พาณิชย์ เผย 6 สินค้าที่ได้รับผลกระทบจากการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ยันดันเงินเฟ้อภาพรวมเพิ่มแค่ 0.3% มั่นใจทั้งปียังอยู่ในเป้า 0.3-1.3%

วันที่ 8 ม.ค.2568 นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผอ.สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงผลกระทบของการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำต่ออัตราเงินเฟ้อทั่วไป หลังจากราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ประกาศคณะกรรมการค่าจ้าง ปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ มีผลตั้งแต่ 1 ม.ค. 2568ว่า ค่าแรงที่ปรับขึ้นมีการ แบ่งเป็น 17 อัตรา เพิ่มเฉลี่ยวันละ 7-55 บาท หรือ เฉลี่ย 2.9% โดยมีอัตราสูงสุด คือวันละ 400 บาท และอัตราต่ำสุด คือวันละ 337 บาท

จากการวิเคราะห์พบว่า จะส่งผลกระทบทำให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นเพียง 0.15-0.30 % โดยจะทำให้อัตราเงินเฟ้อในปี 2568 จะยังอยู่ในเป้าหมายของกระทรวงพาณิชย์ คือ 0.3-1.3% ค่ากลาง 0.8%

ทั้งนี้ แบ่งกลุ่มสินค้าและบริการที่ได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำได้ 6 กลุ่ม ดังนี้

1.สินค้าและบริการที่มีการกำกับดูแลโดยภาครัฐ คิดเป็น 22.0%ของน้ำหนักในตะกร้าเงินเฟ้อ ได้แก่ ค่าน้ำประปา ค่ากระแสไฟฟ้า น้ำมันดีเซล แก๊สโซฮอล์ ค่าการศึกษา ค่าทางด่วน ค่าเดินทางสาธารณะ และค่ารักษาพยาบาล เป็นต้น โดยการปรับราคาขึ้นอยู่กับมาตรการภาครัฐ ดังนั้น การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำครั้งนี้จะไม่ส่งผลให้สินค้าและบริการในหมวดนี้ปรับตัวสูงขึ้น

2.สินค้าและบริการที่มีการผลิตในระบบอุตสาหกรรม และเป็นสินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวันอย่างสม่ำเสมอ คิดเป็น 25.0% ของน้ำหนักในตะกร้าเงินเฟ้อ ได้แก่ สินค้าในหมวดเครื่องประกอบอาหาร เช่น น้ำตาล น้ำมันพืช เครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ ของใช้ส่วนบุคคล เช่น ผงซักฟอก น้ำยาปรับผ้านุ่ม และสินค้าคงทน เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า รถยนต์ เนื่องจากกระบวนการผลิตมีการใช้แรงงานขั้นต่ำน้อย อาจมีการปรับเพิ่มราคาสินค้าและบริการตามค่าจ้างขั้นต่ำ

3.สินค้าที่มีการใช้แรงงานสูง แต่การส่งผ่านราคาสู่ผู้บริโภคไม่มากนัก คิดเป็น 22.0 %ของน้ำหนักในตะกร้าเงินเฟ้อ ได้แก่ สินค้าเกษตร ทั้งผักสด ผลไม้สด พืชไร่ และปศุสัตว์ เนื่องจากใช้แรงงานสูง แต่ไม่สามารถส่งผ่านต้นทุนที่เพิ่มขึ้นไปยังราคาสินค้าได้ เนื่องจากราคาถูกกำหนดโดยอุปสงค์และอุปทาน

ดังนั้น การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำในครั้งนี้จะไม่ส่งผลให้สินค้าในหมวดนี้เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ภาครัฐควรมีนโยบายดูแลภาคการผลิตเหล่านี้ เนื่องจากมีความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบให้รายได้สุทธิลดลง

4.สินค้าและบริการที่มีความเสี่ยงสูงที่จะได้รับผลกระทบจากการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ คิดเป็น 16.0% ของน้ำหนักในตะกร้าเงินเฟ้อ ได้แก่ อาหารสำเร็จรูป ที่บริโภคในบ้านและบริโภคนอกบ้าน โดยเฉพาะ อาหารตามสั่ง ข้าวราดแกง และกับข้าวเป็นถุง เนื่องจากมีต้นทุนการใช้แรงงานสูง ส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการขนาดเล็กที่มีความสามารถรองรับการเพิ่มขึ้นของต้นทุนได้ต่ำ

อย่างไรก็ตาม ต้นทุนอื่น ๆ ของอาหารสำเร็จรูปในปี 2568 มีแนวโน้มลดลง ทั้งราคาผักสด ไข่ไก่ เนื้อสุกรทำให้การขึ้นค่าจ้าง ส่งผลกระทบต่ออาหารสำเร็จรูป ในปี 2568 ไม่มากนัก

5.ค่าเช่าบ้านและที่พักอาศัย คิดเป็น 14.0% ของสินค้าและบริการในตะกร้าเงินเฟ้อ โดยการปรับขึ้นค่าเช่าบ้านและที่พักอาศัยขึ้นอยู่กับปัจจัยด้านอุปสงค์และอุปทานมากกว่าการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ ประกอบกับในปี 2568 ภาคอสังหาริมทรัพย์ฟื้นตัวต่ำกดดันให้ค่าเช่าบ้านยังต่ำ อาจไม่ได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ

6.ค่าบริการที่มีการใช้แรงงานมีฝีมือหรือทักษะสูง คิดเป็น 1.0% ของน้ำหนักในตะกร้าเงินเฟ้อ ได้แก่ ค่าตัดผม ค่าแรงช่างไฟฟ้า ค่าแรงช่างประปา ค่าแรงช่างก่อสร้าง เป็นต้น ในภาพรวมค่าแรงภาคบริการเหล่านี้สูงกว่าค่าจ้างขั้นต่ำอยู่แล้ว

ดังนั้น การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจะส่งผลให้ค่าบริการเหล่านี้ปรับเพิ่มไม่มาก หรืออาจจะไม่มีการปรับขึ้นค่าบริการ

“คาดว่าการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำในครั้งนี้ จะมีผลต่ออัตราเงินเฟ้อค่อนข้างน้อย เนื่องจากปัจจัยด้านมาตรการช่วยเหลือลดค่าครองชีพของภาครัฐ รวมทั้งอุปสงค์ในประเทศมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ และลดภาระหนี้สินครัวเรือน ทำให้การจับจ่ายของประชาชนเพิ่มขึ้น ส่งผลให้รายได้และกำไรสุทธิของผู้ประกอบการมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องปรับขึ้นราคาสินค้าและบริการ”นายพูนพงษ์ กล่าว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน