ลองคิดเล่นๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างหลังจากได้ชมกันสดๆ สำหรับผลงานของ “ช้างศึก”ทีมชาติไทย ในฟุตบอลถ้วยใหญ่สุดของเอเชียที่ยูเออี รีดฟอร์มเก่งช่วยกันเฉือนชนะบาห์เรน แบบสุดสะใจ 1-0 คว้า 3 แต้มแรกในรอบแบ่งกลุ่มได้สำเร็จ แล้วเกิดอะไรขึ้นจู่ๆ ทำไมทีมที่โดนถลุงยับจึงกลับมาได้เร็วถึงเพียงนี้ ลองมาหาปัจจัยกันดูดีกว่า

ลองคิดเล่นๆ ไปด้วยกัน

1.โค้ชต่างชาติไม่ได้ใจนักเตะ
อย่างที่ทราบดีว่าก่อนหน้านี้ทีมชาติไทยประสบความสำเร็จอย่างยิ่งยวดในระดับทีมชาติภายใต้การนำของกุนซือชาวไทย เก็บแชมป์ซีเกมส์ 3 ครั้งติดไล่ตั้งแต่ปี 2013 ที่เมียนมา ปี 2015 ที่สิงคโปร์ และปี 2017 ที่มาเลเซีย เข้าถึงรอบชิงอันดับ 3 เอเชียนเกมส์ปี 2014 ที่อินชอน เกาหลีใต้ ขณะที่ชุดใหญ่คว้าแชมป์ซูซูกิ คัพ 2014 และปี 2016 ตามด้วยเข้ารอบ 10 ทีมสุดท้ายเลือกฟุตบอลโลก 2018 โซนเอเชีย ได้สิทธิ์เล่นเอเชียน คัพ 2019 แบบอัตโนมัติ แม้ว่าจะมีรายการที่ไม่สมหวังบ้างแต่คิดเป็นเปอร์เซ็นต์แล้วน้อยกว่าที่ประสบผล

(AP Photo/Hassan Ammar)

การเปลี่ยนมาใช้โค้ชต่างชาติอย่าง มิโลวาน ราเยวัช ที่มีโปรไฟล์หรูเคยพากานา เข้าถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายฟุตบอลโลก 2010 ทำให้หลายคนเชื่อว่าจะช่วยยกระดับเกมรับของไทยที่โดนเจาะเป็นประจำได้อย่างดี แต่เอาเข้าจริงกลายเป็นว่าทีมไทยกลับเน้นเกมรับมากจนเกินงาม ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือรายการ เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2018 ที่ทำได้เพียงแค่รอบรองชนะเลิศ แถมเล่นแบบไม่ได้ใจแฟนบอลสุดๆ จนมีกระแสเรียกร้องให้ปลด จนวาระสุดท้ายมาถึงเมื่อเอเชียน คัพ นัดแรกกับอินเดีย จบลง สมาคมฟุตบอลประกาศกุนซือชาวเซิร์บพ้นตำแหน่งทันที พร้อมให้ “โค้ชโต่ย”ศิริศักดิ์ ยอดญาติไทย ขึ้นรักษาการ และให้ “โค้ชโชค”โชคทวี พรหมรัตน์ เป็นผู้ช่วย

ว่ากันว่ามีรอยร้าวเกิดขึ้นในทีมหลังจากจบซูซูกิ คัพ คือนักเตะไม่เชื่อใจราเยวัช อีกต่อไป แม้เกมกับอินเดียทุกคนจะเล่นเต็มที่สุดความสามารถ แต่เหมือนไม่มีใจไม่มีแรงขับก่อนพ่ายแพ้อย่างที่เห็น

2.โค้ชไทยรู้จักนักเตะและรู้วิธีการใช้งาน
การที่สมาคมแต่งตั้ง “โค้ชโต่ย” ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรและไม่น่ากังวลอะไรเลย อย่างแรกคงทราบกันดีว่า ศิริศักดิ์ ยอดญาติไทย เข้ารับตำแหน่งผู้ช่วยมิโลวาน ราเยวัช ทันทีที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นหัวหน้าโค้ช ดังนั้นอยู่กับทีมชุดนี้มาตลอด ได้เรียนรู้ทั้งวิธีการเล่นเกมรับจากกุนซือเซอร์เบีย และได้รู้จักกับนักเตะมาตลอด

(Photo by Karim Sahib / AFP)

ที่สำคัญใช่ว่าโค้ชโต่ยจะไม่มีความรู้ความสามารถ เพราะมีดีกรีจบโค้ชระดับโปรไลเซนส์ ของเอเอฟซี มาแล้ว ผ่านการเรียนรู้ การคุมทีมไทยลีกมานักต่อนัก อีกอย่างคือการให้ “โค้ชโชค” เข้ามาช่วย อย่าลืมว่านักเตะชุดนี้เกือบทั้งหมดเป็นผู้เล่นชุดเดียวกับตอนนี้โชคทวี เป็นผู้ช่วยของ “ซิโก้”เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ดังนั้นรู้จักนักเตะชุดนี้เป็นอย่างดี และขอบอกว่านักเตะชุดนี้รักและเคารพโชคทวีเป็นอย่างมาก

เมื่อทั้งสองคนมาร่วมมือกันรู้ดีว่าเด็กต้องการอะไร เล่นแบบไหน ประกอบกับที่นักเตะให้ใจ ไม่ว่าจะวางแผนหรือสั่งการแบบไหนย่อมได้รับการตอบสนองอย่างเต็มที่และผลงานออกมายอดเยี่ยม มีความกระหาย มีอิสระในการเล่น แต่ไม่ลืมที่เน้นเกมรับแล้วรอโต้กลับเหมือนเดิม เพียงแค่มีความหลากหลายมากกว่าที่ผ่านมา

3.สถานการณ์บีบให้ต้องเน้น
จากผลแข่งนัดแรกทำให้โอกาสที่ไทยจะเข้ารอบสองตามเป้าหมายที่สมาคมและแฟนบอลคาดไว้เริ่มเลือนรางเต็มที เพราะอีก 2 นัดเจอทีมจากชาติอาหรับทั้ง บาห์เรน และยูเออี เจ้าภาพ ซึ่งเป็นของแสลงนักเตะแดนสยามมาตลอด

(Photo by Karim Sahib / AFP)

อย่างไรก็ดีในทางกลับกันการที่แพ้นัดแรกแบบช็อกแฟนบอลกลับทำให้นักเตะมีความมุ่งมั่นมากขึ้นในเกมที่สอง เนื่องจากรู้ดีว่าถ้าไม่ชนะคงตกรอบรอนับถอยหลังเก็บของกลับบ้าน

ในทางกลับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้นักเตะไทยคลายความกดดันลงไปมาก เพราะรู้ดีว่าเล่นกับทีมที่อันดับโลกเหนือกว่า มีโอกาสที่จะแพ้มากกว่าชนะ ทำให้เล่นไม่เกร็งไม่กดดัน ตรงกับเกมพบอินเดียที่คนไทยเกือบทั้งหมดเชื่อว่าจะชนะแบบไม่ยาก

4.เล่นเพื่อชาติ
หลังจากจบเกมเท่าที่มองด้วยสายตา นักเตะทุกคนผ่านเกณฑ์การประเมินความสามารถอยู่ในระดับดี ถึงดีมาก นักเตะอย่าง ทริสตอง โด ที่ไม่เป็นโล้เป็นพายในนัดแรก คึกสุดๆ วิ่งเป็นม้าไม่มีหมด ทั้งเล่นรับเหนียวแน่น เติมเกมบุกได้หวือหวา เช่นเดียวกับ ชนาธิป สรงกระสินธ์ คีย์แมนคนสำคัญรีดฟอร์มการเล่นได้สมบูรณ์แบบ กลับมาครองบอลเหนียวแน่นแย่งยาก เซนส์การจ่ายบอลระดับชั้นนำ พามาสู่การสร้างจะหวังเกมรุกไหลลื่น แถมสอดเข้าไปยิงช่วยพาทีมเก็บชัยได้อีกต่างหาก

แต่ส่วนหนึ่งเชื่อว่านักเตะเล่นเต็มที่เพราะเป็นธงชาติไทยบนอกเสื้อ นั่นหมายความว่าทุกคนบนสนามและข้างสนามคือตัวแทนของคนไทยทั้งประเทศ ดังที่ ชนาธิป เคยกล่าวไว้ว่าถ้าชนะหมายความว่าชนะด้วยกันทั้งประเทศ แต่ถ้าแพ้นั่นคือคนไทยแพ้ทั้งประเทศเช่นกัน นี่เป็นอีกแรงหนุนส่งอย่างดีให้แข้งช้างศึกวิ่งแบบลืมตายอย่างที่เห็น

5.รูปแบบการเล่นที่ชัดเจน
เกมกับบาห์เรน ถ้ามีใครสังเกตให้ดีจะเห็นว่าเมื่อจบครึ่งเวลาแรกทีมชาติไทย มีการครองบอลที่น้อยมากแค่ราว 37 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ขณะที่ บาห์เรน สูงถึง 67 เปอร์เซ็นต์ แถมมีจังหวะยิงมากกว่าอย่างชัดเจน นั่นหมายความว่าช้างศึกยังเน้นการเล่นเกมรับเป็นหลัก เพียงแต่รูปแบบการเล่นรับนั้นเปลี่ยนไปพอสมควรกับยุคของ ราเยวัช โดยแมตช์นี้นักเตะได้เล่นในแบบที่ตัวเองถนัด

(Photo by Karim Sahib / AFP)

นอกจากนี้สิ่งที่น่าสนใจคือการเลือกใช้ทีมเวิร์กของนักเตะคุ้นเคยกันนั่นคือการเลือกใช้ผู้เล่นอย่าง สุพรรณ ทองสงข์, อดิศร พรหมรักษ์, ธีราธร บุญมาทัน, ทริสตอง โด, ธนบูรณ์ เกษารัตน์, ชนาธิป สรงสระสินธ์, อดิศักดิ์ ไกรษร, ธีรศิลป์ แดงดา บวกกับ ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ ซึ่งทั้งหมดเคยเล่นด้วยกันเมื่อครั้งอยู่ เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด ทำให้ปรับตัวเข้าหากันง่ายรู้ดีว่าเพื่อนกำลังคิดอะไรอยู่ทำให้เกมไหลลื่นกว่าที่ผ่านมา

อีกประการคือการเล่นเปลี่ยนผู้เล่นของโค้ชเมื่อต้องการเปลี่ยนเกม สามารถใส่ตัวสำรองลงไปในตำแหน่งที่นักเตะถนัด เล่นไม่สับสนหน้าที่ จึงทดแทนตัวจริงได้ในระดับที่ดีจนประสบความสำเร็จเก็บ 3 แต้มในที่สุด

จริงอยู่นี่เพียงนัดแรกเท่านั้นภายใต้การคุมทัพของ ศิริศักดิ์ ยอดญาติไทย แต่งานทีมชาติไทย ยังไม่จบ มีโปแกรมสำคัญรออยู่ในวันที่ 14 ม.ค. เมื่อจะต้องเจอกับกระดูกชิ้นใหญ่สุดในกลุ่มเอ นั่นคือพบกับยูเออี เจ้าภาพ หากทุกคนยังเล่นได้อย่างแมตช์ที่ผ่านมา รับรองว่าแฟนบอลจะได้เชียร์สนุกแน่นอน

 

โค้ชโต่ย ชี้แท็กติกใหม่ – ช้างศึกกลมเกลียว พา ไทยคว้าชัยเหนือบาห์เรน

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน