ส่องภารกิจ เศรษฐา ทวีสิน ตรวจสอบปัญหาฝุ่น PM2.5 – ยาเสพติด – กองทัพ

บทบาทโดดเด่นของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งลงมือทำงานทันทีดังคำแถลงที่ว่า จะทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย นับตั้งแต่เริ่มรับตำแหน่ง ไม่เพียงแค่เดินสายไปทั่วไทย และเดินทางไกลไปหลายประเทศ เพื่อเปิดประตูการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว

แต่ปัญหาใหญ่ ๆ ของสังคมไทย ที่ท้าทายการทำงานของนายกรัฐมนตรี ยังมีอีกหลายด้าน น่าสนใจตรวจสอบว่า ที่ผ่านมาได้ลงมือแก้ไขมากน้อยเพียงใด ไม่ว่าจะเป็นฝุ่น PM 2.5 ปัญหายาเสพติด ความสัมพันธ์กับกองทัพ ไปจนถึงการสนับสนุนส่งเสริมโครงการพระราชดำริ

ส่องภารกิจ เศรษฐา ทวีสิน ตรวจสอบปัญหาฝุ่น PM2.5 - ยาเสพติด - กองทัพ

ส่องภารกิจ เศรษฐา ทวีสิน ตรวจสอบปัญหาฝุ่น PM2.5 – ยาเสพติด – กองทัพ

การแก้ปัญหาฝุ่นละอองPM 2.5

ปัญหาฝุ่นละอองควันพิษ เป็นอีกเรื่องใหญ่ที่ประชาชนจับตาการแก้ปัญหา ของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี โดยพบว่าได้มีการสั่งการ กำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งผู้ว่าราชการจังหวัด ฝ่ายปกครอง ฝ่ายความมั่นคง ให้ร่วมกันบูรณาการเพื่อแก้ไขปัญหา

โดยเมื่อในวันที่ 29 พ.ย. 2566 นายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุมและหารือประเด็นแนวทางในการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 และปล่อยขบวนคาราวานปฏิบัติ ที่ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบพระชนมพรรษา ที่ อ.เมืองเชียงใหม่ จ.เชียงใหม่

วันที่ 13 ธ.ค. 2566 นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พร้อมด้วย น.ส.พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้เดินสังเกตการณ์ปริมาณฝุ่นละอองที่บริเวณแยกราชประสงค์ เขตปทุมวัน หลังค่าฝุ่นละออง PM 2.5 ส่งผลกระทบต่อชีวิตประชาชนพื้นที่ กทม. และปริมณฑล

และเมื่อวันที่ 11 ม.ค. 67 นายกฯ เศรษฐา ลุยเชียงใหม่ แก้ฝุ่น PM 2.5 โดยนั่งประธานเปิดปฏิบัติการฝนหลวง พื้นที่ภาคเหนือ ประจำปี 2567 เพื่อบรรเทาปัญหาหมอกควัน ไฟป่า และฝุ่นละออง PM 2.5 บริเวณพื้นที่ภาคเหนือ ประจำปี 2567

จนกระทั่ง วันที่ 21 ม.ค. 2566 นายเศรษฐา ให้สัมภาษณ์ขณะอยู่ที่จ.เชียงใหม่ ยืนยันว่า สภาพอากาศและค่าฝุ่น PM 2.5 จ.เชียงใหม่ ดีขึ้น หลังหน่วยงานต่าง ๆ ร่วมกันแก้ปัญหาอย่างบูรณาการ เช้าวันเดียวกันนี้ได้ดูรายละเอียดตัวเลขอยู่ที่ 12 เป็นสีเขียวดี แต่ไม่ได้นิ่งนอนใจ ให้เร่งทำงานแก้ปัญหาต่อไป

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังได้ต่อสายพูดคุยกับนายกรัฐมนตรีกัมพูชา เพื่อร่วมมือกันบูรณาการในการแก้ไขปัญหาหมอกควันบริเวณตามแนวชายแดนเชื่อมต่อระหว่างสองประเทศอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งได้มีการพูดคุยกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมมาเป็นระยะเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว

ในวันที่ 7 ก.พ. ฮุน มาเนต นายกฯราชอาณาจักรกัมพูชา เดินทางมาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ นอกจากหารือเรื่องการทำประโยชน์ร่วมกันจากทรัพยากรด้านพลังงานในพื้นที่ทับซ้อนกันระหว่างทั้งสองประเทศ ด้านอาชญากรรมข้ามชาติ เครือข่ายหลอกลวงทางไซเบอร์ การกระทำผิดกฎหมายอื่น ๆ ยังได้มีข้อตกลงร่วมกันในการป้องการเผา เพื่อประเด็นแก้ประเด็นฝุ่นละอองด้วย

จัดการปัญหายาเสพติดใน 1 ปี

การแพร่ระบาดยาเสพติด เป็นภัยคุกคามสังคมไทยรุนแรง ตั้งแต่ก่อนรัฐบาลเศรษฐาจะเข้ามาทำงาน ดังนั้นจึงเป็นภารกิจสำคัญแรก ๆ ที่นายกฯเศรษฐา ให้ความสำคัญ สั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลปราบปรามจริงจัง ต้องจบในรัฐบาลนี้ให้ได้

นายกรัฐมนตรีได้ประกาศนโยบายที่จะลดปัญหายาเสพติดให้ได้อย่างเป็นรูปธรรม ภายในระยะเวลา 1 ปี พร้อมกำหนด 12 แนวทางการทำงานเพื่อให้บรรลุผลสำเร็จ กำหนดหลักยึดผู้เสพเป็นผู้ป่วย ผู้ค้าต้องถูกลงโทษและยึดทรัพย์ ผู้ป่วย ต้องช่วยให้ถึงการพัฒนา ช่วยเหลืออาชีพ

1.การยึดเป้าหมายร่วมกัน ผนึกกำลังร่วมกันยึดเป้าหมายสูงสุดนั่นคือ ลดความเดือดร้อนของประชาชน

2.การแก้ไขปัญหาความรุนแรงด้านจิตเวช ยาเสพติดเป็นปัญหาที่สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนมากที่สุดปัญหาหนึ่ง รัฐบาลนี้ถือเป็นรัฐบาลแรก ที่จัดการเป็นนโยบายให้มีการปฏิบัติอย่างจริงจัง ซึ่งการแก้ปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่มีความท้าทายอย่างยิ่ง

3.การสร้างความเข้าใจ ปฏิบัติการลดความรุนแรงของปัญหายาเสพติด ในระยะเร่งด่วน 1 ปี ได้กำหนด เป้าหมาย ตัวชี้วัด และแนวทางการทำงาน จึงควรมีการทำความเข้าใจในการปฏิบัติ ให้กับหน่วยงานทั้งส่วนกลางและพื้นที่เป็นหลักประกันของความสำเร็จตั้งแต่เริ่มแรกก่อนการลงมือปฏิบัติ

4.งบประมาณ ให้ทุกหน่วยที่ได้รับงบประมาณด้านยาเสพติดประจำปีอยู่แล้ว ขอให้ปรับและจัดสรรงบประมาณให้กับปฏิบัติการเร่งด่วนนี้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่ทำได้เพราะเป็นนโยบายสำคัญ

5.จังหวัดเป็น CEO จัดการแก้ไขปัญหาตัวเอง ขอให้แต่ละจังหวัดดำเนินการในเรื่องนี้อย่างจริงจัง วัดผลได้ เป็นรูปธรรม

6.การขยายการมีส่วนร่วมของชุมชน ความสำเร็จของการแก้ไขปัญหายาเสพติดที่สำคัญอยู่ที่การมีส่วนร่วมของชุมชน ขอให้กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ไปหาแนวทางในการ ขยายการมีส่วนร่วมของชุมชนให้มากกว่านี้

7.ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติดให้มากขึ้น เพราะเป็นกฎหมายที่ปรับฐานคิด ของการแก้ไขปัญหายาเสพติดใหม่ ยึดผู้เสพเป็นผู้ป่วย ผู้ค้าต้องถูกลงโทษและยึดทรัพย์ ผู้ป่วย ต้องช่วยเขาให้ตลอดไปถึงการพัฒนา ช่วยเหลืออาชีพ ให้เห็นเป็นตัวอย่าง อย่าไปมุ่งจับกุมผู้เสพ เป็นหลัก ส่วนผู้ค้าต้องมุ่งทำลายเครือข่าย ยึดทรัพย์สินอย่างเต็มที่ตามหลักนิติธรรม โดยนายกรัฐมนตรีขอให้ยึดหลักการนี้อย่างจริงจัง

8.วางระบบรายงาน ติดตาม เชิงรุก สามารถมองเห็นความคืบหน้า การขับเคลื่อนงาน ปัญหาอุปสรรค และแก้ไขปัญหาได้ทันท่วงที เป็นเรื่องสำคัญของการบริหาร จัดการแนวใหม่ ซึ่งจะต้องมีศูนย์บัญชาการ (war room) ในระดับต่าง ๆ โดยในส่วนกลางให้สำนักงาน ป.ป.ส. รับผิดชอบเรื่องนี้และเป็นศูนย์กลางในการบูรณาการฐานข้อมูลยาเสพติดแห่งชาติ มีข้อมูลจากทุกหน่วยงาน

9.การสรุปองค์ความรู้ใหม่ ๆ ให้เป็น best practice เชื่อว่าการลดความรุนแรงของปัญหายาเสพติดฯ จะสร้างนวัตกรรมในการแก้ไขปัญหายาเสพติด

10.การจัดทำอนุบัญญัติรองรับประมวลกฎหมายยาเสพติด ขอให้กระทรวงสาธารณสุขเร่งรัดการออกอนุบัญญัติที่ยังคงค้างอยู่ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว

11.ความคืบหน้าการดำเนินงานตามข้อสั่งการเมื่อวันที่ 17 กันยายน 2566 ขอให้เร่งรัดดำเนินงานและรายงานผลอย่างต่อเนื่อง

12.การสนับสนุนค่าตอบแทนเงินสินบนรางวัลคดียาเสพติด ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติจัดประชุมทุกเดือน พิจารณาค่าตอบแทนให้แก่ผู้ปฏิบัติงาน

พร้อมพิจารณาแผนปฏิบัติการภายใต้นโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยการป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 และปฏิบัติการลดความรุนแรงของปัญหายาเสพติด ระยะเวลา 1 ปี ตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล

การกำหนดพื้นที่เร่งด่วนตามมาตรา 5(10) ของประมวลกฎหมายยาเสพติด การลดผู้เสพ ผู้ติดยาเสพติดการลดผลกระทบจากผู้ป่วยจิตเวช การขยายผลหัวโทนโมเดล ซึ่งประสบความสำเร็จจนได้รับการจัดให้เป็นโมเดลต้นแบบการแก้ปัญหาผู้ป่วยในชุมชนจิตเวชในชุมชนก่อเหตุรุนแรง และ(ร่าง) ประกาศกระทรวงสาธารณสุขว่าด้วยการระบุชื่อยาเสพติดให้โทษตามประมวลกฎหมายยาเสพติดจำนวน 2 ฉบับ

“จากประสบการณ์ที่ได้พบ และเห็นแววตาของพ่อแม่ที่มีลูกหลานติดยาเสพติด ได้ฟังเรื่องร้อนใจของพวกเขาเป็นประสบการณ์ที่น่าเศร้าใจ ทำให้ผมอยากส่งคำอ้อนวอนของพี่น้องประชาชนมาถึงพวกท่านทุกคน ขอให้เอาจริงเอาจังช่วยเหลือลูกหลานของพวกเขา ของพวกเรา ของพวกท่าน ให้พ้นจากยาเสพติดให้ได้”

ยกระดับความสัมพันธ์ทหาร

แม้นายเศรษฐา จะเป็นนายกรัฐมนตรี ที่มาจากพลเรือน เป็นนักธุรกิจ อีกทั้งยังได้ส่งพลเรือนเต็มขั้นอย่างนายสุทิน คลังแสง ไปเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม หลายคนอาจมองว่าไม่น่าจะเป็นที่ยอมรับของทหาร แต่ตลอดระยะเวลาในการเข้ามาบริหารงาน ค่อนข้างชัดเจนว่าได้รับความร่วมมือจากฝ่ายทหารเป็นอย่างดี

นายกรัฐมนตรีได้มีการพูดคุยและเชิญบรรดาผู้นำเหล่าทัพ ปลัดกระทรวงผู้บัญชาการทหารสูงสุดเข้าพบและพูดคุยเป็นระยะ ทั้งที่เป็นข่าวและไม่เป็นข่าว อีกทั้งมีการสานสัมพันธ์ทั้งด้านการกีฬาและการร่วมงานสังคมต่าง ๆ ที่นายกรัฐมนตรีให้เกียรติและไปร่วมงานด้วยเกือบทุกครั้ง

3 ก.ย. 66 นายเศรษฐาพร้อมนายสุทิน นัดพบและหารือเป็นการภายใน ร่วมกับว่าที่ผู้บัญชาการ 4 เหล่าทัพทันที หลังรับตำแหน่ง ทั้ง พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ว่าที่ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.) พล.อ.เจริญชัย หินเธาว์ ว่าที่ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) พล.ร.อ.อะดุง พันธุ์เอี่ยม ว่าที่ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) และ พล.อ.อ.พันธ์ภักดี พัฒนกุล ว่าที่ผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.) ในขณะนั้น

โดยได้รับฟังความคิดเห็น และข้อเสนอแนะเพื่อให้เกิดการประสานความร่วมมือการขับเคลื่อนงานของรัฐบาล และกองทัพ โดยเฉพาะสอดคล้องกับสถานการณ์บ้านเมือง ก่อนนำมาบรรจุไว้ในนโยบาย

การประกาศไม่ยุบ กอ.รมน. ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งแม้เจ้าตัวจะปัดว่าไม่ได้เป็นการเอาใจทหารแต่ครั้งนี้ก็ถือว่าได้ใจอย่างมาก รวมทั้งได้มีการดึงทหารเข้ามาช่วยงานในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของยาเสพติด การค้าขายตามแนวชายแดน ปัญหาฝุ่นละออง การช่วยเหลือด้านอุทกภัย หรือแม้แต่การเดินหน้าแบ่งที่ของทหารเพื่อให้ได้เป็นที่ทำกินของประชาชนก็ได้รับความร่วมมืออย่างดี

โครงการพระราชดำริ

ทันทีที่เข้ามาบริหารราชการแผ่นดิน การลงพื้นที่ในต่างจังหวัด นายกรัฐมนตรีเศรษฐา ให้ความสำคัญ ตรวจเยี่ยม สั่งการและพัฒนาโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริมาโดยตลอด การส่งเสริมผลิตภัณฑ์จากโครงการรวมทั้งการหาตลาดการต่อยอดด้านวิชาการ โดยในเดือน ก.ย.66 เขื่อนแม่กวงอุดมธารา อ.ดอยสะเก็ด นายกรัฐมนตรี ได้ติดตามโครงการเพิ่มปริมาณน้ำในเขื่อนแม่กวงอุดมธารา

การเดินทางไปยังศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ซึ่งก่อตั้งขึ้นตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เมื่อครั้งเสด็จฯ ผ่านลุ่มน้ำห้วยฮ่องไคร้ ในปี พ.ศ. 2525 ที่เป็นป่าเต็งรังที่เสื่อมโทรม

จึงมีพระราชประสงค์ที่จะใช้พื้นที่บริเวณนี้กว่า 8,500 ไร่ ให้เป็นศูนย์การศึกษา ทดลอง วิจัย หารูปแบบการพัฒนาต่างๆ ที่เหมาะสมกับพื้นที่ภาคเหนือ เผยแพร่ให้ราษฎรนำไปปรับใช้ได้ด้วยตัวเอง

เมื่อวันที่ 20 ม.ค.67 นายกรัฐมนตรี ผุดไอเดียนำคณะนักธุรกิจชื่อดังของประเทศ 115 คน จากโครงการผู้ฝึกอบรมการพัฒนาผู้บริหารระดับสูง ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) หรือหลักสูตรรวมมิตร เยี่ยมชมโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ

เพื่อส่งเสริม ต่อยอดและขยายผล ผลักดันช่วยเหลือเกษตรกรหมุดหมายแรกคือพื้นที่ โครงการศูนย์บริการการพัฒนาขยายพันธุ์ไม้ดอกไม้ผลบ้านไร่อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ตำบลน้ำแพร่ อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่

การนำนักธุรกิจได้ไปพบกับเกษตรกรผู้ผลิตโดยตรง ได้รับรู้ถึงปัญหาอุปสรรคต่างๆ มีการทำเวิร์กช็อประหว่างกัน ทำให้มีช่องทางที่จะจะเปิดตลาดเพิ่มมากขึ้นสร้างความยินดีให้กับทั้งสองฝ่ายซึ่งแนวความคิดดังกล่าวนายกรัฐมนตรีระบุว่าจะไม่ทำเพียงแค่ครั้งเดียวแต่จะทำต่อไปอย่างแน่นอน

เหล่านี้คือภารกิจหลากหลายของนายกฯเศรษฐา ที่น่าจับตามองต่อไปว่า จะแก้ไขได้อย่างถึงที่สุด จนสามารถสร้างความพึงพอใจให้กับประชาชนได้อย่างแท้จริงหรือไม่

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน