จากกรณีที่ นายกิตติ กลิ่นเกลี้ยง ชื่อเล่น “ปื๊ด” หรือที่รู้จักกันดีว่า “กิตติ ดัสกร” อดีตดาวร้าย อายุ 67 ปี และเป็นน้องชายของนักแสดงดาวร้ายชื่อดัง “ดามพ์ ดัสกร” เคยให้สัมภาษณ์ไว้เมื่อช่วงกลางเดือนพ.ย. ปีที่แล้วว่า จะไม่กลับไปอยู่กินกับ น.ส.ศศิประภา รุ่งมงคล ชื่อเล่น “คิตตี้” หรือ “แพท” ภรรยาสาว อายุ 27 ปีอีก รวมถึงได้ให้กลับไปอยู่กับมารดาของฝ่ายหญิงที่หัวหินพร้อมกับลูกๆ หลังจากตนเองล้มป่วยเป็นอัมพฤกษ์ เบาหวาน และความดัน ซ้ำถูกทอดทิ้งให้อยู่ในบ้านแห่งหนึ่งที่ อ.ไทรน้อย จ.นนทบุรี ซึ่งภายในบ้านสกปรก เต็มไปด้วยของเก่า และอาหารเน่าเหม็นที่กองพะเนินสูงอยู่ทั่วบ้าน แต่พบว่าล่าสุดไทด์ ได้ประกาศเลิกช่วยนั้น (อ่าน ซ้ำรอยจนได้!! ‘ไทด์’ประกาศเลิกยุ่ง‘กิตติ ดัสกร’ รีเทิร์น‘คิตตี้’เมียเก่า-ขู่แจ้งจับคนช่วย)

เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 13 มี.ค. ที่ หมู่บ้านปิยวรารมณ์ 3 ต.ไทรน้อย อ.ไทรน้อย จ.นนทบุรี ผู้สื่อข่าวได้เดินทางมาสอบถาม นายอภินันท์ หรือพี่ดำ รัตนะวิศ ประธานนิติบุคคลหมู่บ้านปิยวรารมณ์ 3 ซึ่งเป็นตัวแทนของ นายเอกพันธ์ บรรลือฤทธิ์ และ นาย อมต อินทร์ทานนท์ เป็นผู้ดูแลเงินในบัญชีที่ทางประชาชนได้โอนเงินมาเพื่อไว้สำหรับให้ นาย กิตติ กลิ่นเกลี้ยง อดีตดาวร้ายชื่อดัง ไว้เพื่อรักษาอาการเจ็บป่วย โดยล่าสุด ไทด์-เอกพันธ์ บรรลือฤทธิ์ ดารานักแสดงชื่อดังและหัวหน้าอาสาสมัครมูลนิธิร่วมกตัญญู ได้ถอนเงินก้อนสุดท้ายที่ได้รับจากการบริจาค จำนวนกว่า 2 แสนบาท ให้กับ นายกิตติ แล้ว พร้อมขอถอนตัวจากการช่วยเหลือในครั้งนี้

นายอภินันท์ กล่าวว่า ตนเป็นผู้ดูแลเงินในบัญชีของ นายกิตติ โดยมีการเปิด 2 บัญชี โดยบัญชีแรก เปิดเป็นของนายกิตติ เพื่อรับเงินบริจาค แต่ต่อมา น.ส.ศศิประภา หรือ คิตตี้ ภรรยาของ นายกิตติ มีการถอนเงินเพื่อนำไปใช้หนี้ 80,000 บาท ตนจึงได้เปิดบัญชีขึ้นมาใหม่อีก 1 บัญชี และจัดทีมขึ้นมาดูแลเรื่องเงินบริจาคช่วยเหลือจากประชาชนด้วย เนื่องจากกลัวจะมีปัญหาเหมือนกรณีเงินจำนวน 80,000 บาท ที่ภรรยา ได้ถอนไปใช้ ซึ่งในบัญชีที่ตนดูแล มียอดเงินอยู่ที่ประมาณ 209,000 บาท ซึ่งตนเป็นผู้ดูแลเงินในบัญชีนี้

“ต่อมาภายหลังเมื่อวันที่ 6 มี.ค. ที่ผ่านมา นายกิตติ ได้โทรมาหาตน ว่าจะขอเงินก้อนสุดท้ายทั้งหมด เพื่อจะนำไปซื้อบ้านและลงทุนทางธุรกิจ ซึ่งตนก็ไม่มีปัญหาอะไร เพียงเป็นห่วงว่าเงินก้อนสุดท้าย หากนำไปใช้หมด เกรงว่าจะไม่มีเงินรักษาอาการป่วยอีก เนื่องจาก อาการของ นายกิตติ ยังไม่หายดี ไม่สามารถเดินได้ จึงไม่มีรายได้เหมือนก่อน และ เงินที่ถูกโอนมาในบัญชี เป็นเงินที่ประชาชนโอนมาเพื่อให้ นายกิตติ รักษาอาการป่วย”

“ หลังจากนั้น นายกิตติ ได้บอกกับตนว่า จะฟ้อง นายอมต อินทรานนท์ ซึ่งเป็นผู้ที่ร่วมช่วยเหลือและเป็นผู้ร่วมเปิดเงินในบัญชีเงินบริจาค เพราะหลังจากที่มีการช่วยเหลือ ได้นำของภายในบ้านไปทิ้ง พร้อมกับทำความสะอาดบ้าน ซึ่งอ้างว่าทำให้นาฬิกาของนายกิตติ มูลค่าประมาณ 1 ล้านบาทหาย และทรัพย์สินของนาย กิตติ เสียหายอีกมาก จึงจะฟ้องร้อง ตนจึงบอกให้ นายกิตติ คิดดีๆ เนื่องจากการเข้าไปทำความสะอาดและนำของไปทิ้งนั้น ทุกคนไปเพื่อช่วยเหลือและหวังดีกับนายกิตติ อยากให้คิดทบทวนอีกรอบ โดยเหตุผลอื่น ตนคิดว่า นายกิตติ คิดว่า เงินในบัญชีที่ได้รับจากการบริจาคนั้น ทางตนจะนำไปใช่หรือไม่นั้น ตนไม่ทราบ แต่หลังจากนั้น ตนและ นายเอกพันธ์ หรือไทด์ ได้ปรึกษากันว่าจะนำเงินก่อนสุดท้ายไปให้และจะปิดบัญชี ไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับความช่วยเหลืออีก เพราะทุกคนที่ไปช่วยเหลือ ค่อนข้างเสียความรู้สึก เนื่องจาก ทุกคนมาช่วยเหลือด้วยใจ ไม่เคยคิดที่จะนำเงินไปใช้แต่อย่างใด”

“ซึ่งหลังจากที่ตนถอนเงินออกจากบัญชีทั้งหมด ตนก็ได้มอบให้กับ นายกิตติ ด้วยตนเองพร้อมกับทำหนังสือยืนยัน ว่าตน และ นายอมต ได้ถอนเงินออกจากบัญชีหมดแล้ว และตนก็ให้ดูตัวเลขในว่า ยอดเงินเป็น ศูนย์ บาท ซึ่งนายกิตติ ก็บอกกับตนสั้นๆ ว่า ขอบคุณมาก โดยหลังจากนั้นก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย “

“ตนติดต่อเพียง นางยุพดี ปิณฑะบุตร พี่สาว ของนายกิตติ ถามไถ่อาการตามปกติ ซึ่งทางด้าน นางยุพดี ก็แจ้งกับตนว่า เงินในบัญชี 200,000 บาท ครั้งก่อนที่เคยได้เมื่อ ตอนเดือน พ.ย. 60 ที่ผ่านมา ยังคงเหลืออยู่ และก็เป็นคนดูแลเงินในบัญชี รวมไปถึง ดูแลนายกิตติ ด้วย ซึ่ง ในแต่ละเดือน นายกิตติ ไม่ได้เสียเงิน ค่ารักษาตัว เพราะเนื่องจาก ใช้สิทธิ์ 30 บาท รักษาทุกโรค เสียแต่เพียงค่าจ้างสำหรับคนดูแลนายกิตติ และค่าจ้างหมอนวด เพื่อมาทำกายภาพบำบัด เท่านั้น”

“ในส่วนของ น.ส.ศศิประภา หรือคิตตี้ ตนไม่มีการติดต่อหรือพูดคุยเป็นการส่วนตัว เนื่องจาก ตนไม่คุยกับทาง น.ส.ศศิประภา มาตั้งแต่เดือน พ.ย. 60 ที่ผ่านมาแล้ว เนื่องจาก น.ส.ศศิประภา มีการมาต่อว่าตนในเรื่องของการดูแลบัญชีเงิน ตนจึงไม่ขอยุ่งด้วย ซึ่งล่าสุดตนทราบเพียงว่า สิ้นเดือน พ.ย. 60 ที่ผ่านมา น.ส.ศศิประภา ได้ย้ายออกจากบ้านหลังที่นาย กิตติ เคยอยู่ แล้ว”

“หลังจากที่ได้ช่วยเหลือ พานายกิตติ ไปรักษาตัวที่ โรงพยาบาล ก็ได้มีการต่อเติมบ้าน สร้างราวทางเดินขึ้นมาภายในบ้าน เพื่อให้นายกิตติไว้ใช้เดิน หลังจากที่ออกมาจากโรงพยาบาล แต่ ก็ไม่ได้อยู่ โดยหลังจากนั้น บ้านก็ถูกยึด เนื่องจากขาดการส่งบ้าน ตนจึงได้แจ้งกับ นางยุพดี ว่า บ้านถูกยึดแล้ว ไม่สามารถมาอยู่ได้แล้ว นางยุพดี จึงนำตัวนายกิตติไปอยู่ด้วยและไม่ทราบว่าย้ายไปอยู่ที่ใด”

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน