การแข่งขันฟุตบอลยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก รอบชิงชนะเลิศ ที่สนามเอ็นเอสซี โอลิมปีสกี สเตเดียม กรุงเคียฟ ประเทศยูเครน เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม ซึ่งเป็นศึกถ้วยใหญ่ยุโรปหนที่ 63 และเป็นหนที่ 26 นับตั้งแต่เปลี่ยนรูปแบบมาเป็นแชมเปียนส์ ลีก

ปีนี้เป็นการโคจรมาเจอกันระหว่าง “ราชันชุดขาว”เรอัล มาดริด แชมป์เก่า 2 ฤดูกาลซ้อน และอดีตแชมป์ 12 สมัยจากสเปน พบกับ “หงส์แดง”ลิเวอร์พูล อดีตแชมป์ 5 สมัยจากอังกฤษ

เกมนี้มาดริดวางหมากระบบ 4-3-1-2 เกย์ลอร์ นาบาส : ดาเนียล คาร์บาฆัล, ราฟาเอล วาราน, เซร์คิโอ รามอส, มาร์เซโล : ลูกา โมดริช, คาเซมิโร, โทนี โครส : อิสโก : คาริม เบนเซมา, คริสเตียโน โรนัลโด

ส่วนลิเวอร์พูลใช้แผน 4-3-3 ลอริส คาริอุส : เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, เดยัน ลอฟเรน, เฟอร์จิล ฟาน ไดค์, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน : จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, เจมส์ มิลเนอร์, จอร์จินิโอ ไวนัลดุม : โมฮาเหม็ด ซาลาห์, ซาดิโอ มาเน, โรแบร์โต ฟีร์มิโน

เริ่มเกมมาทั้งคู่ยังไม่มีจังหวะจบสกอร์เหน่งๆให้เห็น ต้องรอถึงนาที 15 คริสเตียโน โรนัลโด หลุดมาทางกรอบเขตโทษด้านขวา ก่อนยิงมุมแคบข้ามคานนิดเดียว

นาที 23 โอกาสของลิเวอร์พูลบ้าง โรแบร์โต ฟีร์มิโน ยิงในเขตโทษไปติดบล็อกกองหลังมาเข้าทาง เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ซัดจากมุมเขตโทษด้านขวา แต่ยังถูกนายทวารตะครุบไว้ได้

นาที 29 ลิเวอร์พูลต้องเจอข่าวร้ายอย่างที่สุด โมฮาเหม็ด ซาลาห์ บาดเจ็บถึงขนาดหลั่งน้ำตากลางสนาม ทีมต้องเปลี่ยนตัวให้ อดัม ลัลลานา ลงเล่นแทน

นาที 35 มาดริดต้องเสียขุนพลตัวเก่งบ้าง ดาเนียล คาร์บาฆัล มีอาการบาดเจ็บถึงขั้นหลั่งน้ำตากลางสนามเช่นกัน ต้องเปลี่ยนตัวให้ นาโช เฟร์นานเดซ ลงมาเล่น

นาที 43 แฟนมาดริดเฮเก้อ อิสโก เปิดบอลเข้าไปให้ คริสเตียโน โรนัลโด โขกไปติดเซฟแล้วมี คาริม เบนเซมา ซ้ำเข้าไปง่ายๆ แต่ผู้กำกับเส้นยกธงล้ำหน้าตั้งแต่จังหวะโรนัลโดแล้ว

นาที 45 คาริม เบนเซมา แต่งบอลแล้วตะบันระยะไกล บอลหลุดกรอบไปแบบมีลุ้น จบครึ่งแรกทั้งคู่ยังเสมอกัน 0-0

ครึ่งหลังนาที 48 มาดริดชวดโอกาสทอง กองหลังลิเวอร์พูลสกัดพลาดไปเข้าทาง อิสโก ตวัดยิงผ่านมือนายทวารแล้ว แต่บอลชนคานเต็มๆ

นาที 51 เกิดประตูขึ้นจนได้ โทนี โครส ตักบอลข้ามแนวรับลึกไปถึง ลอริส คาริอุส รับไว้ได้แล้ว แต่จังหวะออกบอลให้เพื่อนถูก คาริม เบนเซมา ที่ตามมากดดันยกขาดักไว้ บอลติดขาเบนเซมาแล้วกระดอนเข้าประตูไปแบบงงกันทั้งสนาม แชมป์เก่านำ 1-0

นาที 55 ลิเวอร์พูลตีเสมอ 1-1 จากลูกเตะมุมฝั่งขวา เจมส์ มิลเนอร์ เปิดเข้ามาให้ เดยัน ลอฟเรน โขกชงไปหน้าปากประตู ซาดิโอ มาเน จึงปราดมาแหย่ขาจิ้มเข้าไป

นาที 61 นาโช เฟร์นานเดซ เปิดบอลเข้ามาให้ อิสโก จับแล้วพลิกยิง ลอริส คาริอุส ยังโดดปัดทิ้งได้ทัน

นาที 64 มาร์เซโล เปิดบอลจากฝั่งซ้ายเข้ามาให้ แกเร็ธ เบล ตีลังกายิงลูกจักรยานอากาศเข้าไปอย่างสุดสวย “ราชันชุดขาว” ออกนำอีกครั้ง 2-1

นาที 70 ซาดิโอ มาเน เกือบเป็นฮีโรของลิเวอร์พูลอีกครั้ง หลังยิงด้วยซ้ายจากนอกเขตโทษ บอลพุ่งเรียดไปชนเสาเต็มๆ

นาที 83 แกเร็ธ เบล ได้บอลเยื้องไปทางฝั่งขวา ก่อนตัดสินใจตะบันจากระยะไกล บอลตรงตัว ลอริส คาริอุส เหมือนไม่อันตรายแล้ว แต่คาริอุสกลับทุบบอลไม่ดีกระฉอกเข้าประตูไปเฉย สกอร์จึงห่างเป็น 3-1

จากนั้นไม่มีประตูเกิดขึ้นอีก จบเกมมาดริดเป็นฝ่ายชนะไป 3-1 คว้าแชมป์ไปครองเป็นสมัยที่ 3 ติดต่อกัน รวมเป็นแชมป์สมัยที่ 13 เข้าไปแล้ว

ขณะที่ คริสเตียโน โรนัลโด ซูเปอร์สตาร์มาดริด เป็นดาวซัลโวประจำการแข่งขันด้วยจำนวน 15 ประตู เป็นการได้ตำแหน่งนี้ 6 ฤดูกาลติดต่อกัน นับตั้งแต่ฤดูกาล 2012-13

นอกจากนี้ ซีเนอดีน ซีดาน เฮดโค้ชมาดริด ยังได้ชื่อว่าเป็นกุนซือคนแรกที่คว้าแชมป์รายการนี้ 3 สมัยติดกัน และถ้านับรวมสมัยยังค้าแข้งก็เป็นสมัยที่ 4 เข้าไปแล้ว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน