หมอสาว แชร์ประสบการณ์ ญาติคนไข้ทำร้ายร่างกาย ฟ้องศาลชนะคดี รับนอยด์จนอยากลาออก แนะผู้ป่วย ถ้าไม่พอใจหมอ สามารถขอเปลี่ยนได้ ไม่ควรใช้ความรุนแรง

เป็นเรื่องราวของ หมอสาวรายหนึ่ง ที่นำมาแชร์ผ่านโลกออนไลน์ หลังถูกญาติคนไข้ทำร้ายร่างกายระหว่างตรวจรักษา ทำให้ได้รับบาดเจ็บ จนหมอตัดสินใจฟ้องร้อง และ ชนะคดีในที่สุด โดยเรื่องราว ระบุว่า

สวัสดีค่ะทุกคน วันนี้เราจะมาแชร์เรื่องของตัวเอง ในฐานะแพทย์สาวท่านหนึ่งที่เพิ่งเริ่มทำงานแล้วประสบเหตุไม่คาดฝันค่ะ เป็นอุทาหรณ์ละกันเนาะ

วันนั้นเป็นวันอาทิตย์ที่ 10 ก.ย.2566 เราเริ่มทำงานจริงจังวันที่ 1 มิ.ย.2566 คือทำงานได้ 3 เดือนนิดๆ ตอนนั้นเราออกตรวจคนไข้ที่เป็นผู้ป่วยนอก (OPD นอกเวลา) ปกติจะเริ่มตรวจ 9.00-16.00 น. ซึ่งตอนนั้นเวลาประมาณบ่ายสามกว่าๆ คนไข้เริ่มซาแล้วค่ะ เหลือแต่เคสที่เราสั่งเจาะเลือดไว้ รอฟังผล

พอดีมีคนไข้มาเพิ่ม เป็นผู้ป่วยหญิงไทย มาด้วย เหนื่อย (อันนี้คือสิ่งที่พี่พยาบาลหน้าห้องซักประวัติมาได้) แล้วจังหวะนั้นคอมพี่พะไฟตกพอดี เลยให้คนไข้เข้ามาในห้องตรวจ พร้อมกับลูกสาวคนไข้ ซึ่งเป็นวัยผู้ใหญ่ตอนต้น (20 ต้นๆ) เข้ามายืนอยู่ข้างๆ กัน

โดยพี่พะแอบมากระซิบเราว่าคนไข้มีอาการทาง psychi นะคะ เราก็โอเครับทราบ เพราะโดยปกติคนไข้จะมีอาการแบบไหน เราก็ทำเหมือนกันนะ ไม่ได้แตกต่าง

เราก็ซักประวัติตามปกติ ในส่วนนี้ต้องออกตัวก่อนว่า โดยปกติเราจะต้องถามชื่อคนไข้เพื่อเป็นการ identify นะคะ บทสนทนาประมาณนี้

เรา : ชื่ออะไรคะ

คนไข้ : …. (ไม่ตอบ)

เรา : เป็นอะไรมานะคะ

คนไข้ : เหนื่อย (พูดแค่นี้สั้นๆ ห้วนๆ ในใจเราก็คิดว่าเอ๊ะ หรือเหนื่อยเยอะเลยพูดได้แค่สั้นๆ แต่ปกติถ้ามารพ.แบบนี้ ห้องฉุกเฉินเค้าจะฟังปอดก่อนว่ามันเสียงผิดปกติมั้ย ถ้าผิดปกติก็เข้าห้องฉุกเฉินไปพ่นยาเลย ไม่มา opd)

เราเลยดูสัญญาณชีพคนไข้ที่ระบุมาในคอม (vital signs) RR 18, HR < 100, SpO2 97% คือดูไม่เหนื่อยจากสัญญาณชีพ และการหายใจดูปกติดี เลยถามต่อก่อน ยังไม่ได้ฟังปอด

เรา : เหนื่อยมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ (อันนี้จะถาม onset)

คนไข้ : ก็เหนื่อยมาตั้งแต่เมื่อเช้า

เรา : โอเคค่ะ ประมาณกี่โมงคะ ตอนนั้นทำอะไรอยู่

คนไข้ : จริงๆ ก็เหนื่อยมาตั้งแต่เมื่อคืนละ

เรา : สรุปเหนื่อยมาตั้งแต่เมื่อคืนนะคะ เล่าเหตุการณ์ให้หมอฟังได้มั้ยตอนที่เริ่มเหนื่อย

คนไข้ : จริงๆ ก็เหนื่อยมาเป็นเดือนละ แต่ไม่ได้มาโรงพยาบาล เพราะกลัวว่ามาแล้วจะมาเจอหมอพูดจาแบบนี้ไง

เรา : งง + ตกใจนิดหน่อย

ญาติ : เออ ฟังมานานละ ม.เป็นใครมาพูดจาแบบนี้กับแม่ก. ก.ยังไม่พูดเหี้xๆ แบบนี้กับแม่ก.เลย

พี่พะ ได้ยินเสียงดังเลยเดินเข้ามา : เกิดอะไรขึ้นคะ

เรา : ไม่มีอะไรค่ะพี่ หนูแค่ถามเค้าว่าเป็นอะไรมา

ญาติ : ไม่ใช่ เมื่อกี้ไม่ได้พูดแบบนี้ นี่ถ้าถ่ายคลิปได้ถ่ายไปละ จะได้ไปแจ้ง รู้จักกับผอ.

พี่พะ : ใจเย็นๆ ก่อนนะคะ

ญาติ : ไม่สนละ ขอสักหน่อยเหอะ อีหมอเหี้x เป็นหมอได้ยังไงวะ … (ประมาณนี้ จำไม่ได้ หูดับ 55555) /แล้วก็เข้ามาดันตัวพี่พะออกไป แล้วเอามือมาจิกหัวเราจากด้านหลัง (เก้าอี้เราเป็นแบบมีล้อค่ะ แต่โชคดีที่มันฝืด แล้วเค้าหยุมหัวเรา แบบดึงกระชากไปข้างหลัง

เรากลัวจะแหงนแล้วล้มลงไปหัวกระแทก จะ c-spine injury ปะ ก็เลยพยายามขืนมาข้างหน้า แต่มากก็ไม่ได้ แสบหนังศีรษะมาก เห็นผมร่วงบนโต๊ะเยอะมาก ตอนนั้นช็อกไปละ พี่พะกับชุดเหลือง(ผู้ช่วย) พยายามดึงเค้าออก เราร้องบอกให้ปล่อย เค้าก็บอกว่าไม่ เดี๋ยวไปเสียค่าปรับที่โรงพักก็ได้

มะรุมมะตุ้มอยู่สักพักเลย จนญาติคนอื่นที่รอผลเลือดเข้ามา เค้ายอมปล่อยแล้วออกไป พี่พะล็อกห้องเรา แล้วเรียกรปภ.มา พอรปภ.มาเค้าก็ไป แต่ก่อนไปก็ไปยืนด่าโวยวายอยู่ด้านหน้า จังหวะนั้นเราหูดับไปละ ไม่ได้ยินอะไร ตกใจมาก นั่งร้องไห้ 55555

เลยยกคนไข้ที่รอผลเลือดทั้งหมด ฝากให้ ER ช่วยดูต่อให้ แล้วความคิดในหัวคือ จะแจ้งความ เลยเดินไปเปิดบัตรที่ ER แล้วถ่ายรูปแผล แล้วให้พี่สตาฟ EP ทำแผล+จ่ายยาให้ สักพักผอ.มา แล้วเราบอกว่าจะแจ้งความ เค้าเลยให้นิติกร รพ. ไปกับเราค่ะ

ในระหว่างที่เรากำลังตั้งสติ ก่อนไปสถานีตำรวจ ตอนนั้นชั่งใจเหมือนกันว่าจะแจ้งความดีมั้ย เพราะกฎหมายมีเหตุลดโทษในกรณีที่อีกฝ่ายป่วย แต่อีกใจนึงก็รู้สึกว่าเราต้องรักษาสิทธิ ไม่งั้นถ้าบอกว่าเป็นผู้ป่วย psychi แล้วจะทำอะไรกับใครก็ได้งั้นเหรอ ถ้าเค้ามีอาวุธ แล้วถ้าคนที่โดนไม่ใช่เรา แต่เป็นจนทคนอื่น หรือเป็นผู้มารับบริการเหมือนเรา จะมีคนคอยช่วยเหลือได้แค่ไหน ก็เลยไปแจ้งความ

หลังแจ้งความเสร็จ มีนัดมาสอบพยานอีกรอบหนึ่ง จากนั้นก็รอๆ ทางแม่คู่กรณีติดต่อเรามาช่วงปลาย พ.ย. จะขอไกล่เกลี่ย แต่เราไม่อยากเจอเค้านอกรอบ แล้วแม่เค้าไม่เคยแม้แต่จะแสดงความเสียใจกับเราแม้แต่น้อย

เพิ่มเติมนิดคือ พ่อเราไปหาเบอร์แม่คู่กรณีมาได้ตั้งแต่คืนวันที่เราไปแจ้งความ โทรไปคุยแล้ว เค้าคุยกับพ่อเราไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แล้วก็หายไปเลย ไม่ติดต่อมาอีกเลย จนเราแจ้งตำรวจไปว่าไม่ไกล่เกลี่ย ตำรวจเลยยื่นเรื่องเข้าศาลเลย เค้าถึงหาทางติดต่อแม่เรามา แบบโทรมาที่โรงพยาบาล

แล้วเราก็ได้รับการติดต่อจากศาลเลยว่าจะนัดฟังคำพิพากษา 15 ม.ค.2567 เวลา 13.30 น. เราโอเค รับทราบ

ระหว่างนั้นมีอาจารย์ มีพี่เจ้าหน้าที่แวะเวียนมาถาม มาให้กำลังใจตลอด เอาจริงๆ ดีใจมาก และดีใจมากกว่าที่ไม่มีใครห้ามเราเลยที่เราตัดสินใจฟ้องศาลไป ตอนแรกคิดว่าจะบอกให้เราถอนแจ้งความเพราะอย่างที่บอกค่ะ คนไข้ก็เป็นผู้ป่วย psychi

Ps. เราอาจจะพอรีวิวประวัติคนไข้ที่มาหาเราได้จากในระบบ ถ้าคนไข้เคยรักษาที่รพ.เรา แต่คนนี้เป็นญาติที่มาด้วย เราไม่มีทางรู้เลยนะคะ ว่าเค้าเป็นใคร และอย่างไรก็ตามอย่างที่บอก ปกติเราก็ดูแลคนไข้เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นผู้ป่วย psychi หรือเปล่า ยกเว้นกรณี aggressive มากๆ ที่ต้องได้รับการ precaution เป็นพิเศษ

จนวันที่ 15 ม.ค.2567 เราไปศาลตามนัด มีพ่อ แม่ ทนาย (ที่เราจ้างไปต่างหาก ของรพ.จะมีแต่นิติกร) แล้วมีอาจารย์เราไปด้วยอีก 1 คน วันนั้นเป็นวันแรกในรอบ 4 เดือน ที่เราได้เจอคู่กรณีของเราค่ะ จริงๆ มีเฉียดกันในรพ.บ้าง เพราะเรายังต้องทำงานอยู่ห้องฉุกเฉิน และเค้ามาห้องฉุกเฉินอยู่ 2-3 ครั้งได้ เฉียดแบบเราจะไปต่อเวรพอดีด้วย พี่พะเลยมาเล่าให้ฟัง

ตอนแรกอย่างที่บอก คิดว่าผลตัดสินจะแบบ ไม่มีความผิดเพราะเป็นผู้ป่วย psychi ที่มีประวัติการรักษาจริง แต่วันนั้นศาลแจ้งว่า ให้มีความผิดอาญา ฐานทำร้ายร่างกาย และหมิ่นประมาทเจ้าพนักงานทำให้เสียชื่อเสียงโดยซึ่งหน้า (ประมาณนี้) แต่ให้ลงโทษสถานเบาคือแค่ปรับเฉยๆ ไม่ต้องจำคุก และลดค่าปรับให้กึ่งหนึ่ง

ศาลถามเราว่ายอมรับการตัดสินมั้ย และจะฟ้องแพ่งเพิ่มมั้ย (ฟ้องแพ่งคือเรียกค่าเสียหายเพิ่ม) แต่เราและทุกคนคิดว่าคงพอแล้วค่ะ แค่นี้ก็เกินกว่าที่คาดไว้เยอะมากแล้ว และเค้าคงได้บทเรียนแล้ว เพราะวันที่มาศาล จากการประเมินเค้าก็ดูนิ่งและมีสติดี capacity เพียงพอที่จะรับรู้และเข้าใจ เลยตัดสินใจยอมรับการตัดสินและไม่ฟ้องต่อ

ต้องขอบคุณทุกคนอีกครั้งที่เป็นกำลังใจให้เสมอ ถ้าไม่มีทุกคนอาจจะตัดสินใจลาออกวันนั้นจริงๆ ก็ได้ เพราะก็รู้สึกแย่กับคำพูดของเค้าเหมือนกันว่าเราเป็นหมอที่แย่ขนาดนั้นเลยเหรอ แบบนอยด์ ไม่อยากทำงานเลย (แต่วันถัดไปก็ทำงานต่อนะคะ อาจเพราะ ER เช้าวันนั้นที่เยินสะบัด จนไม่มีเวลานอยด์ 555555 เลยหายก็ได้ ทำงานต่อก็ได้ 55555)

อยากฝากทุกคนเลยค่ะ เข้าใจว่าไม่มีใครทำอะไรได้ถูกใจใครไปได้ทั้งหมด บางคำพูดของเราอาจจะไม่ได้เข้าหูคนอื่นไปทั้งหมด แต่การด่ากัน การทำร้ายร่างกายกัน ไม่ได้ส่งผลดีกับใครเลย และไม่รู้ด้วยว่าเมื่อเริ่มแล้วมันจะไปสิ้นสุดที่ตรงไหน

จนทุกวันนี้เรายังระแวงใครจะมาจับผมเราอยู่เลยค่ะ ผมขาดไปตั้งเยอะนะ นั่นแหละค่ะ ถ้าไม่พอใจการรักษาของแพทย์ ทุกคนมีสิทธิที่จะขอเปลี่ยนแพทย์ได้ ไม่ต้องกังวลว่าทางโรงพยาบาลจะไม่ให้เปลี่ยนเลยค่ะ เป็นสิทธิของคนไข้ และแพทย์จะยอมรับเรื่องนั้นค่ะ ดีกว่ามา end up ที่เสียอนาคตหรือเสียใครไปค่ะ

สรุปผลจบการดำเนินการรักษาสิทธิของเราที่ “เราชนะคดีนะคะทุกคน”

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน