ย้ายแล้ว ครูประถมบุรีรัมย์ ลวงขืนใจ นักเรียนม.3 ศธจ.บุรีรัมย์ ระบุหลักฐานค่อนข้างชัดเจน ประพฤติชั่วร้ายแรง มีโทษไล่ออก ด้านตร.นางรอง รอผลตรวจร่างกาย ด.ญ.เหยื่อหื่น ก่อนแจ้งข้อหาข่มขืน เพิ่มเติมจากคดีพรากผู้เยาว์

จากกรณีนายสมพรและนางแดง (นามสมมติ) พ่อและแม่ของน้องเอ (นามสมมติ) อายุ 14 ปี นักเรียนชั้น ม.3 โรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งใน จ.บุรีรัมย์ พร้อมญาติพี่น้อง เข้าร้องขอความช่วยเหลือและค่าใช้จ่ายใน คดีอาญาที่สำนักงานยุติธรรม จ.บุรีรัมย์ หลังจากน้องเอถูกนายกร (นามสมมติ) อายุ 57 ปี ครูโรงเรียนประถมแห่งหนึ่งใน ต.หนองกง อ.นางรอง บังคับล่วงละเมิดทางเพศ ขณะเข้าไปใช้อินเตอร์เน็ตไวไฟในโรงเรียน ตั้งแต่เมื่อวันที่ 15 พ.ค. 2559 และบังคับ ล่วงละเมิดมาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานเกือบ 2 ปี ข่มขู่ห้ามนำเรื่องไปบอกใคร ไม่เช่นนั้นจะนำคลิปที่ถูกล่วงละเมิดไปเผยแพร่ในโลกออนไลน์ สร้างความหวาดกลัวให้เหยื่อจนต้องยอมถูกล่วงละเมิดมาตลอด กระทั่งแม่เห็นลูกผิดปกติเก็บตัวไม่ค่อยพูดจากับใคร เก็บกดมีพฤติกรรมก้าวร้าว จึงเค้นถามลูกสาวจึงทราบเรื่องว่าถูกครูบังคับล่วงละเมิดทางเพศ จากนั้นเมื่อวันที่ 12 ก.พ. จึงเข้าแจ้งความที่ สภ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ และตำรวจได้ซ้อนแผนเข้าจับกุมครูหื่นคน ดังกล่าว หลังโทรศัพท์มานัดให้เหยื่อออกไปหาเพื่อล่วงละเมิดที่รีสอร์ตแห่งหนึ่งใน อ.นางรอง ผู้ปกครองและตำรวจบุกช่วยเหลือ พบครูอยู่ในสภาพเปลือยท่อนบนนุ่งผ้าขนหนูผืนเดียวและมีชุดขรก.แขวนอยู่ข้างห้องด้วย จึงจับกุมตัวและนำไปสอบสวนที่ สภ.นางรอง ก่อนจะได้ประกันตัวออกไป และปัจจุบันก็ยังไปสอนในโรงเรียนตามปกติตามที่เสนอข่าวไปแล้ว

ล่าสุดเมื่อวันที่ 27 ก.พ. พ.ต.อ.สมภพ สังข์กรทอง ผกก.สภ.นางรอง เปิดเผยว่า หลังจากได้รับแจ้งจากผู้ปกครองว่ามีข้าราชการครูบังคับไปล่วงละเมิดทางเพศ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้วางแผนจับกุมข้าราชการครูคนดังกล่าวได้ขณะอยู่กับ นักเรียนชั้นม.3 ในรีสอร์ตแห่งหนึ่ง และควบคุมตัวมาสอบสวนที่โรงพัก เมื่อวันที่ 12 ก.พ.ที่ผ่านมา ซึ่งเบื้องต้นแม้ข้าราชการครูจะให้การปฏิเสธ แต่ทางพนักงานสอบสวนก็ได้แจ้งข้อกล่าวหาตามพยานหลักฐานที่ปรากฏแล้ว 2 ข้อหา คือ “พรากผู้เยาว์อายุไม่เกิน 15 ปี ไปเสียจากบิดามารดาผู้ปกครอง, พาเด็กอายุไม่เกิน 15 ปีไปเพื่อการอนาจารแม้เด็กยินยอมหรือไม่ก็ตาม”

พ.ต.อ.สมภพกล่าวต่อว่าที่ผ่านมาได้สอบปากคำเด็กผู้เสียหายต่อหน้าสหวิชาชีพ และส่งตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลตามขั้นตอนแล้ว ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการสอบปากคำ เพิ่มเติมเพื่อให้ได้ข้อมูลหลักฐานที่ครบถ้วน ส่วนจะมีการแจ้งข้อหา “กระทำชำเรา” เพิ่มหรือไม่นั้น ต้องรอผลตรวจร่างกายจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญว่าเด็กถูกระทำชำเราหรือไม่ ซึ่งก็ได้กำชับให้พนักงานสอบสวนเร่งดำเนินการสอบปากคำผู้เกี่ยวข้อง และรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อสรุปสำนวนส่งพนักงานอัยการอย่างรวดเร็ว ส่วนกรณีที่อนุญาตให้ข้าราชการครูซึ่งตกเป็นผู้ต้องหาได้ประกันตัวในชั้นพนักงานสอบสวนนั้น เนื่องจากพิจารณาแล้วเห็นว่าครูไม่มีพฤติการณ์จะหลบหนี หรือไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน ซึ่งยืนยันว่าทางตำรวจดำเนินการไปตามขั้นตอนและจะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ทางด้าน ผู้ปกครองนักเรียนได้เข้ายื่นหนังสือร้องต่อศึกษาธิการจังหวัด เพื่อให้ดำเนินการเอาผิดทางวินัยกับข้าราชการครูคนดังกล่าวอย่างเด็ดขาด เพราะการกระทำของครูถือเป็นภัยต่อเด็กนักเรียน ทั้งยังคาใจว่าเจ้าหน้าที่ บุกจับกุมตัวและมีหลักฐานการกระทำผิดชัดเจน แต่ทางโรงเรียนยังปล่อยให้ครูไปสอนตามปกติได้อย่างไร ควรจะมีการสั่งพักราชการไว้ก่อน เพื่อให้ความเป็นธรรมกับครอบครัวผู้เสียหายด้วย

วันเดียวกัน นายสมศักดิ์ ชอบทำดี ศึกษาธิการจังหวัดบุรีรัมย์ (ศธจ.บุรีรัมย์) ระบุถึงกรณีดังกล่าวว่า ได้กำชับให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 3 ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาต้นสังกัดเร่งดำเนินการสืบสวนข้อเท็จจริงให้แล้วเสร็จภายใน วันที่ 28 ก.พ. เพื่อสรุปผลการสอบเสนอมายังศึกษาธิการจังหวัด พิจารณาแต่งตั้ง คณะกรรมการสอบสวนเอาผิดทางวินัยตามขั้นตอน และระหว่างที่รอสรุปผลการสืบสวน ข้อเท็จจริง ก็ได้ให้ทางเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 3 ออกคำสั่งย้าย ครูคนดังกล่าวมาช่วยราชการที่สำนักงานเขตฯชั่วคราวมีผลตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป จนกว่าผลการสอบสวนจะแล้วเสร็จ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับครอบครัวผู้เสียหาย

นายสมศักดิ์กล่าวต่อว่า จากที่ได้รับข้อมูลรายงานเบื้องต้น พบว่าองค์ประกอบข้อมูลหลักฐานค่อนข้างชัดเจนว่าเข้าข่ายกระทำผิดวินัย แต่ก็ต้องดำเนินการไปตามกระบวนการขั้นตอน อย่างไรก็ตามยืนยันว่าหากผล การสอบสวนพบมีมูลว่ากระทำผิดจริง ก็จะต้องเอาผิดวินัยร้ายแรงโดยไม่มีการละเว้นอย่างแน่นอน เพื่อให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่ข้าราชการครูหรือบุคลากรในสังกัดจะได้ ไม่กระทำผิดในลักษณะดังกล่าวเกิดขึ้นซ้ำอีก ซึ่งตามระเบียบกฎหมายที่กำหนด การ กระทำผิดในลักษณะดังกล่าวหากมีข้อมูล หลักฐานชัดเจน ก็จะมีโทษสถานหนักถึง ขั้นไล่ออก ปลดออก เพราะถือเป็นการประพฤติชั่วร้ายแรง โดยยืนยันว่าจะให้ความเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าย

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน