สลด! หนุ่มป่วยจิต ถูกขังในห้องนาน 15 ปี พี่สาวเผย จำใจขังน้องชาย เหตุป่วยพิการสมองชอบแก้ผ้าตลอดเวลา ต้องปิดห้องไว้กันหนี จะเปิดตอนส่งข้าวส่งน้ำเท่านั้น เผยต้องเลี้ยงน้องลำพังหลังแม่หนีเจ้าหนี้ไปอยู่ที่อื่น ห่วงถ้าตัวเองตายไปน้องจะอยู่อย่างไร เพราะบ้านที่อยู่ก็ไปจำนองจนถูกยึด ยังดีที่เจ้าของยังเห็นใจ ให้น้องอยู่ต่อมาร่วม 10 ปีแล้ว วอนขอความช่วยเหลือ เพราะฐานะยากจน ขณะที่ นอภ.บ้านฉาง ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งช่วยเหลือเบื้องต้น พร้อมวางแผนพาตัวไปรักษา

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 26 ธ.ค. ผู้สื่อข่าวเดินทางไปยังบ้านหลังหนึ่งใน ต.สำนักท้อน อ.บ้านฉาง จ.ระยอง หลังได้รับแจ้งว่า มีชายพิการทางสมองถูกขังไว้ภายในห้องเป็นเวลา 15 ปี โดยมีพี่สาวดูแลส่งข้าวส่งน้ำให้ เป็นที่เวทนาแก่ชาวบ้านในพื้นที่เป็นอย่างมาก มิหนำซ้ำครอบครัวยังยากจน ไม่มีเงินพาไปรักษา จึงต้องขังไว้ หากไม่ขังก็จะเดินแก้ผ้าไปทั่ว กลัวจะเป็นอันตราย จึงขังไว้เป็นเวลา 15 ปีแล้ว

เมื่อเดินทางไปถึงพบ น.ส.สุภาศิริ อายุ 33 ปี กำลังเปิดประตูเพื่อนำอาหารเข้าไปให้คนภายในห้อง ทำเอาผู้สื่อข่าวถึงกับผงะกับภาพชายอยู่ในสภาพเปลือยเปล่า ผมยาว หนวดเครารุงรัง ยืนจังก้าอยู่ พร้อมกับกลิ่นเหม็นคละคลุ้งไปทั่วห้องโดยภายในห้องมีพัดลม 1 ตัว เปิดระบายอากาศอยู่ ขณะที่น.ส.สุภาศิริ นำอาหารและน้ำให้ พร้อมทำความสะอาดห้อง ชายคนดังกล่าวไม่ได้แสดงอาการยินดียินร้าย ยืนนิ่งมองด้วยแววตาที่ไร้ความรู้สึก แล้วก็นอนลงฟังเสียงเพลงที่เปิดไว้อย่างสบายอารมณ์ หลังทำความสะอาดน.ส.สุภาศิริจึงปิดประตูล็อกห้องไว้เหมือนเดิม

น.ส.สุภาศิริ เปิดเผยด้วยความรันทดว่า ผู้ชายที่อยู่ในห้องเป็นน้องชายของตนเอง อายุ 30 ปีแล้ว สาเหตุที่ต้องขังไว้ เพราะป่วยพิการทางสมองมาตั้งแต่มื่อ 15 ปีก่อน โดยไม่สามารถช่วยตัวเองได้ และยังชอบแก้ผ้าตลอดเวลา จึงต้องขังไว้กลัวเดินหายไป และต้องเปิดเพลงไว้ให้ เพราะฟังเพลงแล้วจะสงบไม่โวยวาย สำหรับที่ที่อาศัยอยู่แต่เดิมเป็นที่ของพ่อแม่ แต่หลังจากที่พ่อเสียไป น้องชายก็เกิดอาการทางสมองขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ แม่ก็พยายามหาเงินรักษาจนกระทั่งต้องนำที่ดินแปลงนี้ไปจำนองกับนายทุน เพื่อนำเงินมารักษาน้องชาย แต่ก็ไม่หาย สุดท้ายแม่ก็มาหนีไปอยู่ที่อื่น เพราะกลัวนายทุนตามทวงหนี้ ทิ้งให้ตนต้องดูแลน้องชายที่ป่วยทางสมองมาจนถึงปัจจุบัน โชคดีที่นายทุนยังใจดียอมให้อยู่ต่อไป แต่ตนต้องออกไปเช่าบ้านอยู่ต่างหาก

“ทุกวันนี้รับจ้างทำงานในร้านกาแฟได้ค่าแรงวันละ 300 บาท และต้องขอลางานนำอาหารมาส่งให้น้องชายทุกวัน เพราะชาวบ้านไม่กล้าเข้าใกล้ เนื่องจากน้องชายมักอารมณ์ไม่อยู่กับร่องกับรอย เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ชาวบ้านจึงกลัว ส่วนเราทนได้และต้องทน เพราะเป็นน้องชาย ก็ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร ไม่อยากจะคิดว่าหากวันใดที่ไม่อยู่เสียชีวิตกะทันหัน น้องจะอยู่อย่างไร หรือหากเจ้าของที่ดินให้ออกจะไปอยู่ที่ไหน ก็ได้แต่วิงวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยดลบันดาลให้น้องหายเป็นปกติ และวอนให้ผู้เมตตาช่วยพาน้องชายไปรักษาด้วย เพราะไม่มีปัญญาหาเงินส่งน้องไปรักษา ทุกวันนี้แค่ค่าอาหารให้น้องยังไม่พอเลย ส่วนแม่ก็ติดต่อกันบ้าง และเข้าใจว่าแม่อาจมีความจำเป็นที่ต้องทำแบบนี้ ไม่โกรธแม่ที่ทิ้งภาระให้คนเดียว จะขอสู้ต่อไปจนกว่าจะล้มหายตายจากไป” น.ส.สุภาศิริ กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

จากการสอบถามชาวบ้านต่างก็เวทนา และสงสารพี่สาวที่ต้องมารับภาระอันหนักอึ้ง ก็คอยช่วยบ้างตามอัตภาพ ต่างก็ต้องการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาช่วยด้วย สำหรับผู้ใจบุญที่ต้องการช่วยเหลือ สามารถโอนเงินเข้าไปที่บัญชีชื่อ น.ส.สุภาศิริ คำวิรัช ธนาคารกรุงเทพ สาขาโลตัส บ้านฉาง หมายเลขบัญชี 770-023-1967

วันเดียวกัน นายจีรศักดิ์ ตะปะโจทย์ นายอำเภอบ้านฉาง กล่าวว่าได้รับรายงานแล้ว พร้อมให้เจ้าหน้าที่ลงตรวจสอบเพื่อหาทางช่วยเหลือต่อไป เบื้องต้นทางอำเภอมีกองทุนช่วยเหลืออยู่แล้ว ซึ่งยังไงก็ต้องรอให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุข อ.บ้านฉาง จ.ระยอง วางแผนหาทางช่วยเหลือเพื่อนำตัวไปรักษาต่อไป

ด้านนายปรีชา ภู่พันธ์ ผู้อำนวยการศูนย์บริการคนพิการจ.ระยอง กล่าวว่า เบื้องต้นประสานทางสาธารณสุขจังหวัดระยองให้รับตัวไปรักษาแล้ว แต่คงต้องใช้เวลาในการวางแผนในการนำตัวออกจากบ้าน เพราะคนป่วยอารมณ์คลุ้มคลั่ง ซึ่งได้มีการประสานไปทางร.พ.บ้านฉาง และ หน่วยกู้ภัยในพื้นที่เพื่อช่วยนำตัวออกไปรักษา ซึ่งทางหน่วยงานจะให้ความช่วยเหลือหลังการรักษาต่อไป

นายบุญเลิศ เปาอินทร์ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 5 ต.สำนักท้อน อ.บ้านฉาง จ.ระยอง ที่ลงตรวจสอบในบ้านหลังดังกล่าวเปิดเผยว่า ปกติแล้วจะไม่มีใครในหมู่บ้านเคยเห็นผู้ป่วยเลย จนทำให้ทุกคนคิดว่าเป็นบ้านร้างไม่มีคนอยู่ ซึ่งทางอำเภอก็ประสานมาแล้วเช่นกัน นอกจากนี้ ทางเทศบาลตำบลสำนักท้อน เจ้าของพื้นที่ ก็ได้ลงมาตรวจสอบและเตรียมให้ความช่วยเหลือแล้ว

ขณะที่นางวิไล ตันติธรรมผากุล อายุ 57 ปี เจ้าบ้านที่รับจำนองที่ดินจากครอบครัว ผู้ป่วย จนยึดมาเพราะขาดส่ง ได้เปิดเผยว่า ตนเองก็เห็นใจครอบครัวนี้มาก จึงให้อยู่อาศัยมาตลอดโดยไม่คิดค่าเช่า ประมาณ 10 ปีแล้ว ทั้งๆที่จะใช้พื้นที่ แต่ก็เห็นใจจึงให้อยู่ต่อไป ซึ่งก็คงจะให้เวลาได้อีกสองปี เพราะจำเป็นต้องใช้พื้นที่ ก็รู้สึกดีใจที่ได้รับความช่วยเหลือ เพราะตนเองจะช่วยก็ไม่ทราบว่าจะช่วยอย่างไรเพราะไม่มีใครกล้าเข้าไปเพราะกลัวจะถูกทำร้าย

ด้าน น.ส.สุภาศิริ พี่สาวผู้ป่วยเปิดเผยอีกว่า ขอขอบคุณทุกหน่วยงานที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ ดีใจที่น้องจะได้รับการรักษา ซึ่งอยากให้น้องหายเป็นปกติ ส่วนการไถ่ที่คืนนั้นคงยากเพราะยอดเงินสูงมาก และก็ขาดมาหลายปีแล้ว ก็ต้องทำใจ และ ขอขอบคุณเจ้าบ้านที่ยังให้อยู่มาตลอด “ก่อนที่น้องชายจะป่วยทางสมอง ก็เป็นคนแข็งแรง แต่ชอบออกไปล่าสัตว์บนภูเขา ครั้งสุดท้ายไปยิงกระรอกตัวใหญ่สีดำมาได้หนึ่งตัว จากนั้นก็เริ่มมีอาการเปลี่ยนไป กลายเป็นคนเงียบขรึมไม่พูดไม่จา จนกลายเป็นไม่รับรู้อะไรอีกเลย โดยไม่ทราบสาเหตุไปหาแพทย์ก็ไม่สามารถบอกว่าเกิดจากอะไร บอกเพียงป่วยทางสมองเท่านั้น แต่ทางครอบครัวเชื่อว่าเป็นเรื่องของเวรกรรม ก็เป็นความเชื่อส่วนบุคคล” น.ส.สุภาศิริกล่าว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน