำเนินคดีว่า ตั้งแต่ตนมาทำหน้าที่โฆษกสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล 2 ปี มีการฟ้องร้องเป็นคดีความในลักษณะนี้ถึง 5-6 คดี ยอมรับว่าการพิสูจน์ความเป็นเจ้าของสลากที่สูญหายไปนั้นไม่ง่าย เพราะ ไม่ได้มีระบบตรวจสอบย้อนหลังหรือแสดงความเป็นตัวตนทั้งคนซื้อและคนขาย ดังนั้นผู้ที่ซื้อสลากกินแบ่งควรถ่ายรูปสลากและเซ็นชื่อ นามสกุลสลักหลักทุกครั้ง รวมทั้งหมั่นตรวจสอบว่าสลากยังอยู่หรือไม่ หากพบว่าสลากหาย ให้รีบแจ้งความลงบันทึกประจำวัน และประสานไปยังสำนักงานสลากฯ ทันที เพื่อให้อายัดรางวัลล่วงหน้า เผื่อกรณีสลากที่หายถูกรางวัล ทั้งนี้เมื่อตำรวจพิสูจน์แล้วว่ามีการฉ้อโกงเกิดขึ้น ต้องลงโทษอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันการเลียนแบบแอบอ้างสลากที่ถูกรางวัลของคนอื่น

นายธนวรรธน์กล่าวด้วยว่า หากยังพบการจำหน่ายสลากเกินราคา รวมทั้งการฉ้อโกงสลาก บ่อยครั้ง ก็อาจนำแนวทางการออกสลากออนไลน์กลับมาพิจารณาได้ และอาจนำมาขายเร็วขึ้น เพราะระบบจะแสดงความเป็นเจ้าของสลากตั้งแต่จุดที่ซื้อคือหมายเลขบัตรประชาชนผู้ซื้อ

“แต่ทุกวันนี้ทำไม่ได้ทั้งสองแบบเพราะอาจเกิดปัญหาว่ากองสลากตัดอาชีพผู้ด้อยโอกาส ผู้พิการ แต่ระยะหลังๆ มานี้มีการขายสลากเกินราคาบางฉบับสูงเกิน 120 บาทถี่ขึ้น ก็อาจจะเป็นแรงกดดันให้นำสลากออนไลน์ออกมาขายไวขึ้น” นายธนวรรธน์กล่าว

นายธนวรรธน์กล่าวอีกว่า ส่วนการออกสลากชุด ขณะนี้บอร์ดได้เห็นชอบในหลักการแล้ว โดยคณะทำงานจะเดินหน้าศึกษาช่วงเวลาที่เหมาะสมในการออกสลากชุดอีกครั้ง เพื่อเสนอบอร์ดพิจารณาอนุมัติอีกครั้งช่วงเดือน มี.ค. โดยคาดว่าจะออกสลากชุดได้เร็วสุด ในช่วงกลางปี 2561

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน