ความเคลื่อนไหวทีม “ช้างศึก” ฟุตบอลทีมชาติไทย ซึ่งเตรียมลงสนามเกมสุดท้ายของรอบแรก กลุ่มบี พบกับ อุซเบกิสถาน เจ้าของแชมป์เอเชีย รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี ทีมล่าสุด ที่ปากันซารี สเตเดียม ประเทศอินโดนีเซีย ในวันที่ 19 สิงหาคม เวลา 19.00 น.

โดยทีมชาติไทย รั้งอันดับ 2 มี 2 คะแนน ขณะที่อุซเบกิสถาน เก็บชัยชนะ 2 นัดรวดเก็บ 6 คะแนนเต็ม ผ่านเข้าสู่รอบสองเป็นแชมป์กลุ่มแน่นอนแล้ว ส่วนกาตาร์ และ บังคลาเทศ มีทีมละ 1 คะแนนเท่ากัน แต่ประตูได้-เสีย บังคลาเทศดีกว่า

“โค้ชเฮง” นายวิทยา เลาหกุล ประธานฝ่ายพัฒนาเทคนิค สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ กล่าวว่า หลังจากที่ได้ดูทีมชาติไทยชุดนี้ลงเล่น ปัญหาของชุดนี้เคยบอกไว้แล้วคือเรื่องของการรักษาความสม่ำเสมอ อย่างเกมแรกกับกาตาร์เล่นได้ดี แต่เกมสองกับบังคลาเทศนั้นเล่นแทบไม่ได้เลย สิ่งเหล่านี้มันเกิดจากเรื่องของจิตใจ รวมไปถึงความเข้าใจในเกม

โค้ชเฮง กล่าวต่อว่า เรื่องแบบนี้เป็นกันทุกชุด ไม่เว้นแม้กระทั่งทีมระดับสโมสร เพราะเรื่องของการควบคุมอารมณ์ ความรู้สึก เด็กๆ ชุดนี้ยังทำกันไม่ได้ นักเตะชุดนี้ยังต้องเรียนรู้เรื่องแท็กติกให้มากกว่านี้ เรียนรู้คุณสมบัติของตำแหน่งต่างๆ ถ้าหากว่าทุกคนเข้าใจ จะเล่นได้อย่างมั่นใจมากขึ้น เพื่อนำไปสู่ความสม่ำเสมอในการเล่น

โค้ชเฮง เผยอีกว่า มีหลายคน โดยเฉพาะผู้เล่นในแนวรุก อย่างเช่น “เต๋า”​ ธนาสิทธิ์ ศิริผลา, “เช็ค” สุภโชค สารชาติ, “อาร์ม” ศุภชัย ใจเด็ด หรือ “ยิม” วรชิต กนิตศรีบำเพ็ญ ที่สามารถก้าวขึ้นไปติดทีมชาติชุดใหญ่ได้ ส่วนตำแหน่งอื่นๆ เองก็ถือว่ามีโอกาส แต่ต้องกล้าเล่นให้มากกว่านี้

“สิ่งที่นักเตะเหล่านี้ต้องพัฒนาคือเรื่องความกล้าในการเล่น ความเข้าใจในแท็กติก จากนั้นก็ต้องพัฒนาเรื่องของความเร็ว ความแข็งแกร่ง ความเร็ว ยังต้องเสริมกันอีกเยอะ สิ่งที่จะสามารถพัฒนาผู้เล่นได้ดีที่สุดคือการให้โอกาสนักเตะเหล่านั้นได้ลงเล่น ถ้าหากในระดับสโมสรได้ลงต่อเนื่องก็มีโอกาสที่จะพัฒนาได้”

ประธานเทคนิคลูกหนังไทย กล่าวปิดท้ายว่า การตัดสินใจในเกม จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อได้ลงสนาม ไม่เกี่ยวว่าจะได้เล่นในตำแหน่งใด อย่างศุภชัย เล่นให้บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เป็นกองกลาง ก็จะได้เรียนรู้เกมมากยิ่งขึ้น อนาคตอาจจะเหมือน “มุ้ย” ธีรศิลป์ แดงดา ที่เล่นกองหน้าก็ได้ ลงมาล้วงบอลก็ได้ จะสามารถช่วยทีมได้เยอะ

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน