ผลวิจัยญี่ปุ่นเผย ดื่มเครื่องดื่มประเภทนี้ วันละ 3 แก้ว ลดภาวะสมองเสื่อม ช่วยต่อสู้โรคร้าย คนไทยกำลังนิยมมาก
แม้ว่าจะมีทางเลือกในการใช้ชีวิตมากมายที่สามารถลดความเสี่ยงต่อภาวะสมองเสื่อมได้ เช่น การรับประทานอาหารที่ดี ออกกำลังกายสม่ำเสมอ การดูแลสภาพจิตใจให้แจ่มใสอยู่เสมอ แต่การวิจัยล่าสุดชี้ให้เห็นว่า มีเครื่องดื่มชนิดหนึ่งที่สามารถลดความเสี่ยงสมองเสื่อมได้ เพียงแค่ดื่มไม่กี่ครั้งต่อวัน
โดยสถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐ หรือเอ็นไอเอช เผยตัวเลขผู้ป่วยด้วยโรคสมองเสื่อมนั้นมีประมาณ 6.7 ล้านคนในสหรัฐ และตัวเลขดังกล่าวอาจเพิ่มขึ้นเป็น 13.8 ล้านคนภายในปี 2060
ล่าสุดผลการศึกษาวิจัยจากประเทศญี่ปุ่น เกี่ยวกับการดื่มชาเขียวและผลกระทบต่อสมอง เผยว่า ผู้สูงอายุที่ดื่มชาเขียวเป็นประจำจะมีรอยโรคในเนื้อสมองสีขาวลดลง ซึ่งรอยโรคนี้เป็นตัวบ่งชี้สำคัญของความเสื่อมถอยของความสามารถในการรับรู้และภาวะสมองเสื่อม
ภาพประกอบ
จากการที่นักวิจัยขอให้ผู้เข้าร่วมโครงการในวัยผู้ใหญ่ราว 9,000 คนกรอกแบบสอบถาม เกี่ยวกับพฤติกรรมการดื่มกาแฟและชา รวมถึงเข้ารับการสแกนสมอง เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลของพวกเขา
การศึกษาล่าสุดเผยให้เห็นว่า การดื่มชาเขียววันละ 2-3 แก้วช่วยลดความเสี่ยงของการเสื่อมถอยของความสามารถในการรับรู้ได้อย่างมีนัยสำคัญ รวมถึงช่วยป้องกันภาวะสมองเสื่อมได้ ถึงแม้ว่าจะไม่พบผลลัพธ์แบบเดียวกันนี้หลังจากดื่มชาเขียวไปแล้ว 4 ถ้วยหรือมากกว่านั้นก็ตาม
โดยผลการศึกษาดังกล่าวสอดคล้องกับการศึกษาครั้งก่อนๆ ที่แสดงให้เห็นว่า การดื่มชาเขียวเป็นประจำนั้นสามารถลดภาวะสมองเสื่อม หรือการเสื่อมถอยของความสามารถในการรับรู้ได้
ด้านผลการวิเคราะห์เชิงอภิมาน (การเปรียบเทียบวิจัยตลอดหลายปี) ปี 2565 ระบุว่า ทุกครั้งที่เราดื่มชาเขียว 1 ถ้วย จะส่งผลให้ความเสี่ยงต่อภาวะสมองเสื่อมของเราจะลดลงร้อยละ 6
ภาพประกอบ
ขณะเดียวกัน ประโยชน์ของชาเขียวไม่ได้หยุดอยู่แค่การเพิ่มประสิทธิภาพสมองเท่านั้น เนื่องจากชาเขียวอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ โดยเฉพาะคาเทชินหรือสารพฤกษเคมีที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ
อาทิ เอพิกัลโลคาเทชิน กัลเลต ที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระกลุ่มโพลีฟีนอลที่มีคุณสมบัติต้านการอักเสบและปกป้องเซลล์ ซึ่งอาจช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งและโรคหลอดเลือดสมองได้เช่นกัน
ทั้งนี้ การดื่มชาเขียวเป็นประจำยังเกี่ยวข้องกับสุขภาพหัวใจที่ดีขึ้น รวมถึงระดับคอเลสเตอรอลและความดันโลหิตที่ลดลง ส่งผลให้อัตราเสี่ยงต่อโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดสมองลดลงอีกด้วย
