ตร.เปิดหลักฐานสำคัญ มัดตัว “ลุงพล” สู่คุก 20 ปี ชี้แรงจูงใจ – อาจเกิดจากน้ำผึ้งหยดเดียว พ่อแม่เผยจุดสงสัย – ทนถูกสังคมตราหน้าฆ่าลูก

กรณี “ลุงพล ไชย์พล วิภา” ผู้ต้องสงสัยในการเสียชีวิตของ “น้องชมพู่” เด็กหญิงวัย 3 ขวบ เสียชีวิตบนภูเหล็กไฟ จังหวัดมุกดาหาร ถูกศาลจังหวัดมุกดาหารตัดสินให้จำคุก 20 ปี ข้อหาประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และ พรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ซึ่งต่อมาลุงพลมีการประกันตัวออกมาเพื่อต่อสู้คดี

รายการโหนกระแส ออกอากาศวันที่ 21 ธ.ค.66 ดำเนินรายการโดย “หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย” ผลิตในนามบริษัท ดีคืนดีวัน จำกัด ออกอากาศทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 12.35 น. ทางช่อง 3 กดเลข 33 ได้สัมภาษณ์ แม่สาวิตรี-พ่ออนามัย พ่อแม่น้องชมพู่, ป้าถอน ที่เคยเชื่อลุงพลจนหมดใจ แต่วันนี้เสียใจที่โดนหลอก, พิสิษฐ์ ตรัยเจริญเมธากุล ทนายความ, ปู่มหามุนี และ พ.ต.อ.เผด็จ งามละม่อม รองผู้บังคับการปราบปราม เจ้าหน้าที่สืบสวนคดีน้องชมพู่

ป้าถอน มาพร้อมความเสียใจ?
ป้าถอน : เสียใจที่โดนหลอกค่ะ

มุมป้าเอง ยังเชื่อมั้ยว่าลุงไม่ได้ทำ?
ป้าถอน : ศาลตัดสินออกมาแล้ว ก็เชื่อในคำตัดสินของศาลค่ะ

เมื่อวานเป็นยังไงบ้างแม่?
สาวิตรี : ดีใจ เราหวังว่าสักวันนึงความยุติธรรมจะมีจริง ฟ้าจะเห็นความจริง จะประกาศความจริงให้ทุกคนได้รู้ว่าอะไรที่ซ่อนอยู่ในสิ่งที่ทุกคนไม่รู้ และเขาประณามเรา

แม่สงสัยเขาเป็นคนแรก ทำไมตอนนั้นถึงสงสัย?
สาวิตรี : ตอนฝากให้ลุงพลพาน้องมาผ่าพิสูจน์ศพที่รพ.ตร. ตอนแรกไม่ได้สงสัยอะไรขนาดนั้นหรอก แต่แค่คิดว่ามันไม่สมเหตุสมผลที่เขากลับจากพาน้องมาผ่าพิสูจน์ในครั้งนั้นแล้ว กลับไปครอบครัวก็ได้ตำหนิที่มาออกโหนกระแสช่วงนั้น เขาพูดพาดพิงถึงแอ๋มที่อยู่ข้างบ้าน ว่าตัวแม่เองก็สงสัยแอ๋มที่อยู่ข้างบ้าน เราก็เกิดความไม่สบายใจว่าทำไมมาพูดในรายการแบบนี้ เดี๋ยวพ่อแม่ ญาติแอ๋มไม่สบายใจเอา เราก็ตำหนิลุงไป แต่ไม่ได้พูดกับลุงโดยตรง พูดกับป้า พอหลังจากตำหนิป้าไป ป้าก็เล่าให้สามีฟัง เรารอพระมาสวดตอนสี่โมงเย็น เขาก็เหมือนโกรธมาก มาเอาอุปกรณ์ที่ช่วยจัดงานศพน้อง พวกถังน้ำ เตาแก๊สเก็บของกลับหมดเลย ทั้งที่พิธียังไม่เสร็จ เรามองว่าไม่สมเหตุสมผล เพราะตอนตำหนิไม่ได้ด่าทอ หรือทำอะไรรุนแรงเลย แค่พูดตำหนินิดเดียวเองว่าไม่น่าเลยนะ เดี๋ยวจะไปขอขมาป้าลุงแอ๋มเอง ตอนกลับจากบ้านพ่อแม่ของแอ๋ม เขากำลังเก็บของอีรุงตุงนัง ก็สงสัยว่าทำไมถึงโกรธมากขนาดนั้น แล้วหลานที่ตายล่ะ ไม่ให้เกียรติผู้ตายก่อนเหรอ ตอนแรกเราเคืองใจ ไม่ได้คิดถึงพิรุธขนาดนั้น”

จุดแรกที่ทำให้แม่สงสัยในครั้งแรก?
สาวิตรี : ยืนเฝ้าตรงเผาศพ แล้วเขาให้สัมภาษณ์ว่าเกี่ยวกับไม้ค้ำผี ไม้พาดที่โลงศพ เขาให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับการสะกดวิญญาณ ทำนองว่าวิญญาณน้องเหมือนอาฆาตอยู่ วิญญาณน้องไม่สบายใจ เขาใช้คำว่าน้องยังมีจิตใจอาฆาตไม่ปล่อยวาง ประมาณนี้ ตอนน้องหาย หรือตอนเผาศพ ครอบครัวเราเองยังไม่ได้คิดเรื่องมีคนร้าย หรือใครฆ่าน้องหรือยังไง แต่เราจับประเด็นว่าทำไมน้องถึงมีความอาฆาต ที่สงสัยก็ค่อยๆ เก็บรายละเอียดข่าวต่างๆ พอเราเผาน้องเสร็จ เหมือนกิจกรรมทางศาสนาก็เบาบางลง ที่เหลือคือตร.สอบสวนเรา จะว่าทุกวันก็ได้ บางสิ่งบางอย่างที่ตร.ถามเรา ทำให้เราเอาไปคิดและไปติดตามเกี่ยวกับคนรอบตัวเรา ว่ามีใครน่าจะเป็นไปได้บ้าง”

สิ่งแรกที่แม่บอกคือแม่ไม่เชื่อว่าน้องจะเดินขึ้นไปเอง ไม่มีทางแน่ ต้องมีคนพาขึ้นไป แม่คิดว่าต้องมีใครคนใดคนหนึ่งในละแวกนั้นพาขึ้นไป?
สาวิตรี : ค่ะ เราเจอประโยคคำถามของตร.ที่เหมือนกันคือใครอุ้มน้องได้บ้าง เราก็มาคุยกันทำไมตร.ถามแบบนี้ มันก็คือคำถามในใจเราเหมือนกัน จากคำถามนี้เราก็มาฉุกคิดว่าใครอุ้มชมพู่ได้ ทำไมตร.ถามเราสามคนทั้งที่แยกห้องแล้ว ทำไมถามแต่ละคนว่าใครอุ้มน้องได้ เราก็เออ ทำไม

ลุงพลอุ้มได้?
สาวิตรี : อุ้มได้ บางคนเรียกได้ หยอกได้ แต่เขาไม่ให้แตะ ตายายอุ้มได้ สะดิ้งอุ้มได้ ป้าก็อุ้มได้ ก็มีอยู่แค่นี้

พ่อล่ะ?
อนามัย : ตอนแรกก็ไม่ได้สงสัยอะไรใคร พอแม่พูดมาก็คิดตาม ดูจากคลิปข่าวดูจากอะไร ดูจากพฤติกรรม

แม่สงสัยเรื่องอะไรอีก?
สาวิตรี : มีเรื่องช่วงไทม์ไลน์ ตอนนั้นคิดหนักมาก ที่จะประกาศผ่านสื่อว่าเราสงสัยไทม์ไลน์เขา เหมือนมีประเด็นข่าวว่าลุงพลไปอยู่ตรงไหนยังไง ไปสูบลมอะไรแบบนี้ ซึ่งมีประเด็นเยอะมาก มาเติมลมบ้างไม่เติมลมบ้าง ซึ่งเราก็ถามลูกเราว่าเขามาเติมลมมั้ย ระหว่างพ่อแม่ไม่อยู่ หรือมีการเล่าข่าวจากช่องๆ นึง เขาใช้ชื่อสมมติของสะดิ้งว่าไปที่บ้านป้าลุง ลุงอาบน้ำอยู่ แล้วสั่งให้ดิ้งไปตามหาน้องที่บ้าน หรือมาหาแม่ก่อน เดี๋ยวแม่จะดุ เราก็ไปตามว่าข่าวนี้มีจริงมั้ย ใครเป็นคนให้ข้อมูล ซึ่งในข่าวเราไม่ได้เห็นตัวคนให้สัมภาษณ์ แต่เป็นการเล่าข่าว เราก็เก็บโน่นนั่นนี่ เราก็ถามดิ้ง ดิ้งไปแล้วเจอมั้ย ดิ้งบอกว่าไม่เจอ เจอแต่ป้ากับลูกเขา แล้วไม่มีรถอยู่ ซึ่งทำให้เกิดความขัดแย้งในใจเราหลายอย่าง

มีเรื่องโทรศัพท์ที่บอกว่าโทรศัพท์ไปหาโน่นนี่นั่น ทั้งที่ที่บ้านมีโทรศัพท์หนึ่งเครื่อง?
สาวิตรี : ค่ะ ก็เก็บทั้งหมดแล้วบอกตร. มีบางคำถามของตร.มาตรงกับสิ่งที่เราเก็บไว้ในใจ

สิ่งเก่าๆ ที่เกิดขึ้นกับสังคมที่โจมตีเรา วันนี้รู้สึกยังไง?
สาวิตรี : พอเหมือนกับว่าเราผ่านจุดนั้นมาแล้ว เราปรับตัวเป็น แต่ถ้าไปดูข่าวอื่นๆ ก็มีเหตุการณ์ที่เหมือนกับเราอยู่ มีคนเข้าไปคอมเมนต์ด่าทอคนที่เขาคิดว่าน่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ซึ่งเรามองว่าเขาก็เหมือนเราเหมือนกัน ซึ่งเราไม่ชอบ เราคิดว่าถ้าบางครั้งเราไม่ทน อาจฆ่าตัวตายไปแล้วก็ได้

แม่กับพ่อโดนหนักมาก คนไม่เชื่อ ด่าพ่อกับแม่เยอะมาก?
สาวิตรี : เหมือนกับบอกว่าพ่อขับรถแทร็กเตอร์ไปจอดไว้ไหนแล้วเอาลูกไปทิ้ง ทำให้ลูกตาย แล้วไปซ่อนศพ มีหมดค่ะ

ลูกตายแล้วยังถูกสังคมประณามว่าเป็นคนฆ่า แต่สู้มาได้ โดนด่าเช้าเย็น แต่มุมกลับกัน คนเทิดทูนลุงพลเหมือนพระเจ้า มุมทนาย ศาลตัดสินยังไงถึงได้ออกมาแบบนี้?
พิสิษฐ์ : ร่วมทำคดี ซักถามค้านเหมือนท่านอัยการ แต่คดีหลักๆ เป็นของท่านอัยการ การนำสืบของโจทก์ ไม่ว่าพยานบุคคล พยานเอกสาร พยานผู้เชี่ยวชาญ นิติวิทยาศาสตร์ มันสอดคล้องต้องกันหมดทุกอย่าง จึงมาเป็นบทสรุปของคำวินิจฉัยของศาลเมื่อวาน ศาลวินิจฉัยทำนองว่าการที่โจทก์ฟ้องและนำสืบมาสอดคล้องต้องกันหมดทุกอย่าง เห็นด้วยกับโจทก์ ข้อแรกเห็นด้วยว่ามีคนพาน้องไป น้องไม่สามารถเดินขึ้นเขาโดยลำพังได้ ข้อสองวินิจฉัยว่าจำเลยที่หนึ่งพาน้องไป

มีคนเห็น?
พิสิษฐ์ : ไม่ใช่มีคนเห็น ศาลเชื่อว่า ด้วยลักษณะทางกายภาพของน้อง อายุขนาดนั้น ขึ้นเองไม่ได้อยู่แล้ว

เมื่อวานมีคนพูดว่ามีทางอื่นที่เด็กสามารถเดินขึ้นไปได้ แต่นักข่าวไม่พาไป ผมไปดูมาแล้ว มันขึ้นไม่ได้ ผมคุยกับเจ้าหน้าที่ป่าเลย เขาบอกทางอื่นขึ้นยากกว่าทางนี้ ชาวบ้านบอกว่าขึ้นไม่ได้?
ป้าถอน : ให้เขาเองไปขึ้นเลย จะไปทางไหนเดี๋ยวพาไป

ฟังแล้วขึ้นเลยนะ มึงไปมาเหรอ แล้วบอกนักข่าวไม่ได้ไปทางนั้น?
ป้าถอน : จะไปทางไหนก็ขึ้นไม่ได้

ขึ้นมากว่ากูไปมาด้วยเหมือนกัน ยังขึ้นไม่ได้เลย ยังไงต่อ?
พิสิษฐ์ : ศาลวินิจฉัยว่าเด็กไม่สามารถขึ้นเองได้ โดยธรรมชาติเด็กก็ขึ้นเองไม่ได้อยู่แล้ว และศาลก็เชื่อว่าจำเลยที่หนึ่งเป็นคนพาน้องไป แต่การที่น้องตายแตกต่าง ศาลเชื่อว่าน้องตายเพราะความประมาทของจำเลยที่หนึ่ง ไม่ดูให้ดี จึงทำให้น้องตาย แต่แนวทางนำสืบของโจทก์ สืบนำโจทก์ว่าจำเลยเจตนาฆ่าน้องโดยเล็งเห็นผล ลักษณะคือเอาน้องไปทิ้งไว้ ศาลรับฟังมาหมดทุกอย่าง เพียงแต่แตกต่างกันนิดเดียว ระหว่างประมาทกับเจตนา แค่นั้น ที่สืบมาทั้งหมด โดยยืนยันหลักการที่ว่า แม้คดีนี้ไม่มีพยานเห็นเหตุการณ์ แต่ศาลก็รับฟังหลักฐานอื่นๆ ประกอบ เชื่อได้ว่า เพราะมีพยานบุคคลที่เห็นใกล้ชิดขณะช่วงเกิดเหตุว่าจำเลยที่หนึ่งไม่ควรอยู่ ก็ไปอยู่ ณ ตรงนั้น ซึ่งห้วงเวลาดังกล่าวจำเลยที่หนึ่งต้องขึ้นเขาไปแล้ว ส่วนพิรุธจำเลยเอง เข้าใจว่าจุดเริ่มต้นคดีนี้ คือจำเลยให้การต่อพนักงานสืบสวน เขามีคำถามง่ายๆ ถามทุกคนว่ารู้ได้ยังไงว่าน้องชมพู่หาย รู้เมื่อไหร่ ตอนนั้นอยู่กับใคร คำถามง่ายๆ ที่คนธรรมดาก็ตอบธรรมดาว่าอยู่ตรงนั้นตรงนี้ อยู่กับใคร แต่จำเลยที่หนึ่งตอบว่ารู้ว่าน้องชมพู่หาย ขณะขับรถขึ้นไปรับพระ รู้โดยป้าแต๋นโทรศัพท์มาบอก โทรศัพท์มีเครื่องเดียว และขณะนั้นก็มีเครื่องเดียวด้วย เป็นคำถามง่ายๆ คนอื่นตอบผ่านหมด แต่มีปัญหาตรงนี้ ชุดสืบสวนเขาก็ไปสอบ ปรากฎว่าบ้านหลังดังกล่าวมี 4 คน มีพ่อแม่ลูกสองคน โทรศัพท์มีเครื่องเดียว สองซิม ตร.ก็เข้าใจว่าน่าจะเริ่มจากจุดนั้นว่าเอาโทรศัพท์ที่ไหนรับ

ถ้าป้าแต๋นโทรไป โทรศัพท์ก็ต้องอยู่กับป้าแต๋น ลุงพลก็ต้องไม่มีโทรศัพท์ หรือโทรศัพท์อยู่กับลุงพล ป้าแต๋นก็ต้องไม่มีโทรศัพท์?
พิสิษฐ์ : ถูกต้องครับ ทีนี้เขาก็ตามขึ้นไปบนเขาอีก เจอพระสองรูป คือครูบาบุญมา กับพระสุรัตน์ ทางชุดสืบสวนก็ไปสอบถามดู ปรากฏว่ามีการถามไถ่ว่าทำไมมาช้า ทางจำเลยที่หนึ่งก็ตอบว่าเกือบไม่ได้มาเพราะหลานหาย

แล้วรู้ได้ไงว่าหลานหาย?
พิสิษฐ์ : ถูกต้องครับ ในห้วงเวลาที่น้องหาย ก็มีคนเห็นจำเลยที่หนึ่ง ลักษณะเดินมาทางสวนยาง เข้าบ้านตัวเอง ซึ่งเส้นทางนั้นสามารถเดินเข้าไปบ้านน้องชมพู่ได้ ก็มีคนเห็น 2 ปาก นอกจากนี้มีพิธีกรดังคนนึง นักร้องดังคนนึงให้ความเห็นสอดคล้องต้องกันว่าเรื่องโทรศัพท์ และเรื่องที่จำเลยที่หนึ่งพบน้องในเช้าวันนั้นก็ลักษณะประมาณนั้น พยานทุกปากสอดคล้องกัน มุ่งชี้ไปทางนั้นหมดเลย

ลุงมีปัญหากับพ่อแบม จะมีไปบอกให้เขาเปลี่ยนเวลา?
พิสิษฐ์ : ใช่ครับ พ่อแบมยืนยันว่าวันที่ 11 พ.ค.63 ช่วงเก้าโมงเศษ เห็นจำเลยอยู่ตรงนั้น แล้วเหมือนจำเลยที่หนึ่งไม่พอใจ ไปตำหนิอะไรสักอย่าง บอกให้พ่อแบมเปลี่ยนเวลา มันเยอะ แม้ไม่มีประจักษ์พยาน แต่พยานทุกอย่างสอดคล้องต้องกัน

สุดท้ายแล้วตร.ไปพบเส้นผมน้องชมพู่ตกอยู่ใกล้ศพหลายเส้น จากนั้นไปเจอเส้นผมอยู่ในรถลุงพลเองส่วนนึง ปรากฏว่ามีอยู่เส้นนึงตรงกับรอยตัด รอยต่างๆ นานา ตรงกับผมที่อยู่บนเขา?
พิสิษฐ์ : นี่คือสาเหตุที่ศาลเชื่อว่าเส้นผมแบบนี้ ถ้าไม่มีรอยตัดรอยเฉือนองศาแบบนี้ มันจะมาตกในรถจำเลยที่หนึ่งได้ยังไง ศาลท่านวินิจฉัยค่อนข้างละเอียด

มีการแย้งออกมาด้วย?
พิสิษฐ์ : แย้งคือท่านผู้พิพากษา หัวหน้าศาล และท่านอธิบดีภาค 4 ท่านไม่ใช่องค์คณะในการสืบ

ถ้าองค์คณะจะนั่งอยู่บนบัลลังก์แล้วถามฝั่งจำเลย ฝั่งโจทก์ มีหลักฐานอะไรก็ยื่นให้องค์คณะดู แต่สองท่านนี้ไม่ได้อยู่ตรงนั้นด้วย?
พิสิษฐ์ : สาเหตุที่ทำเป็นแบบนั้น เพราะกฎหมายออกมาเป็นการตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจซึ่งกันและกัน แต่ไม่มีผลในการเปลี่ยนแปลงคำวินิจฉัยและคำพิพากษาของศาลชั้นต้น มีแต่เพียงว่าจากประสบการณ์ความรู้ความสามารถของท่าน ท่านก็มีมุมมองแบบนี้ๆ นะ อย่าลืมว่าทุกอย่างเป็นดุลยพินิจของท่านพิพากษาแต่ละท่าน แต่ผู้พิพากษาซึ่งเป็นเจ้าของสำนวนเองมีการสืบพยานตั้งแต่ต้น การสืบพยานจะเห็นอากัปกิริยา และพยานปากที่เห็นมา เห็นด้วยประจักษ์พยานของตนเอง ในการสืบพยาน

ตอนนี้มีแต่คนส่งกำลังใจให้แม่ แตกต่างจากครั้งนั้นมาก?
สาวิตรี : ค่ะ ถึงขั้นตอนพักรอเข้ารายการ จะมีคลิปที่นักข่าวลงตอนเหตุการณ์เมื่อวาน เสร็จจากศาลแล้ว มีภาพแห่งความปิติ มีชาวบ้านมาดีใจกับเรา มีคนๆ นึงไปคอมเมนต์ในคลิปนั้น ใช้คำหยาบว่าเขาเกลียดเรา ทัวร์ก็ลงเขาเลย

มีคนนึงถามว่าทำไมตอนลูกหายขึ้นเขาไป ทำไมพ่อกับแม่ถึงไม่ขึ้นตามหาดู ทำไมถึงให้ลุงพลหา เพราะอะไร วันนั้นเขาหา เจ้าหน้าที่พ่อแม่รวมกัน 200 กว่าคน ตระเวนหากันทุกตาราง ลุงขึ้นไปดูข้างบน แม่ก็ไปอีกจุด?
อนามัย : เราไม่ได้ถ่ายคลิปตลอด เราหาอย่างเดียว

แล้วคุณรู้ได้ไงว่าเขาไม่ได้หา คุณไปมโนเอาเอง?
สาวิตรี : ตอนนั้นนักข่าวที่มาทำข่าว ถ้าจำไม่ผิด นักข่าวจะถามว่าสงสัยใครมั้ย แต่ไม่มีนักข่าวถามว่าเราไปหาน้องตรงไหน มันเป็นเพราะตรงนี้หรือเปล่าคนถึงมาโจมตีเราว่าเราไม่ได้หา

อย่างคนถามว่ารู้ได้ไงว่าลุงพลผิด คุณก็ต้องดูทีวี ถ้าลำบากมากนั่งเคี้ยวหญ้าคุณจะได้รู้ ไม่รู้จะพูดยังไง พี่ทนายมองยังไง เรื่องที่เขาโดนด่า?
พิสิษฐ์ : ถ้าทุกคนได้เห็นพยานหลักฐานเอกสารต่างๆ ในสำนวน ทุกคนจะเปลี่ยนมุมมอง แต่ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทางตร.ที่ทำงานมาไม่เคยกล่าวถึงเรื่องนี้ แม้กระทั่งพนักงานอัยการ เพราะไม่ใช่หน้าที่ของท่านที่ต้องมาเปิดเผยรายละเอียดต่างๆ ในสำนวน ท่านก็ทำหน้าที่ของท่านไป แต่คดีนี้เราต่างรู้ว่ามันยาก แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ทิ้งร่องรอยเอาเสียเลย ขอเป็นตัวแทนพ่อแม่น้อง ขอขอบพระคุณสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานส่วนกลาง และสำนักงานอัยการ โดยเฉพาะท่านเกษมทรัพย์ และท่านอนันตศักดิ์ ถ้ากล่าวผิดก็ขออภัย ท่านเป็นพนักงานอัยการจังหวัดมุกดาหาร เขาทำงานหนักมากและด้วยความละเอียดมาก สืบทุกอย่าง เอาทุกอย่างที่มีประโยชน์ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติช่วยกันค้นหาความจริง เอาพยานหลักฐานมาจนสู่บทสรุปเมื่อวานนี้ ซึ่งคำวินิจฉัยของศาลผมถือว่าเป็นการคืนความถูกต้องความชอบธรรมให้น้อง และคืนสิทธิ์อันถูกต้องให้พ่อแม่น้องครับ

ป้าถอน เสียใจมั้ย?
ป้าถอน : เสียใจ เวลาไปไหนก็ไปด้วยกัน เขาสาบานทุกวัดว่าเขาไม่ได้ทำใส่น้อง (เสียงสั่น) ที่พวกหนูไปด้วยนะ แล้วก็ท้าสาบานวัดพระแก้ว หนูก็บอกว่าไม่จำเป็นต้องมาวัดพระแก้วก็ได้ วัดเราเองก็ศักดิ์สิทธิ์ อยู่กับเขาเกือบทุกครั้งตอนเขาสาบาน และเอาหัวประกัน ตอนนี้หัวไม่อยู่แล้ว (หัวเราะ)

ป้าถอนกลับลำยังไง?
ป้าถอน : ตอนนั้นตอนขึ้นเวทีจินตหรา เขาก็ดัง มีคนเข้าไปอยู่กับเขาเยอะๆ เวลาเราบอกอะไรเขาก็ไม่เชื่อ ไม่อะไร เราก็แล้วไป เราได้แค่เตือน ทีนี้คนเข้ามาเยอะ พวกเอฟซีก็ว่าหนู เวลาไปสร้างวัดภูหลวงก็ให้หนูไปถ่ายให้ดู พอหนูไปก็ด่าหนู ยูทูบเขาด่าด้วย ก็ไม่เป็นไร เราไม่ไปก็ได้ เราเสียใจ แต่ไม่เป็นไร เรามีไร่นาทำอยู่ เราอยู่ได้

ลุงพลเชื่อเรื่องไสยศาสตร์มากมั้ย?
ป้าถอน : อันนี้หนูไม่รู้ แต่ที่ไปตามหาหมอผีหมอธรรม หาโจรที่ฆ่าน้องชมพู่ เพราะหนูเชื่อทางไสยศาสตร์ หนูไปหาหมอผี

สามข่าวที่เป็นข่าวข้ามปี ประชาชนต้องการทราบความจริงว่าคืออะไร ข่าวนึงคือข่าวลุงพล-น้องชมพู่ อีกข่าวคือหวย 30 ล้าน ครูปรีชา และข่าวคุณแตงโมตกเรือ แต่ถามว่าข่าวไหนที่มีตัวละครกราฟชีวิตพุ่งกระฉูดก็มีคดีนี้แหละ เพราะลุงพลกราฟชีวิตพุ่งสูงจริงๆ จากชาวบ้านปกติทั่วไป ทำมาหากิน ทำไร่ทำสวนกรีดยาง วันนึงได้เป็นเซเลบ เข้าสู่วงการบันเทิง มีเพลง ออกมิวสิกวิดีโอ เดินแบบ มีผู้จัดการส่วนตัว มีเงิน มีเอฟซี มีคนบริจาคเงินเข้ามาสร้างพญานาค ก็เป็นชีวิตที่เต็มกราฟเหมือนกัน แต่คนมีขึ้นมีลง อยู่กับสิ่งที่ทำเอาไว้ ส่วนมุมต่อไป ถ้าศาลอุทธรณ์พิพากษากลับก็ว่ากันไป หรือศาลอุทธรณ์ยืน ถ้ายืนแล้วจะไปถึงฎีกาจะยากขึ้นหรือเปล่า ก็ต้องไปดูเหมือนกัน ฝั่งลุงพลเขาจะอุทธรณ์สู้สวนมั้ย?
พิสิษฐ์ : โดยหลักจำเลยที่หนึ่งเขาก็สู้อยู่แล้ว สู้มาตลอด สู้สองสามประเด็นด้วยกัน หนึ่งไม่มีประจักษ์พยาน ไม่มีดีเอ็นเอที่บ่งชี้ได้ว่า ดีเอ็นเอน้องมาอยู่ที่ตัว สามการค้นไม่ชอบ ซึ่งก็ผ่านการพิสูจน์มาในชั้นศาลเรียบร้อยแล้ว ที่บอกว่าการค้นมิชอบ มิชอบอย่างไร ขณะที่มีการค้นก็มีการขออนุญาตกัน เรื่องค้นมิชอบก็คงจบไป ส่วนเรื่องไม่มีประจักษ์พยาน โจทก์เขาไม่ได้นำสืบว่ามีประจักษ์พยาน เขาก็พูดแต่แรกว่าไม่มีประจักษ์พยาน แต่เขามีหลักฐานนำสืบ 1 2 3 4 5 เป็นจิ๊กซอว์ต่อจนสุดท้ายคือพยานนิติวิทยาศาสตร์ แต่ทางเรามองต่างกันเล็กน้อย ศาลมองว่าจำเลยที่หนึ่งพาน้องชมพู่ไป พรากไป แล้วทำให้น้องเสียชีวิตเพราะความประมาทเลินเล่อ แต่เรามองว่าไม่ใช่ เรามองว่าจำเลยที่หนึ่งมีเจตนาทำให้น้องชมพู่ตาย ซึ่งโจทก์ร่วมก็ต้องอุทธรณ์ประเด็นนี้

เรื่องป้าแต๋นจะอุทธรณ์มั้ย เพราะศาลยก?
พิสิษฐ์ : เรื่องนี้ขออนุญาตปรึกษาโจทก์ร่วมทั้งสองก่อนว่าจะเอายังไง อยู่ในขั้นตอนตัดสินใจ แต่ลุงพลเรื่องเจตนาอุทธรณ์แน่ เพราะแนวทางในการนำสืบของโจทก์ และโจทก์ร่วม การรับฟังพยานหลักฐานของศาล มาแนวทางเดียวกัน แตกต่างกันนิดเดียวคือตายเพราะประมาท หรือตายโดยเจตนา แค่นั้นเอง

โทษต่างกันมั้ย?
พิสิษฐ์ : ต่างกันครับ โทษประมาททำให้ตาย ต่ำกว่าอยู่แล้ว ถ้าเจตนาฆ่า มันคุกตลอดชีวิตถึงประหารชีวิต ซึ่งจากพยานหลักฐานทุกอย่างที่เราจะนำเสนอ เราคิดว่าเรามีเพียงพอครับ เราสวนมุมนี้แน่นอน เราอุทธรณ์ปกติครับ

คดีน้องชมพู่ถือว่าเป็นคดีที่ยากมั้ย?
: ยาก แต่ก็ไม่ต่างจากคดีอื่นๆ ทุกคดี จะมีความยากง่ายแตกต่างกันไป

ระยะเวลาในการเก็บหลักฐาน พยานต่างๆ นานา คดีนี้ถือว่าใช้เวลาเป็นปี?
พ.ต.อ.เผด็จ : ครับ ใช้เวลาค่อนข้างนาน จริงๆ วัตถุพยานก็เก็บไว้ตั้งแต่ช่วงต้น แต่กระบวนการตรวจพิสูจน์เราทำหลายขั้นตอน พิสูจน์ตั้งแต่ดีเอ็นเอพิสูจน์ตัวบุคคลได้ พอไม่ได้ก็มาดูดีเอ็นเอสายมารดา ก็ระบุได้เป็นกลุ่มที่มีสายแม่เดียวกัน ไม่ได้อีก ก็มาดูร่อยรอยที่มีเอกลักษณ์พิสูจน์แล้วตรงกัน ยังมีการตรวจพิสูจน์ รวมถึงการขอความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญหลายๆ ด้าน มันเลยต้องใช้เวลาค่อนข้างนาน

ต้องดูที่มาที่ไปเส้นผม ดีเอ็นเอที่ตกอยู่ ต้องใช้เครื่องมือพิเศษ ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ เรื่องพยาน ไม่มีคนเห็นว่าลุงพาเด็กขึ้นไป แล้วตร.ตั้งข้อหาตรงนี้ยังไง?
พ.ต.อ.เผด็จ : ก่อนอื่นเราเริ่มต้นจากถามทุกคนทั้งหมู่บ้าน มีอยู่ 230 คน ข้อดีของหมู่บ้านที่ไม่ใหญ่ คือ 96 หลังคาเรือน เขาก็จะรู้ว่าใครทำอะไรที่ไหนตอนนั้น แต่นายไชย์พลระบุตัวเองไม่ได้ว่า ช่วง 9-10 โมงหายไปไหน ประมาณ 50 นาที ซึ่งตรงกับเวลาที่เรารู้ว่าน้องหายไป สิ่งที่เขาอ้างคือเขาไปรับพระ แต่เวลาขับรถจากบ้านไปวัด ซึ่งระยะทางแค่ 1 กิโล 4 นาทีก็ถึงแล้ว แต่นี่หายไป 50 นาที ก็ต้องตั้งคำถามว่าแล้วคุณทำอะไร สุดท้ายก็มาได้พยานสองปากว่าเห็นอยู่ในสวนยางทางไปบ้านน้องชมพู่

หนึ่งในนั้นคือพ่อแบม จากนั้นยังไงต่อ?
พ.ต.อ.เผด็จ : มันก็เริ่มเป็นข้อพิรุธแล้ว รวมถึงการให้การของเขา มีหลายอย่างขัดแย้งกับข้อเท็จจริง

พยานเห็นว่าลุงพลอยู่จุดนั้นช่วงเวลากี่โมง?
พ.ต.อ.เผด็จ : 9 โมงเศษ

ลุงพลต้องไปรับพระกี่โมง?
พ.ต.อ.เผด็จ : ไปถึงวัด 10.07 น.

น้องหายไปตอนไหน?
พ.ต.อ.เผด็จ : เราตีไว้ว่าระหว่าง 09.11 – 09.49 น. เราเอากิจกรรมครั้งสุดท้ายของน้องที่ระบุเวลาได้ คือการดูคอมพิวเตอร์ยูทูบตอน 09.11 น. ครั้งสุดท้าย ตอนนั้นยังอยู่ แล้ว 09.49 คือเวลาที่พี่สาวเล่นเฟซบุ๊กแล้วก็วาง หันมาดูน้อง แล้วก็หายไปแล้ว

สะดิ้งเลยไปบอกแม่?
สาวิตรี : ไปตามหาก่อนแล้วไปบ้านป้า แล้วค่อยโทรหาแม่

เราได้เวลามาแล้ว ช่วงเวลานั้น ใครอยู่ตรงไหนมันสำคัญ แต่ฝั่งลุงพล แกตอบไม่ได้?
พ.ต.อ.เผด็จ : ตอบไม่ได้ ตอบแบบกว้างๆ ว่าไปรับพระ อาบน้ำแต่งตัว ขับรถไปรับพระ

ก็ไปเช็กพระเลย พระบอกว่ามาถึงกี่โมง?
พ.ต.อ.เผด็จ : 10.07 น.

ไม่ใช่เวลา 09.11 น. อยู่ดี มีอีกมั้ยที่ไปถามคนอื่นอีก?
พ.ต.อ.เผด็จ : เขาบอกว่าก่อนไปถึงวัดมีการชวนเพื่อนบ้านไปรับพระด้วย แต่พอไปถามจริงๆ เหตุการณ์นั้นคือรับพระมาแล้ว และกำลังจะออกจากหมู่บ้าน แต่กลับเอาเหตุการณ์นี้มาสวมใส่ก่อนไปรับพระ ก็คือพิรุธในการพูดไม่จริงขึ้นมา

นั่นคือพิสูจน์ไทม์ไลน์ เห็นว่าตร.ต้องใช้วิธีเดินนับก้าวจับเวลาไป
พ.ต.อ.เผด็จ : ใช่ครับ เพื่อเราจะได้เวลาที่ใกล้เคียงกับเรื่องจริงมากที่สุด เวลาบางอย่าง คนไม่ได้ดูนาฬิกา ก็ต้องใช้วิธีประมาณ แต่ประมาณให้ใกล้เคียงก็ต้องทำให้เหมือนวันจริงที่สุด

คนเห็นลุงพลตรงจุดนั้นเก้าโมงเศษๆ แต่ลุงพลไปบอกทางพยานว่ากูไม่ได้อยู่เก้าโมงกว่า กูอยู่เจ็ดโมง จริงๆ เขาก็แค่เห็น แต่เขาไม่ได้เห็นว่าอุ้มเด็กขึ้นไป ตรงนี้เราสรุปยังไง?
พ.ต.อ.เผด็จ : ตรงนี้จริงๆ เราเคยสอบปากคำนายไชย์พลไว้แล้ว เขาไม่ได้พูดถึงเหตุการณ์นี้ไว้ มันก็คือการปิดบังความจริง

เรื่องโทรศัพท์สำคัญมั้ย?
พ.ต.อ.เผด็จ : สำคัญ ช่วงแรกๆ เจ้าตัวบอกตร.ว่าทางภรรยาโทรหาแจ้งข่าวว่าน้องหายก่อนไปถึงวัด เขาเลยตอบพระได้ว่าน้องหาย แต่ข้อเท็จจริงคือโทรศัพท์มีอยู่เครื่องเดียว เครื่องก่อนหน้าเขา เขาทำลายไปก่อน จริงๆ เขามีคนละเครื่องแหละ แต่ตอนนั้นลูกน่าจะติดเกมก็เลยทำลายโทรศัพท์ไปหนึ่งเครื่อง เหลือเครื่องเดียว

ไม่จบแค่นั้น มีเรื่องราวการไปตรวจสอบภายในรถ พบอะไรบ้าง?
พ.ต.อ.เผด็จ : เรื่องตรวจสอบรถ จริงๆ ไม่ได้ตรวจสอบแค่รถนายไชย์พลคนเดียว จริงๆ บุคคลต้องสงสัยในคดีก่อนหน้ามาโฟกัสที่นายไชย์พลก็มีหลายคน เราก็พยายามพิสูจน์ทราบทุกคน สุดท้ายทุกคนก็พิสูจน์ทราบจนสิ้นสงสัยว่าไม่ใช่คนร้าย เราก็วางไว้ แต่ของนายไชย์พล ก็เหมือนคนอื่น พอเรามีข้อพิรุธ ก็ขออนุญาตตรวจค้นรถ เขาก็ให้ สำนักข่าวหลายช่องก็ถ่ายทำตอนกำลังค้น ก็มีพยานยืนยันให้ตร. เรื่องนี้เกิดจากคนร้ายน่าจะมีความเชื่อทางไสยศาสตร์ จุดพบศพเจอศพน้อง คนร้ายมีการตัดเส้นผมน้องไปกระจุกนึง เศษจากการตัดก็ตกอยู่ในจุดพบศพบนเขา เราเก็บตรงนี้ได้ประมาณ 50 เส้น เป็นรอยตัดหมดเลย การตัดก็ใช้มีดตัด ก็เป็นการสับ แต่พอเป็นดินครั้งแรกไม่ขาดก็สับครั้งที่สอง สิ่งนี้กลายเป็นเอกลักษณ์ จริงๆ ผมคนหลุดร่วงตามธรรมชาติได้ แต่แตกต่างจากการถูกตัด สิ่งเหล่านี้เรากำลังหาว่าอยู่ที่อื่นมั้ย แล้วมาพบในรถนายไชย์พล

แยกเส้นผมยังไง?
พ.ต.อ.เผด็จ : ตามที่ศาลได้แถลงออกมา จะเห็นว่ามี 16 เส้นอยู่ในรถ ก็ต้องแยกที่หลุดร่วงตามธรรมชาติออก ก็เหลือที่ถูกมีดตัดออก มีรอยตัด เอามาพิสูจน์ ปรากฏว่ามีรอยที่ถูกตัดตรงกัน พูดง่ายๆ ถ้าเส้นผมสองเส้น เส้นนึงอยู่ในรถ เส้นนึงอยู่บนเขา มันเคยอยู่ด้วยกันมาก่อน ถูกตัดในครั้งเดียวกัน ด้วยอาวุธชิ้นเดียวกัน ตรวจสอบจากรอยตัด ถ้าเรียกว่าทูมาร์กก็เรียกได้ จริงๆ ก็คือเครื่องจุลทรรศน์กำลังสูง

จนได้ภาพเส้นผมทั้งจากบนภูเขาและในรถลุงพล เอาไปตรวจสอบ เป็นเส้นเดียวกันมั้ย?
พ.ต.อ.เผด็จ : ไม่ใช่เส้นเดียวกัน แต่เป็นเส้นที่อยู่ใกล้กัน รอยตัดเหมือนกัน

คนละเส้น แต่ตร.พิสูจน์จากสภาพของผม และร่องรอยการตัด รวมถึงวัตถุในการสับว่าเหมือนกันมั้ย เพราะการหั่น สับ มันจะทิ้งร่องรอยไม่เหมือนกัน แต่บังเอิญอันนี้มันเหมือนกัน ตร.เลยเชื่อว่าเส้นผมที่เจอในรถคือหนึ่งในเส้นที่ถูกตัดบนเขาแล้วมาตกอยู่บนรถ?
พ.ต.อ.เผด็จ : ตอนเก็บได้บนเขาก็มากับดิน ก็มากรองเหลืออยู่สัก 40-50 เส้น ตัดบนพื้นดินครั้งแรกตัดไม่ขาดก็เป็นรอยข้างล่าง ครั้งที่สองก็เลยตัดอีกรอบนึงแล้วก็ขาด ฉะนั้นเส้นผมหลายเส้นก็จะพบสองรอย ซึ่งในรถนายไชย์พลก็มีสองรอยเหมือนกัน

นี่คือหลักฐานสำคัญเพราะมันเหมือนกัน?
พ.ต.อ.เผด็จ : มันก็พิสูจน์ได้ว่าคนร้ายที่ตัดผมน้องไปกับนายไชย์พลคือคนเดียวกัน จุดนั้นถ้าไม่มีใครขึ้นไป เว้นแต่หลังวันที่ 14 ที่มีการพบศพ ก่อนหน้านั้นไม่มีใครเจอ นายไชย์พลก็ไม่เคยบอกว่าเคยเจอก่อนหน้านั้น แล้วเส้นผมมาอยู่ในรถของเขาได้ยังไง มันก็เป็นคำตอบเดียวก็คือเขานั่นแหละคือคนร้าย

เรื่องทางเดินขึ้นเขา บางคนบอกว่ามีทางบางทางสามารถขึ้นได้ แต่นักข่าวตร.ไม่รู้ น้องชมพู่อาจเดินขึ้นทางนั้น ท่านรองมองยังไง?
พ.ต.อ.เผด็จ : จริงๆ ผมก็พิสูจน์ทราบเรื่องนั้น ผมเดินทั้งหมด 4 เส้นทางที่จะไปถึงจุดพบศพน้องได้ เขาแบ่งประมาณ 6 ชั้น มีเส้นทางที่ง่ายกว่าทางลัดตรงเลยมั้ย มี แต่อ้อมและไกลกว่ามาก รวมถึงชั้นที่ 5-6 ก่อนไปพบศพ ไม่ว่ายังไงก็ตาม เด็กจะผ่านจุดนี้ไม่ได้แน่นอน ถ้าอ้อมไปทางที่ง่ายสุดท้ายก็มาผ่านจุดนี้ ซึ่งไม่ได้อยู่แล้ว เปรียบเหมือนน้องถูกขังในห้องเปิดตามธรรมชาติ ขึ้นก็ไม่ได้ ลงก็ไม่ได้ ร้องให้คนช่วยก็ไม่มีใครได้ยิน น้องไม่สามารถเดินขึ้นไปเองได้แน่ๆ

ของเล่นกับรองเท้า มีส่วนพิสูจน์ด้วยมั้ย?
พ.ต.อ.เผด็จ : มีส่วนในการช่วยตั้งข้อสันนิษฐานและวิเคราะห์พอสมควร เพราะของพวกนี้ต่อให้น้องไม่ยินยอมไป ก็ไม่ควรติดไป หรือน้องเดินไปเองก็ควรทิ้งของพวกนี้ไปตั้งแต่ต้น เพราะมันเป็นภาระในการขึ้นเขา มันก็บอกได้ว่าหนึ่งมีคนอุ้มน้องไป สองน้องยอมไปด้วย เรื่องตามหมาขึ้นไปไม่มีทาง มีหลายอย่างที่เราไม่ได้พูดออกมา แต่อยู่ในสำนวนการสืบสวน หลักฐานทุกชิ้นเยอะมาก และมันสอดคล้องกันหมด ไม่มีหลักฐานไหนแยกออกมา

อันนี้เจออะไร?
พ.ต.อ.เผด็จ : เป็นพยานหลักฐานชิ้นหนึ่งแต่ชิ้นนี้เหมือนเป็นสมมติฐานว่าน้องชอบกินนมเปรี้ยว ตกอยู่ในสวนยาง จะเป็นของน้องได้มั้ย ตอนนั้นทุกคนพยายามรวบรวมอะไรที่น่าสนใจหมด บางอย่างก็เป็นประโยชน์ แต่บางอย่างก็ไม่ได้ใช้

ถ้าผูกเรื่องเข้าด้วยกัน ตร.มองว่าจุดเริ่มต้นของมัน เริ่มจากตรงไหน ทำไมเขาถึงต้องพาน้องไปข้างบน?
พ.ต.อ.เผด็จ : จริงๆ เรื่องนี้จะว่าเป็นน้ำผึ้งหยดเดียวก็ว่าได้ เริ่มต้นนายไชย์พลมีนัดไปส่งพระต่างอำเภอ เลยเชื่อว่ามีเจตนาดีเพื่อมารับน้องไปเที่ยวด้วยกัน แล้วเกิดเหตุไม่คาดฝัน น้องอาจงอแง สุดท้ายถูกทิ้งไว้ในชายป่า เขาไปส่งพระกลับมา คนตามหาเต็มไปหมดเลย สิ่งที่เขาเห็นและอุทานออกมาครั้งแรกคือทำไมแม่น้องชมพู่ต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่ด้วย ทำไมต้องเรียกคนมาช่วยหาเยอะแยะ ทุกคนก็ช่วยหา แต่ช่วงบ่ายที่เขากลับมา เขาหายไปอีกแล้ว 2 ชม. เวลาหาเด็กทุกคนก็ไปเป็นกลุ่ม อย่างน้อยก็ 2 คนกันหลงป่า ตอนนั้นทุกคนคิดว่าเด็กหลง ช่วงประมาณบ่ายสอง บ่ายสาม ตัวเขาหายไปตั้งแต่บ่ายสองถึงสี่โมงเย็น ก็มีพยานเห็นอีกว่าตอนสี่โมงเย็น ลงมาจากเขาคนเดียว มันก็ไม่สมเหตุสมผลว่าทำไมเขาถึงหายไปคนเดียวในเวลา 2 ชม.

ตร.สันนิษฐานว่ายังไง?
พ.ต.อ.เผด็จ : เราเชื่อว่าในช่วงบ่ายเป็นช่วงที่เขาเอาน้องขึ้นไปทิ้งไว้บนเขา เราเชื่อว่าไม่ว่าจะเป็นอากัปกิริยาไหน ก็เชื่อว่าเขารู้ว่าน้องมีชีวิตอยู่ ถ้าเขาเอากลับมาหาพ่อแม่ก็จบ แต่เขาเลือกไม่อยากให้ใครรู้ว่าเขาทำอะไรผิดไปแล้ว

แรงจูงใจคืออะไร?
พ.ต.อ.เผด็จ : อย่างที่บอกคือชวนไปเที่ยว แต่เหมือนเคสผู้ใหญ่กระทำกับเด็กหลายเคส เด็กอ่อนประมาณ 3 ขวบ เวลางอแงจะมีผู้ใหญ่คุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ หงุดหงิด ไม่สามารถจัดการให้เด็กหยุดร้องได้ ตัวเองก็ไม่สามารถจัดการอารมณ์ตัวเองได้ ตัวเองอาจเป็นคนหงุดหงิดง่าย ใจร้อน เลยเผลอกระทำกับเด็กไป พอพลาดไปแล้วเหมือนวิธีการแก้ปัญหาของเขาจากเรื่องเล็ก จะแก้ด้วยการเอามาคืน ก็เอาไปหลบไม่ให้ใครรู้ซะอย่างนั้น

เหตุที่เสียชีวิตคือขาดน้ำขาดอาหาร ไม่มีร่องรอยบาดแผลถูกทำร้าย?
พ.ต.อ.เผด็จ : ร่องรอยบาดแผลยืนยันไม่ได้ เพราะบางส่วนเน่า โดยเฉพาะช่วงปากและลำคอ

ลุงพลบอกเขาก็ไม่ได้รับความเป็นธรรมเหมือนกัน มองยังไง?
พ.ต.อ.เผด็จ : จริงๆ เราไม่ได้โฟกัสหรือเริ่มต้นว่าเป็นเขา เราไม่ได้มีธงว่าเขาเป็นคนร้ายแน่นอน แต่เคสนี้มีคนร้าย เราก็เดินตามพยานหลักฐานเท่านั้นเอง พยานหลักฐานนำไปสู่เขา สิ่งที่เขาสู้ จริงๆ เราสู้ในชั้นพิจารณามาทั้งสามประเด็นแล้ว ผมก็ตอบไปให้ศาลท่านได้เข้าใจในมุมของเจ้าหน้าที่ ท่านก็พิพากษาตามนี้

มุมจำเลยต่อสู้มา ตอบศาลหมดแล้ว มันไม่จำเป็นต้องมาพูดเรื่องนี้อีก เป็นไปได้มั้ย มีคนเอาเส้นผมบนเขาไปใส่ในรถลุงพล?
พ.ต.อ.เผด็จ : วันนั้นมีนักข่าวหลายสำนักตั้งกล้องเลย ตั้งกล้องดูเจ้าหน้าที่ตร.ค้นรถ ถ้าดูภาพตอนค้นจะเห็นว่าเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานใส่ชุดคล้ายๆ ชุดป้องกันโควิดที่ปกป้องการปนเปื้อน ดังนั้นเรื่องจะมีผมจากภายนอกเข้าไปอยู่ในรถ ณ ขณะค้นคงเป็นไปไม่ได้

ปู่ฟังเรื่องราวทั้งหมดแล้วรู้สึกยังไง?
ปู่มหามุนี : ผมว่าสมเหตุสมผลอยู่ครับ ผมเป็นคนเดียวที่นายไชย์พลไม่กล้าต่อกร เพราะผมเป็นคนเดียวที่เข้าไประงับเหตุ ผมต้องสืบให้ได้ทุกอย่าง

ปู่ไปสืบอะไร?
ปู่มหามุนี : เรื่องโลกออนไลน์ เรื่องข้อพิพาทเยอะ มีการโจมตีแม่ว่าทำไมไม่ร้องไห้ มาถึงแต่งชุดขาวรับซอง รับข้าวสาร ตรงนี้มันเยอะมาก ซึ่งตลอดระยะเวลา 3 ปี ผมอยู่ตรงนี้ตลอด

ปู่เคยด่าแม่มั้ย?
ปู่มหามุนี : ด่าครับ ตำหนิ เรียกว่าสำคัญผิดครับ ผมก็มานั่งคิดดูว่าสาเหตุอะไร ก็เป็นกลยุทธ์ในการใช้คำพูดกระแทกดูว่าเขาจะมีปฏิกิริยาหรือไม่ ในโลกโซเชียลไม่มีใครรู้ว่าละเอียดอ่อนแค่ไหน เหมือนการทำงานของเจ้าหน้าที่ ที่ทำงานละเอียดมาก โลกออนไลน์บางอย่างแสดงเป็นคอนเทนต์ไม่รู้เลย แต่สิ่งหนึ่งที่ผมอยากรู้ ทุกวันนี้ผมสงสัยมาก ผมแนะนำลุงพลป้าแต๋นให้เปิดผลิตภัณฑ์อีกสักอย่าง ขายดีแน่นอน ปลูกหญ้าครับ มันสามารถเอาไว้แจกเอฟซีที่ไม่ยอมฟังเหตุและผลเลย ให้เขาเคี้ยวไปด้วยดูไปด้วย เหมือนกินป๊อบคอร์น

เมื่อวานทำไมไปอาละวาด?
ปู่มหามุนี : ผมเตรียมไว้ก่อนแล้ว ถ้าผมไปเขาต้องมาหาเราแน่นอน ประสบการณ์ตรงนี้เราแน่นอยู่แล้ว แม้แต่พยานทุกคนเราก็ไปอยู่ที่บ้านเขาหมด ที่สำคัญยูทูบเบอร์มีวิธีการหาเงินกันยังไง ตรงนี้ทำให้ผมอยู่ไม่ได้ ผมไปขัดขวางเขา ไปตัดท่อน้ำเลี้ยงเขา ตอนนั้นผมเต็งหนึ่งเลย เอฟซีทุกคนต้องติดต่อผ่านผม แต่ผมไม่เคยคุย เป็นเบอร์หนึ่ง พี่หมอปลาเป็นคนแรกที่ให้ข้อมูลผมมา บอกว่าบ๊ายบายแล้วเธอ (หัวเราะ) ผมก็เลยบอกว่าผมขอข้อมูลหน่อย พี่น้ำฟ้าก็เลยให้ข้อมูลมา ผมก็ยังบอกลุงพลป้าแต๋นว่าผมมาจากพี่หมอปลา ขอถามคำเดียวว่าจริงหรือไม่จริง เขาก็ยอมรับว่าจริง เช่นกระโดดเตะ อารมณ์รุนแรง พูดง่ายๆ ถ้าไม่พอใจ เช่น ขยับกริ๊กๆ เรียบร้อยเลย (หัวเราะ) ผมก็เลยออกมาอธิบายว่าลุงครับ เรื่องพฤติกรรมออกโซเชียลผมไม่ห้าม เต็มที่เลย แต่ขออย่างเดียวว่าสังคมจะมองไม่ดี อะไรที่ไม่ควรพูดก็อย่าพูดเลย เขาชอบพูดประเด็นการเงินที่เขามีการโต้กันในโลกโซเชียล ผมก็บอกว่าตอนเช้าลุงหน้าเศร้าคุยสุขุมดีมาก พอตกสายลุงป้าแต๋นออกไปใช้เงิน พอตอนเย็นมาหน้าเศร้า ต้องใช้เงินเยอะครับอย่างนั้นอย่างนี้ พูดง่ายๆ วัตถุประสงค์ของลุงป้าผมเข้าใจนะว่าต้องใช้ทรัพย์ในการดูคดี แต่ค่ารถ ค่าบ้าน ค่าสร้าง ค่าโรงเรียน ค่าโทรศัพท์ ค่ากิน ค่าโรงแรม เอฟซีออกหมดเลย ผมก็เลยงง ถ้าเราทำผลิตภัณฑ์ขึ้นมาปลูกหญ้าขายให้เอฟซีดีกว่ามั้ย

เมื่อวานคุณเอาพวงหรีดให้ไปให้เขา?
ปุ่มหามุนี : ถ้าพูดว่าพวงหรีดมันจะดูไม่เหมาะ ผมก็เลยเรียกว่าดอกไม้จิงเกอเบล ต่างประเทศเขาชอบ (หัวเราะ) เขานิยมแบบนี้

นี่มันพวงหรีด?
ปู่มหามุนี : คนไทยเราบอกพวงหรีด แต่ถ้าพวงหรีดจะใช้คำว่าไว้อาลัย หรืออาลัยรัก แต่นี่เขียนให้กำลังใจ มันถูกกฎหมาย ส่วนคนมาขัดขวางคิดว่าเขาอยากเอาหน้าหรือเปล่า เขาเคยตกเป็นแพะมั้ง ที่เขาเคยบอก เขาเคยมีปัญหากับแม่น้อง

พี่แว่นดำคือพี่พรเทพ อยู่ในสาย มีปัญหาอะไรกับปู่มุนี?
พรเทพ : โอ้โห จะถูกต้องที่ไหน เอาพวงหรีดไปให้ใครไม่รู้ ไปยืนอยู่ข้างนั้น มันไม่ถูกต้อง ผมเดินไปดูเห็นนักข่าวสัมภาษณ์ ผมก็เดินไปดู เขามองหน้าผมแบบไม่พอใจ ผมไม่รู้จุดประสงค์เขาคืออะไร ก็ถามว่าเขาทำแบบนี้เพื่ออะไร

ปู่มหามุนี : จริงๆ ผมไม่ได้มองหน้าอะไรเขาเลย คนที่ผมมองคือคุณนที เป็นมือขวาของลุงพล แต่นี่คือแมงวันหรือเปล่า ใส่แว่นคิดว่าบินมา

พรเทพ : ผมก็คิดว่าเขาเป็นขี้ไงครับ ผมถึงจะไปตอมเขา

เขาบอกบินมาหาขี้?
ปู่มหามุนี : ก็ความหิวไงครับ

พรเทพ : ผมเห็นเขาด่าลุงพลป้าแต๋นก็รับไม่ได้ ไปด้อยค่าเขา

ปู่มหามุนี : ได้แจ้งความหรือยัง

พรเทพ : คุณไม่ได้ทำอะไรผมจะไปแจ้งความทำไม

ปู่มหามุนี : ปกติถ้าผมรู้สึกว่าทำผิดอะไร ตามกฎหมายบ้านเมืองต้องแจ้งความ ไม่ใช่อยู่ดีๆ มาชิงป้าย

พรเทพ : ใครดึงป้าย

ปุ่มหามุนี : ผมไม่ได้พูดถึงคุณ

พรเทพ : แต่ผมพูดอยู่กับคุณ คุณหาว่าผมไปดึงป้ายคุณ

ปู่มหามุนี : ตอนดึงป้ายคุณอยู่ตรงนั้นมั้ย ไปดูคลิปสิครับ

พรเทพ : ผมเห็นพวงหรีด

ปู่มหามุนี : อยากได้เหรอ

พรเทพ : มันไม่สมควร คุณคนเดียวที่นอกคอก จุดประสงค์คุณคืออะไร

พี่เป็นแฟนคลับลุงพล?
พรเทพ : ใช่ ลุงพลตอนนี้ก็สบายดี ไม่เห็นมีอะไรครับ

ลุงพลจะต่อสู้คดีเรื่องอุทธรณ์?
พรเทพ : เราก็ให้กำลังใจ เพราะมันยังไม่จบสิ้น

ล่าสุดมีผูกข้อไม้ข้อมือ?
พรเทพ : ผมก็ไป ผมให้กำลังใจธรรมดา คนเรามนุษย์ด้วยกัน เขาผิดหรือไม่ผิด มีอีกสองศาล

พี่พรเทพยังมั่นใจตัวลุงพล?
พรเทพ : ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของศาลดีกว่า เราไม่ก้าวก่ายตรงนั้น แต่เราเป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เราก็ให้กำลังใจ เราจะไปซ้ำเติมเขาทั้งฝ่ายผู้สูญเสีย ฝ่ายลุงพล ใครผิดใครถูกเป็นหน้าที่ของศาล

มีอะไรอยากพูดฝั่งพ่อแม่น้องชมพู่?
พรเทพ : ไม่มีครับ

ครั้งนึงเคยต่อว่าต่อขานพ่อแม่น้องชมพู่มั้ย?
พรเทพ : ผมไม่เคยว่าอะไรเขาเลย

ตอนนี้แฟนคลับลุงพลกี่คนที่ทำยูทูปกันอยู่?
พรเทพ : ผมไม่มีอาชีพทำยูทูปครับ ผมเป็นแฟนคลับเฉยๆ

หนักใจมั้ยเขาจะมีการอุทธรณ์?
พิสิษฐ์ : ไม่หนักใจ การสืบพยานทุกอย่าง ผมมองว่าโจทก์สืบมาดีมาก การสืบนำสอดคล้องต้องกันหมดทุกอย่าง ส่วนจำเลยเองที่สืบ มองว่าหักล้างพยานโจทก์ไม่ได้ ข้อกล่าวอ้างของจำเลยเลื่อนลอย สามารถรับฟังพยานหลักฐานของโจทก์ปราศจากข้อสงสัยได้ว่าจำเลยกระทำความผิด

ฝั่งตร.การนำสำนวนส่งให้อัยการ ตีกลับมาหลายครั้ง?
พ.ต.อ.เผด็จ : ไม่ครับ มีแค่ท่านอัยการได้อ่านสำนวน ตรวจสำนวน ก็จะมีประเด็นให้เสริม สอบปากคำเพิ่ม หาพยานหลักฐานเพิ่มอีกครั้ง

คนในหมู่บ้านเป็นยังไง?
สาวิตรี : เหมือนหันหน้าเข้ามาหากันแล้ว เริ่มสานสัมพันธ์ความเป็นชาวบ้านเหมือนเดิมแล้ว เนื่องจากว่าพญานาคถูกย้ายไป ยูทูบเบอร์ต่างถิ่นใครชื่นชอบทีมนั้นเขาก็ไปกับพญานาคด้วย ทีมที่เหลือด้วยความหมู่บ้านมีคนจำนวนน้อย วันนึงๆ ก็ต้องเจอกัน ก็เหมือนจะกลับมาดีขึ้น เริ่มกลับสู่สภาพเดิม

ป้าถอนยังคุยกับลุงพลอยู่มั้ย?
ป้าถอน : ไม่ได้คุยค่ะ เขาไม่คุยกับเราแล้ว ตั้งแต่เขาดังเขาก็ไปเลย ร้องไห้บ่อยมากกับลุงพล มันหลายอย่าง ทั้งโซเชียลโจมตีเราก็ไม่เคยโอบอ้อมเรา ทั้งที่เราสละเพื่อเขา เรารักใครให้เขาได้เต็มที่ ให้ได้ทุกอย่าง แต่เขาไม่เคยเห็นใจหนูเลย ทั้งที่ลูกหลานหนูก็ดูแล ขนาดข้าวไม่พอกินก็แบ่งกันกิน ไม่เคยคิดเรื่องเงินทองเลย ตอนน้องหายก็ทำนา ตาแบ่งข้าวให้เขา 30 ถุง เขาไม่กล้ามาเอา ก็เอารถไถแบกไปให้ถึงบ้าน ป้าบอกว่าถ้าได้ดีจะไม่ลืมป้าถอน เราก็บอกว่าเราก็ทิ้งกันไม่ได้ วันเกิดเหตุก็ทำกับข้าวเลี้ยงลูกหลาน จนมาถึงวันที่เขาดังแล้ว แต่นิสัยเขาหนูไม่เคยรู้เลย บ้านหนูสายเลือดเดียวกันทั้งหมู่บ้าน เขาไม่เห็นหนูก็ไม่เป็นไร มีพี่น้องอยู่ในหมู่บ้านก็มี

แม่ได้คุยกับป้าแต๋น?
สาวิตรี : คุยวันสุดท้ายคือวันที่เก็บกระดูกน้อง 23 พ.ค. 63

พ่อล่ะ?
อนามัย : ไม่ได้คุย

ทุกวันนี้แม่ทำอะไร?
สาวิตรี : ขายผ้า ทำสวน ปลูกหวายที่ขายยอดค่ะ ก็ติดต่อทางช่องยูทูบแม่น้องชมพู่แฟมิลี่ได้

อนามัย : ช่องผมก็เหมือนกัน พ่อน้องชมพู่แฟมิลี่ เพิ่งเปิดใหม่

ป้าถอนมีมั้ย?
ป้าถอน : มีค่ะ ชื่อป้าถอน บ้านกกกอก เมื่อก่อนไม่มี แต่ถ้าไม่ทำ เขาก็บอกว่าทำแล้วมีรายได้นะ เป็นอาชีพเสริม เขาเข้าไปดูให้นะ ได้บาทสองบาทก็ผสมกันไป

ปู่อยากบอกอะไรแม่เขามั้ย?
ปู่มหามุนี : สิ่งหนึ่งที่อยากจะพูดจากใจ ภูมิใจนะคุณสองคนแกร่งมาก ผมในฐานะพ่อแม่คน ลูกผมก็เหมือนลูกคุณมาก น้องอายุไล่เลี่ย 2 ขวบกว่า หลังน้องเสีย ไม่ถึงหนึ่งปี น้องพลอยก็เกิด ทุกคนก็บอกว่าเหมือนมาก แก่นๆ เหมือนกัน แต่ผมไม่อยากไปพูดหรอก ผมพูดอย่างเดียวว่าขอแสดงความดีใจด้วยที่น้องได้รับความยุติธรรม สิ่งนี้ถือว่าเป็นสิ่งที่พ่อแม่อย่างพวกเราทำได้ และทำได้ดีด้วย ก่อนหน้านั้นมีการไปขอโทษขอโพยหมดแล้ว

พ่อกับแม่โดนมาหนักจริงๆ ลูกเสียชีวิต โดนสังคมโจมตีด่าทอ?
อนามัย : ไม่เคยดูโทรศัพท์ ไม่ตอบโต้

สาวิตรี : ทนจริงๆ ค่ะ ยิ่งบางครั้งเรารู้เกี่ยวกับเรื่องราวคดีน้องน่าจะเป็นยังไง พอมีคนมาสวนความจริงที่เรารู้มามันก็ต้องทนค่ะ

เอาตรงๆ ตร.เรียกผมไปสอบด้วย มีชื่อผมอยู่ในคำให้การศาลด้วย หลายคดีแล้วที่โดนดึงเข้าไป ก็ไม่เป็นไร ลุงพลก็สามารถสู้ได้อีก 2 ศาล ถ้าอุทธรณ์ยืนตามชั้นต้น?
พิสิษฐ์ : ก็ต้องขออนุญาตฎีกา ก็จะเหนื่อยขึ้นไปอีก

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน