กองทัพไทยสรุป ‘น้องเมย’ เสียชีวิตเพราะภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน ไม่พบคนเกี่ยวข้องหรือถูกลงโทษในวันเกิดเหตุ เผยมีอาการ “ไฮเปอร์เวนติเลชั่น” ภาวะเครียดสูง ยอมรับถูกซ่อม 2 วันติด ทั้งยึดพื้นห้องเซาว์น่ากว่า 1 ชม. วิ่ง 100 ม.กระโดดกบ 20 ม.ต่อด้วยพุ่งหลังจนฟุบ เชื่อไม่ใช่สาเหตุแจงรอยฟกช้ำเกิดจากตกบันได มั่นใจธำรงวินัยมีระบบที่ดี ผิดตัวบุคคล เล็งเชิญญาติ ฟังคำชี้แจง 18 ธ.ค.นี้

เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 15 ธ.ค. ที่กองบัญชาการกองทัพไทย พล.อ.อ.ชวรัตน์ มารุ่งเรือง รองเสนาธิการทหารกองบัญชาการกองทัพไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง การเสียชีวิตนักเรียนเตรียมทหารภคพงศ์ ตัญกาญจน์ พร้อมด้วยคณะกรรมการ ประกอบ พล.ท.ศิราวุณิ วงศ์ขันดี พล.อ.ท.วีรพงษ์ นิลจินดา พล.ท.พีรพงษ์ เมืองบุญชู พล.ท.ชนินทร์ โตเลี้ยง และ พ.อ.ที่รัก สร้อยนาค กรรมหารและเลขานุการ ร่วมกันแถลงข่าว

พล.อ.อ.ชวรัตน์ กล่าวว่า จากการตรวจสอบของคณะกรรมการทั้ง 11 นาย พบข้อเท็จจริงการเสียชีวิตของนักเรียนเตรียมทหาร ภคพงศ์ ตัญกาญจน์ เมื่อวันที่ 17 ต.ค.ที่ผ่านมา โดยใช้เวลา 14 วัน ค้นหาข้อมูลทั้งหมดรอบด้าน ก่อนเสียชีวิต โดยเชิญผู้ที่เกี่ยวข้องในเหตุการณ์แต่ละห้วงเวลาจำนวน 42 คน มาให้ข้อมูล โดยแบ่งเป็น 4 กลุ่มคือกลุ่มที่ 1 เป็นนักเรียนเตรียมทหาร จำนวน 22 คน นักเรียนเตรียมทหารปีที่ 3 จำนวน 13 คน และนักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1จำนวน 9 คน

รองเสนาธิการทหารกองบัญชาการกองทัพไทย กล่าวว่า กลุ่มที่ 2 ประกอบด้วยแพทย์ของกองแพทย์ทหารโรงเรียนเตรียมทหารจำนวน 3 คน แพทย์โรงพยาบาลโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า 1 คน และแพทย์จากศูนย์อำนวยการแพทย์พระมงกุฎเกล้า 1 คน กลุ่มที่ 3 เป็นนายทหาร ปกครอง 4 คนอาจารย์ประจำชั้น 1 คุณครูพละศึกษา 2 คน และกลุ่มที่ 4 เป็นผู้ช่วยนายทหารยกกระบัตร 1 คน พลขับ รถพยาบาล 2 คน และเวรประจำวันของกองแพทย์ 3 คนพนักงานบริการและเจ้าหน้าที่โรงเรียน 2 คน

พล.อ.อ.ชวรัตน์ กล่าวว่า คณะกรรมการได้สอบถามข้อเท็จจริง ในทุกเหตุการณ์อย่างละเอียดรอบคอบ และเป็นไปด้วยความสมัครใจของผู้มาให้ข้อมูล และเป็นไปตามระเบียบของทางราชการ ที่กำหนดไว้ ซึ่งสรุปผลได้ ดังต่อไปนี้ในเหตุการณ์ที่ 1 เหตุการณ์ที่นักเรียนเตรียมทหารภคพงศ์เสียชีวิตเมื่อวันที่ 17 ต.ค. จากการสอบสวนพบว่าในวันดังกล่าวนักเรียนเตรียมทหารพักกับโรงพักรักษาตัวอยู่ที่กองแพทย์ โดยมีเพื่อนนักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1 พักฟื้นอยู่ในห้อง จำนวน 7 คน

พล.อ.อ.ชวรัตน์ กล่าวว่า และในช่วงเช้าเวลาประมาณ 09.15 น. นักเรียนเตรียมทหารภคพงศ์เดินออกจากกองแพทย์ไปกับเพื่อนนักเรียนชั้นปีที่ 1 เพื่อไปเอาของใช้ส่วนตัว ที่อาคารกองพันที่ 2 ซึ่งกล้องวงจรปิด จับภาพนักเรียนเตรียมทหารภคพงศ์แต่งกายโดยชุดฝึกมือถือตะกร้าผ้า ซึ่งในวันดังกล่าวเป็นการฝึกของนักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1 ช่วงขากลับนักเรียนเตรียมทหารภคพงศ์กลับมาเพียงคนเดียว

ต่อมาเวลา 10.23 น. มีนักเรียนเตรียมทหารเดินจากกองแพทย์หลังได้รับการตรวจรักษา พบเห็นนักเรียนเตรียมทหารภคพงศ์วิ่งช้าๆ สวนทางกลับมาทางการแพทย์ และเกิดอาการเป็นลมล้มลง มีอาการคล้าย ไฮเปอร์เวนติเลชั่น คือมีอาการเกร็ง ชา หายใจถี่เร็ว จนกระทั่งอ๊อกซิเจนในระดับปกติของเลือดเพิ่มมากยิ่งขึ้น สามารถหมดสติ สูญเสียการรู้สึกได้ และมีลักษณะมือจีบ เด็กจะเรียกว่าโรคมือจีบ และในระยะหลังพบบ่อยในนักเรียนเตรียมทหาร ทั้งนี้มีนักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1 ทราบอาการดี เพราะตัวเองก็เคยเป็น จึงรีบไปตามเจ้าหน้าที่จากกองแพทย์มาพานักเรียนเตรียมทหารภคพงศ์ไปรักษาพยาบาลที่กองแพทย์จนอาการกลับเป็นปกติ และรักษาตัวอยู่ที่กองแพทย์อย่างต่อเนื่อง

“เวลา 12.00 น. ได้สอบถามเพื่อนที่ป่วยด้วยกัน ระบุว่านักเรียนเตรียมทหารภคพงศ์ไปรับประทานอาหารที่ห้องอาหารกองแพทย์ตามปกติ และเวลา 12.42 น. ผู้บังคับกองพันที่ 2 ขึ้นมาเยี่ยมและสอบถามอาการ และใช้โทรศัพท์ส่วนตัว ให้กับนักเรียนเตรียมทหารพัฒพงษ์ได้พูดคุยกับมารดา เวลา 15.13 น. นักเรียนภคพงศ์ใช้โทรศัพท์สาธารณะพูดคุยกับผู้ปกครอง และจากภาพวงจรปิดพบว่าเมื่อโทรศัพท์เสร็จขณะเดินกลับที่พัก มีการใช้มือขวากุมที่หน้าอกด้านซ้าย ก่อนจะเดินกลับห้องไปร่วมกับเพื่อนที่ป่วย ในกรณีนี้คณะกรรมการมีข้อสังเกตว่า ในช่วงบ่ายวันนั้นนักเรียนเตรียมทหารภคพงศ์ มีลักษณะการเดินการใช้มือขวากุมที่หน้าอกด้านซ้ายบ่อยครั้ง” รองเสนาธิการทหารฯ กล่าว

พล.อ.อ.ชวรัตน์ กล่าวต่อว่า นักเรียนเตรียมทหารภคพงศ์ได้พูดคุยปรับทุกข์กับเพื่อนสนิท 2 คน ซึ่งให้การว่า นักเรียนเตรียมทหารภคพงศ์มีอาการเครียดสูง จากนั้นเวลา 15.39 น. มีนายทหารที่เป็นเจ้าหน้าที่กองแพทย์ที่มีความคุ้นเคยกับนักเรียนเตรียมทหารภคพงศ์และผู้ปกครอง เข้ามาในห้องพักฟื้นเพื่อนำโทรศัพท์มือถือมาให้นักเรียนเตรียมทหารภคพงศ์ติดต่อกับบิดา เนื่องจากบิดาโทรมาหาและมีการไหว้วานให้นำโทรศัพท์มาให้นักเรียนเตรียมทหารภคพงศ์

“ทั้งนี้ ก่อนรับโทรศัพท์นักเรียนเตรียมทหารภคพงศ์มีอาการเซและล้มลง ในลักษณะการเกิดไฮเปอร์เวนติเลชั่น ที่มีอาการรุนแรงเกร็งหายใจแรงและถี่ รวมถึงการพ่นน้ำลายออกมาเป็นระยะต่อหน้าเพื่อนร่วมห้องจำนวน 4 คน นายทหารคนดังกล่าวก็เห็นเหตุการณ์ และตามแพทย์ให้การรักษา และแพทย์เห็นว่าอาการไม่ดีขึ้น จึงสั่งให้นำส่งโรงพยาบาลโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าในเวลา” พล.อ.อ.ชวรัตน์ กล่าว

พล.อ.อ.ชวรัตน์ กล่าวว่า เวลา 16.24 น. โดยแพทย์รักษาด้วยการทำ CPR แต่อาการไม่ดีขึ้น และในขณะทำ CPR ผู้ช่วยผู้อำนวยการกองแพทย์โทรแจ้งผู้ปกครองให้ทราบและผู้ปกครองร้องขอให้ช่วยทำ CPR ต่อเนื่องจนกว่าจะเดินทางมาถึง จึงทำให้เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าทำ CPR อย่างต่อเนื่องตามคำร้องขอ และผู้ปกครองให้เดินทางมาถึงในเวลา 19.30 น. รวมเวลาการทำ CPR จำนวน 4 ชั่วโมง ใช้เจ้าหน้าที่หมุนเวียนเกือบ 20 คน

พล.อ.อ.ชวรัตน์ กล่าวว่า และเวลา 20.20 น. ได้ยุติการทำ CPR และลงความเห็นนักเรียนเตรียมทหารภคพงศ์เสียชีวิต และดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย โดยการแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจและผู้ปกครองให้ความเห็นชอบในการชันสูตรศพ โดยมอบให้เจ้าหน้าที่โรงเรียนเตรียมทหารนำส่งสถาบันพยาธิวิทยา ศูนย์อำนวยการแพทย์พระมงกุฎเกล้าในเวลา 01.00 น. ของวันที่ 18 ต.ค. จากนั้นเป็นการดำเนินการตามขั้นตอนทางการแพทย์ในการชันสูตรหาสาเหตุการตายที่แท้จริง

“ทั้งนี้จากการสอบสวนข้อเท็จจริงต่างๆ ไม่ปรากฏว่าตลอดทั้งวันของวันที่ 17 ต.ค. นักเรียนเตรียมทหารภคพงศ์ไม่ได้ถูกผู้หนึ่งผู้ใดสั่งลงโทษหรือถูกทำร้ายร่างกาย โดยพยานให้ข้อมูลสอดคล้องกันว่าตลอดทั้งวันยกเว้นช่วงที่เป็นลมในบริเวณทางขึ้นกองแพทย์ โดยเฉพาะในช่วงบ่ายของวันดังกล่าวนักเรียนเตรียมทหารภคพงศ์สามารถพูดเดินตามปกติ เว้นแต่มีอาการเครียดสูงภายหลังจากโทรศัพท์พูดคุยกับผู้ปกครองและหมดสติไปเองต่อหน้าพยาน ล้วนเป็นนักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1 รุ่นเดียวกัน จึงเชื่อได้ว่าในวันดังกล่าวไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดลงโทษ หรือทำร้ายร่างกายนักเรียนเตรียมทหารภคพงศ์ จนเป็นเหตุให้เสียชีวิต” พล.อ.อ.ชวรัตน์ กล่าว

พล.อ.อ.ชวรัตน์ กล่าวว่า นอกจากนั้นในเหตุการณ์ที่ 2 จากการพบรอย พกช้ำตามร่างกายนักเรียนเตรียมทหารภคพงศ์ และจากการตรวจสอบผู้ที่เกี่ยวข้อง ในวันที่ 10 ต.ค. เวลา 15.51 น. นักเรียนเตรียมทหารภคพงศ์ เสร็จจากการเรียนพลศึกษา ภาพจากกล้องวงจรปิดจากกองพลศึกษา พบว่ามีการวิ่งลงไปทางบันไดเพียงลำพัง และลื่นเสียหลักจากพื้นอาคารชั้น 2 ตกมายังชานพักบันได มีบันไดจำนวน 8 ขั้น ความสูงประมาณ 1.5 เมตร เพื่อนที่ได้ยินเสียงจึงเข้ามาช่วยเหลือ และมีครูพละ 2 ท่านที่อยู่ด้านล่าง ได้เดินมาดูเหตุการณ์

พล.อ.อ.ชวรัตน์ กล่าวว่า และพบนักเรียนเตรียมทหารภคพงศ์ นอนตะแคงซ้าย มือกุมหน้าอก จึงรีบให้การช่วยเหลือ ด้วยการตรวจอาการบาดเจ็บบริเวณศีรษะ และลำตัวพร้อมทั้งสอบถามอาการ ได้รับคำตอบว่ามีอาการจุกบริเวณหน้าอก จึงนำตัวไปส่งที่กองแพทย์ และจากการตรวจภายนอกไม่พบบาดแผล พร้อมทั้งนำส่งโรงพยาบาลโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า เพื่อตรวจหาอาการบาดเจ็บโดยละเอียดอีกครั้ง และผลการตรวจสอบไม่พบบาดแผล พร้อมทั้งทำการเอกซเรย์ ไม่พบว่ามีการบาดเจ็บภายใน จึงส่งตัวมามาพักฟื้นที่กองแพทย์

“ข้อมูลที่คณะกรรมการได้จากผู้เกี่ยวข้อง และจับภาพวงจรปิด พบว่านักเรียนเตรียมทหารภคพงศ์เสียหลักตกบันไดด้วยตัวเอง สาเหตุอาจเพราะเร่งรีบ เพื่อกลับกองพัน” พล.อ.อ.ชวรัตน์ กล่าว

พล.อ.อ.ชวรัตน์ กล่าวอีกว่า วันที่ 12 ต.ค. นักเรียนเตรียมทหารภคพงศ์ออกจากโรงเรียนเตรียมทหารมาพักที่บ้าน และผู้ปกครองนำตัวไปเช็คร่างกายซ้ำที่โรงพยาบาลเอกชน ซึ่งไม่พบสิ่งผิดปกติ และกลับเข้าโรงเรียนเตรียมทหารเป็นวันแรกในช่วงเย็นของวันที่ 15 ต.ค.และในคืนนั้น จากการสอบสวนทราบว่านักเรียนบังคับบัญชา ได้ปรึกษาการและเห็นว่า นักเรียนยังมีวินัยไม่ดี จึงปรับปรุงวินัย ด้วยการธำรงวินัย โดยการปลุกนักเรียนมาธำรงวินัย หลังเที่ยงคืนในห้องซาวน่า ซึ่งเป็นห้องกว้างขนาด 8×8 เมตร และนำนักเรียนไปออกกำลังอยู่ในห้องดังกล่าว ซึ่งห้องซาวน่าหมายความว่าเมื่อนักเรียนออกกำลังกายความร้อนที่ออกมาจากตัวจะอยู่ภายในห้องในพื้นที่จำกัดนั้น จึงทำให้อากาศอบอ้าวมากกว่าภายนอก

พล.อ.อ.ชวรัตน์ กล่าวว่า ในขณะนั้นนักเรียนเตรียมทหารภคพงศ์ และเพื่อนอีก 2 คน แจ้งว่า มีอาการป่วย และนักเรียนบังคับบัญชาก็ได้แยกตัวทั้ง 3 คน ออกมา และสั่งยึดพื้น คือยันแขนไว้กับพื้น เป็นเวลากว่าชั่วโมงเศษ

พล.อ.อ.ชวรัตน์ กล่าวว่า ส่วนประเด็นที่นักเรียนเตรียมทหารภคพงศ์ถูกซ่อม ในวันที่ 16 ต.ค.ในช่วงเช้า เป็นการเดินแถวไปรับประทานอาหาร นักเรียนผู้บังคับบัญชาเห็นว่านักเรียนทั้งกองร้อยเดินแถวไม่เรียบร้อย จึงสั่งให้วิ่งรอบโรงอาหาร ระยะทาง 100 เมตร และในช่วงที่วิ่งมีการตัดท้ายแถว คือกลุ่มที่วิ่งช้า ได้ 2 คน ซึ่งหนึ่งในนั้นมีนักเรียนเตรียมทหารภคพงศ์ และสั่งให้กระโดดกบ ประมาณ 20 เมตร และสั่งเลิกพร้อมทำให้เข้าแถว เพื่อให้คำขอบคุณ แต่นักเรียนเตรียมทหารภคพงศ์ แสดงอาการไม่พอใจ ไม่ขอบคุณ นักเรียนบังคับบัญชานำตัวของนักเรียนเตรียมทหารภคพงศ์ ไปที่โต๊ะอาหารและให้พุ่งหลัง 1-2 นาที จนมีอาการฟุบลงไป และหายใจเร็ว ถี่ มีลักษณะมือจีบ จึงไปตามนายทหารเวรมาดูอาการ และได้โทรตามรถพยาบาลรับตัวไปรักษา

“ขอชี้แจงว่าการขอบคุณ เป็นประเพณีปฏิบัติของนักเรียนเตรียมทหารทุกครั้ง ผู้บังคับบัญชาหรือนักเรียนบังคับบัญชา สั่งให้ทำสิ่งใดก็จะเป็นคำขอบคุณที่ติดปากนักเรียน และการพุ่งหลัง เป็นท่าที่อนุญาตให้ใช้ และระยะเวลาที่ลงโทษไม่น่าจะทำให้เกิดการปฏิบัติที่เกินกำลัง รวมถึงการยึดพื้นเมื่อวันที่ 15 ต.ค. ทางคณะกรรมการเชื่อว่าไม่น่าจะเป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการต่อเนื่องจนทำให้เสียชีวิต ”พล.อ.อ.ชวรัตน์ กล่าวว่า

พล.อ.อ.ชวรัตน์ กล่าวว่า จากพยานหลักฐานที่คณะกรรมการได้ทั้ง 2 เหตุการณ์ โดยเฉพาะจากคำให้การของเพื่อน ที่อยู่ในเหตุการณ์รวมถึงภาพวงจรปิดจึงสรุปได้ว่า การเสียชีวิตของนักเรียนเตรียมทหารภคพงศ์ ไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดสั่งลงโทษหรือทำร้าย ซึ่งอาจจะเป็นเหตุให้เกิดการเสียชีวิต และจากการตรวจของสถาบันพยาธิวิทยาศูนย์อำนวยการแพทย์พระมงกุฎเกล้า สรุปภาพรวมได้ว่าไม่พบร่องรอยการพกช้ำภายนอก

ส่วนกรณีชายโครงด้านขวา ซี่ที่ 4 หักนั้น แพทย์ไม่ได้ตัดประเด็นการทำ CPR ที่ต้องใช้แรงกดกึ่งกระแทก นานถึง 4 ชั่วโมง และพบเซลล์กล้ามเนื้อ หัวใจบางส่วนมีขนาดผิดปกติ ซึ่งจะไม่พบในคนอายุ ประมาณ 18 ปี จึงสรุปสาเหตุการเสียชีวิต ของนักเรียนเตรียมทหารภคพงศ์ว่า เกิดจากหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน

“ยืนยันว่าหลักสูตรของโรงเรียนเตรียมทหารเป็นมาตรฐานของโรงเรียนทหารทั่วไป ซึ่งต่อไปอาจจะมีการปรับปรุงในเรื่องของความเข้มงวดในการรับเด็กเข้ามา ศึกษาในโรงเรียนเตรียมทหารต่อไปในอนาคต พร้อมเพ่งเล็งโรคที่ไม่เคยปรากฏ โดยการเฝ้าระวัง ป้องกันให้มากขึ้น การตรวจคัดกรองจะต้องมีมาตรฐานที่สูงขึ้น การตรวจรักษาหลังจากเข้าไปเป็นนักเรียนเตรียมทหาร ต้องกำหนดให้มีระยะเวลาที่เหมาะสม เพื่อค้นหาสาเหตุให้กับนักเรียน” พล.อ.อ.ชวรัตน์ กล่าว

พล.อ.อ.ชวรัตน์ ยืนยันว่า ระบบของการธำรงวินัย หรือการปรับปรุงวินัยของโรงเรียนเตรียมทหารยังดีอยู่ แต่ยังมีข้อผิดพลาดหรือปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากตัวบุคคล อย่างเช่นกรณีวันที่ 15 ต.ค. ระเบียบได้กำหนดเอาไว้ว่าห้ามแต่มีการฝ่าฝืนและเมื่อฝ่าฝืน ทางโรงเรียนเตรียมทหารไม่ได้ละเลยได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมา ตรวจสอบว่ามีการตัดคะแนนความประพฤติของนักเรียนผู้บังคับบัญชา ที่ดำเนินการไปทั้งหมด จำนวน 4 คน และปลดออกจากการเป็นนักเรียนผู้บังคับบัญชา ซึ่งถือเป็นเรื่องที่เสื่อมเกียรติ ถือเป็นการลงโทษที่ค่อนข้างรุนแรง ส่วนท่าปักหัวนั้นไม่มีในระบบ และถูกห้ามนำมาธำรงวินัย แต่ก็ยังมีการฝ่าฝืน

เมื่อถามว่า การปลดรุ่นพี่ที่เป็นนักเรียนผู้บังคับบัญชา จะส่งผลต่อเหตุการณ์อะไรบ้าง พล.อ.อ.ชวรัตน์ กล่าวว่า ผู้บัญชาการทหารสูงสุดได้มอบหมายให้ตนดูแลเรื่องนายทหารปกครองในโรงเรียนเตรียมทหาร โดยต้องขอรับการสนับสนุนจากเหล่าทัพต่างๆ และได้กำหนดจำนวนที่เหล่าทัพจะต้องหมุนเวียน ส่งนายทหารปกครองมาปกครอง นักเรียนเตรียมทหารและกำหนดเกณฑ์มาตรฐานคุณภาพ ก่อนที่จะมีปัญหาเรื่องนี้ เรื่องนายทหารชั้นปกครองมีการตระหนักถึงตั้งแต่เริ่มต้น ในปีนี้การธำรงวินัย ของนักเรียนผู้บังคับบัญชา จะมีนายทหารผู้ปกครองไปดูแลอย่างใกล้ชิด

พล.อ.อ.ชวรัตน์ ชี้แจงเพิ่มเติมว่า สาเหตุที่ไม่เชิญ ผู้ปกครอง ของนักเรียนเตรียมทหารภคพงศ์มาฟังการแถลงข่าวในวันนี้ แต่ให้มาฟังในวันที่ 18 ธ.ค.แทน เนื่องจากไม่อยากให้เกิดบรรยากาศการตอบโต้ในข้อมูล เพราะเราไม่ใช่คู่ขัดแย้งหรือคู่กรณีต่อการเสียชีวิต ส่วนผู้ปกครองตอบรับหรือไม่นั้นยังไม่ทราบ

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน