ความคืบหน้ากรณีดราม่า ในทัพฟันดาบไทย ชุดสู้ศึกเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 18 ที่ประเทศอินโดนีเซีย โดย เรืองฤทธิ์ แหเกิด นักกีฬาฟันดาบทีมชาติไทย มือ 1 ในประเภทเซเบอร์ ถูกถอดรายชื่อออกจากการเล่นประเภทเดี่ยวก่อนหน้าที่จะลงแข่งขันในวันที่ 20 ส.ค.นี้ เพียงไม่ถึง 12 ชั่วโมง โดย พันเอกชัยณภนท์ อเนกเวียง ซึ่งเป็นผู้จัดการทีมฟันดาบ ได้ใส่ชื่อของ สรวิศ กิจศิริบุญ ลงเล่นแทน ก่อนที่ พันเอก ชัยณภนท์ จะออกมาให้เหตุผลว่า เพราะอันดับในการแข่งขันเวิลด์ แชมเปียนส์ชิพ ที่จีน เมื่อเดือน ก.ค. สรวิศ มีคะแนนเป็นอันดับ 1 ของนักกีฬาไทย

ล่าสุดเมื่อ 22 ส.ค. เรืองฤทธิ์ แหเกิด นายสนั่น แสงสุวรรณ สต๊าฟโค้ช พร้อมคณะนักกีฬาฟันดาบอีก 12 คน ออกมาแถลงเพิ่มเติมในกรณีดังกล่าว

เรืองฤทธิ์ เผยว่า วันนี้อยากออกมาชี้แจง ให้ทุกอย่างจบในประเด็น เรื่องเงื่อนไขต่างๆ ที่ผู้จัดการทีมชี้แจงไปก่อนหน้านี้ ตนกับนักกีฬาทั้ง 12 คน และอีก 5 คนที่ไม่ได้อยู่ตรงนี้ รวม 18 คน จึงตัดสินใจออกมาพูด

“จากที่ผู้จัดการทีมออกมาบอกว่าจะเอาแมตช์ เวิลด์ แชมป์เปียนส์ชิพ ที่จีน เมื่อเดือนก่อน และชิงแชมป์เอเชีย ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ เป็นตัววัดว่าจะส่งชื่อใครลงในประเภทอะไรเข้าแข่งขันเอเชี่ยนเกมส์ ทุกคนยืนยันตรงกันว่าไม่เคยมีใครได้ยินอย่างนั้น มีเพียงว่าหากเก็บชัยชนะไม่ได้เลยในศึกชิงแชมป์เอเชียจะถูกตัดชื่อออกจากเอเชี่ยนเกมส์”

“อีกประเด็นเรื่องเปลี่ยนตัวที่ผู้จัดการทีมเอาแรงกิ้งในเวิลด์แชมเปียนส์ชิพมาวัดนั้น จากที่เห็นคือ สรวิศ มีคะแนนเป็นอันดับ 1 ของนักกีฬาไทยจริง โดยอยู่อันดับ 74 ถูกเปลี่ยนลงแทนผมซึ่งรั้งอันดับ 93 เป็นอันดับ 4 ของนักกีฬาไทย แต่ถ้าจะใช้หลักการนี้ ก็มีข้อสงสัยอีกว่า ทำไมอันดับ 2 ของนักกีฬาไทยอย่าง คณิศร แปงมูล ที่รั้งอันดับ 80 ถึงไม่ได้ถูกเปลี่ยนลงแทน วรกันต์ ศรีนวลนัด ที่ได้อันดับ 3 ของไทย และอันดับ 82 ในการแข่งขัน ดังนั้นเหตุผลนี้จึงฟังไม่ขึ้น”

“สุดท้ายคือในเวิลด์แชมเปียนส์ชิพ ที่เห็นว่า สรวิศ เก็บชัยได้ 2 แมตช์ และผมเก็บชัยได้ แมตช์เดียวนั้น เป็นรอบจัดอันดับเท่านั้นซึ่งผมอยู่ในสายที่แข็งกว่า และมีอาการเจ็บไหล่ด้วย หากจะวัดผลงานจริงๆต้องวัดที่รอบน็อกเอาต์ ซึ่ง สรวิศ จัดให้อยู่อันดับ 36 เจอกับอันดับ 29 แต่แพ้ขาด 5-15 ส่วนผมโดนจัดอยู่อันดับ 61 เจอกับมืออันดับ 4 ของรายการ ผมแพ้ 12-15 จะเห็นว่าหากวัดผลงานแบบลงลึกจริงๆผมคิดว่าผมดีกว่าด้วยซ้ำ”

“โอ๊ต” เรืองฤทธิ์ เผยอีกว่า หลังจากตนออกมาชี้แจงตรงนี้ คงทำให้เรื่องราวกระจ่างขึ้น แต่สุดท้ายคนที่เสียผลประโยชน์คือตนอยู่ดี เพราะรอคอยเอเชี่ยนเกมส์มานาน 4 ปี ความรู้สึกที่เสียไป ไม่อาจมีใครมารับผิดชอบ หรือเอาคืนมาได้

“ส่วนตัวไม่มีปัญหากับน้องสรวิศ และน้องก็ไม่ได้เกี่ยวข้องเลยกับเหตุการณ์นี้ ตอนนี้ผมกับน้องก็วางตัวลำบาก และอึดอัด ก็ไม่อยากให้น้องโดนมองในแง่ลบ เรื่องนี้เป็นเรื่องของผู้จัดการทีมที่ต้องเคลียร์ให้ชัดเจน เพื่อให้ผลกระทบที่ส่งผลต่อน้องหายไปด้วย”

เรืองฤทธิ์ เผยอีกว่า เมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้ แน่นอนว่ามันจะส่งผลต่อรายการที่เหลือแน่นอน เพราะทุกคนไม่เคยเจอแบบนี้ มันบั่นทอนทั้งร่างกาย และจิตใจ เพราะเครียดมากอย่างไรก็ตามพวกเรายังเป็นทีมเดียวกันอยู่ จะพยายามให้ดีที่สุด เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของทีมชาติไทยทุกคน

“ผมอยากให้มันเรื่องจบ มันไม่ควรยืดเยื้อ ผู้จัดการทีมควรจะมีสปิริต ออกมารับผิดชอบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สำหรับผมไม่ได้หวังให้ถึงขนาดลาออก แต่อยากเห็นการแก้ไข มากกว่าการออกมาแก้ต่าง ผมทำทุกอย่างถูกต้อง ไม่กลัวจะโดนลงโทษ​ และคิดว่าไม่ใช่ความผิดสมาคมฯเสียทีเดียว แต่มันเป็นความไม่ชัดเจน”

“จริงๆผมไม่อยากเลิกเล่น ผมรักกีฬานี้ เล่นมาตั้งแต่เด็ก และอยากช่วยสนับสนุนเพราะมีโอกาสที่กีฬานี้จะพัฒนาเรื่อยๆ หากมีโอกาสก็อยากไปซีเกมส์​ 2019 ด้วย แต่จากนี้คงต้องแก้ไขช่องโหว่ต่างๆ โดยเฉพาะกฏการคัดเลือกนักกีฬา ต้องมีการบอกกล่าว และมีหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษร”

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน