สมาคมฟุตบอลเคาะแล้ว 4 สนามจัดแข่งขัน 23 ปี ชิงแชมป์เอเชีย ขณะที่ “ช้างศึก” ล็อกสังเวียนเตะรอบแรกที่ “ราชมังคลากีฬาสถาน” ด้าน “โคราช” อกหักเพราะห่างไกลสนามบิน
เกาะติดข่าวกีฬา แค่กดติดตาม ไลน์@ข่าวสดกีฬา ที่นี่
สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย เตรียมเสนอชื่อ 4 สนามจัดแข่งขันฟุตบอลอายุไม่เกิน 23 ปี ชิงแชมป์เอเชีย 2010 ที่ไทยเป็นเจ้าภาพต้นปีหน้า ได้แก่ ราชมังคลากีฬาสถาน, ม.ธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต, สนามกีฬาสมโภชเชียงใหม่ 700 ปี และติณสูลานนท์ จ.สงขลา ให้ สมาพันธ์ฟุตบอลแห่งเอเชีย (เอเอฟซี) พิจารณาอนุมัติ
เอเอฟซี ให้สิทธิประเทศไทย เป็นเจ้าภาพศึก 23 ปีเอเชีย ต้นปีหน้า รายการนี้คัด 3 ทีม (ไม่รวมญี่ปุ่น) ไปแข่งขันฟุตบอลโอลิมปิกเกมส์ 2020 ที่กรุงโตเกียว ก่อนหน้านี้ เอเอฟซี ได้มาตรวจ 7 สนาม ได้แก่ ราชมังคลากีฬาสถาน, มธ.ศูนย์รังสิต, เอสซีจี สเตเดี้ยม, ลีโอ สเตเดี้ยม, สนามกีฬาสมโภชเชียงใหม่ 700 ปี จังหวัดเชียงใหม่, สนามเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษาฯ จ.นครราชสีมา และ สนามติณสูลานนท์ จ.สงขลา เพื่อจะคัด 4 สนาม
จากนั้นในการประชุมคณะกรรมการการกีฬาแห่งประเทศไทย(บอร์ด กกท.) เมื่อปลายเดือน มี.ค. ได้มีการอนุมัติงบประมาณ 571,372,500 บาท เพื่อซ่อมแซม 3 สนามคือ ราชมังคลากีฬาสถาน, สนามกีฬาสมโภชเชียงใหม่ 700 ปี และสนามกีฬาเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษาฯ จ.นครราชสีมา เพื่อใช้จัดศึกยู 23 เอเชีย โดยสนามที่โคราชจะปรับเพื่อใช้จัดกีฬาคนพิการทางการเคลื่อนไหวชิงแชมป์โลก ปี 2020 ด้วย ขณะที่สนามติณสูลานนท์ มีรายงานว่าองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ยินดีจัดสรรงบประมาณเพื่อซ่อมแซมให้เป็นไปตามมาตรฐาน ทว่ายังไม่มีการยืนยันว่าสนามใดจะได้ใช้จัดแข่งขัน
อย่างไรก็ตามล่าสุด ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สมาคมลูกหนังไทย ตัดสินใจเลือก 4 สนาม ได้แก่ ราชมังคลากีฬาสถาน, มธ.รังสิต, สนามกีฬาสมโภชเชียงใหม่ 700 ปี และติณสูลานนท์ ส่วนสนามที่โคราช หลุดโผไปเพราะว่าอยู่ห่างไกลจากสนามบินนานาชาติ นักกีฬา เจ้าหน้าที่ต้องเดินทางไกล โดยราชมังคลากีฬาสถาน จะเป็นสนามของกลุ่มของทีมชาติไทย
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า เอเอฟซี จะส่งเจ้าหน้าที่มาไทย ระหว่าง 29 เม.ย.-3 พ.ค.นี้ เพื่อประชุมร่วมกับสมาคมฯ และตรวจทั้ง 4 สนาม ก่อนจะประกาศอย่างเป็นทางการในช่วงดังกล่าวทันที จากนั้นแต่ละสนามก็ดำเนินการปรับปรุงให้แล้วเสร็จตามมาตรฐานก่อนเดือน พ.ย.
ส่วน 16 ทีมที่จะเข้าร่วมแข่งขัน ในช่วงเดือน ม.ค.ปีหน้า ได้แก่ ไทย (เจ้าภาพ), กาตาร์, บาห์เรน, อิรัก, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์(ยูเออี), จอร์แดน, อุซเบกิสถาน, เกาหลีเหนือ, เกาหลีใต้, ญี่ปุ่น, จีน, เวียดนาม, ออสเตรเลีย, อิหร่าน, ซีเรีย และ ซาอุดีอาระเบีย
