ตกผลึกบอลไทย คิดเห็นอย่างไรหลังจากที่ฟุตบอลเยาวชนทีมชาติไทย ผลงานน่าผิดหวังทั้งการแพ้กัมพูชาเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีของเยาวชน 18 ปี รวมถึงการไม่สามารถรักษามาตรฐานจะพลาดแชมป์อาเซียนในทีมเยาวชน 15 ปี

ตกผลึกบอลไทย – เมื่อเย็นวันที่ 9 ส.ค. เป็นอีกวันที่แฟนฟุตบอลทีมชาติไทย ต้องพบกับความผิดหวัง “ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า” อย่างที่ทราบกันว่าช่วงนี้มีโปรแกรมแข่งฟุตบอลระดับเยาวชนทีมชาติหลายรายการ และแน่นอนผลการแข่งขันของเยาวชนไทยนั้น ไม่เป็นที่น่าพอใจเท่าไหร่นัก

เกาะติดข่าวกีฬา แค่กดติดตาม ไลน์@ข่าวสดกีฬา ที่นี่
เพิ่มเพื่อน

เริ่มจากเยาวชนชิงแชมป์อาเซียน รุ่นอายุไม่เกิน 8 ปี ที่นครโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม “ช้างศึก” รุ่นเล็ก ภายใต้การนำของ “โค้ชหระ”อิสสระ ศรีทะโร ประเดิมแรกด้วยการทำได้เพียงกับเสมอสิงคโปร์ 1-1 ซึ่งภาพรวมต้องยอมรับว่ามาตรฐานของผู้เล่นไทยนั้น “ตก” อย่างน่าใจหาย เท่านั้นไม่พอ เมื่อถึงช่วงบ่ายวันที่ 9 ส.ค. การพบกับกัมพูชา ที่เชื่อเถอะว่าคนไทยทุกคนมองเป็นทีมรองบ่อน เป็นลูกไล่มาตลอด แต่สุดท้ายผลที่ออกมาช็อกกันทั้งประเทศ ไทยแพ้กัมพูชา 3-4 โอกาสลุ้นเข้ารอบรองชนะเลิศ ดูเลือนลางเหลือเกิน เพราะยังต้องเล่นกับทั้งออสเตรเลีย มาเลเซีย และเวียดนาม เจ้าภาพจัดการแข่งขัน หากพลาดแพ้อีกคงต้องยอมรับชะตากรรมว่าคงไม่ได้ไปต่อ

ขณะที่รุ่นเล็กสุดคือ เยาวชนชิงแชมป์อาเซียน รุ่นอายุไม่เกิน 15 ปี ที่ไทยเป็นเจ้าภาพผ่านเกมนัดชิงชนะเลิศไปเรียบร้อยแล้ว แน่นอนเราผิดหวัง กับการที่ไม่สามารถคว้าแชมป์ในบ้านตัวเองได้ ถ้าใครได้ดูเกมของทั้ง 18 ปี และ 15 ปี จะเห็นได้ว่ายังต้องปรับปรุงอีกมาก

เยาวชน 15 ปี นัดชิงชนะเลิศ เป็นฝ่ายขึ้นนำ “เสือเหลือง”มาเลเซีย แต่สุดท้ายยันไม่อยู่ ถึงกับแพ้ เรื่องลักษณะนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วตอนการเจอกันนัดสุดท้ายรอบแบ่งกลุ่ม ไทยต้องชนะมาเลเซีย เพื่อการเข้ารอบในฐานะแชมป์กลุ่ม เยาวชนไทยเป็นฝ่ายออกนำไปก่อน ในครึ่งแรกแถมเล่นดีกว่าชัดเจน แต่ช่วงครึ่งหลังกลับกลายเป็นคนละทีม โดนไล่กดดันจนเล่นผิดพลาดเองและโดนตีเสมอ ยังดีที่รอบรองชนะเลิศ ยังเอาชนะอินโดนีเซีย เข้าไปล้างตากับเสือเหลืองในรอบชิงชนะเลิศ

เหตุการณ์รอบชิงชนะเลิศเหมือนย้อนรอยรอบแรก เพราะเยาวชนไทยเป็นฝ่ายออกนำก่อน แต่แทนที่จะเล่นอย่างทีมได้เปรียบ กลับกลายเป็นเล่นด้วยความลนลาน การจ่ายบอล ยังขาดความแม่นยำ การเปลี่ยนจากรับเป็นรุกไม่มีความแน่นอนชัดเจน หรือแม้แต่การเล่นเกมรุกแล้วเปลี่ยนมาเล่นเกมรับยังไม่ตอบโจทย์ที่ใช่กับคำว่า “เบอร์หนึ่งอาเซียน” สุดท้ายทั้งที่นำอยู่ 1-0 จ่อคว้าแชมป์อยู่รอมร่อ กลับโดนคู่แข่งพลิกกลับมาชนะได้โชว์ถ้วยแชมป์ในแผ่นดินไทย

ถามว่าปัญหาเหล่านี้คืออะไร เหตุใด ทีมที่เคยพ่ายไทยย่อยยับกลับยัดเยียดความปราชัยกลับคืนได้อย่างน่าอดสู การขึ้นนำคู่แข่งแล้วไม่สามารถรักษาความได้เปรียบจนสุดท้ายเสียแชมป์ คงต้องดูเป็นกรณีไป

อย่างทีมเยาวชน 18 ปี ต้องบอกก่อนว่า “โค้ชหระ”อิสสระ ศรีทะโร อยู่กับทีมนี้มานานมาก เรียกว่ารู้ทุกอย่างเกี่ยวกับนักเตะ แล้วเหตุใดจึงทำได้เพียงเสมอกับสิงคโปร์ และที่สำคัญคือแพ้กัมพูชาแบบชนิดสู้ไม่ได้

รายการนี้ไม่ใช่ทัวร์นาเมนต์ใหญ่?
แน่นอนศึกชิงแชมป์อาเซียน เปรียบได้กับเอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ ไม่มีผลอะไรต่อเนื่อง แข่งจบคือจบ ดังนั้นการเรียกตัวนักกีฬาอาจจะเป็นเพียงการลองผู้เล่นใหม่ๆ อยากเห็นคนที่ไม่ค่อยได้เห็นว่าจะเล่นได้อย่างที่ต้องการหรือไม่ แต่เรื่องนี้อาจไม่จริงทั้งหมด ไม่มีใครที่ไปแข่งแล้วเอาคนที่ไม่เก่งไปแข่ง ไม่มีใครไม่อยากชนะ ไม่มีใครไม่อยากได้แชมป์ แม้จะไม่ได้มีความสำคัญกับการต่อยอดไปสู่ชิงแชมป์เอเชีย หรือชิงแชมป์โลก ทุกคนย่อมต้องการชนะ ดังนั้นการจะคิดว่าไม่เอาจริงคงไม่ใช่

อัตตา?
อัตตา หรือที่ภาษาสมัยใหม่มักใช้คือ “อีโก้” ความมั่นใจในตัวเองสูง ดูถูกคู่แข่ง เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญ แน่นอนการเจอกับกัมพูชา ในทีมเยาวชน 18 ปี เป็นใครต้องคิดว่าไทยชนะแน่ จึงไม่แปลกที่โค้ชจะเปลี่ยนผู้เล่นจากเกมนัดแรกที่เสมอสิงคโปร์ ถึง 9 ตำแหน่ง เพราะเชื่อว่าเอายู่ เช่นเดียวกับนักเตะ เห็นได้จากการเล่นในสนามการเล่นเป็นทีมน้อยมาก การหาพื้นที่ให้เพื่อนจ่ายบอลได้ง่ายแทบไม่มี ยิ่งการลงมาช่วยเกมรับด้วยแล้วต้องบอกว่าแย่ การเสียประตูให้กับกัมพูชานัดนี้ ชี้ให้เห็นได้ชัดว่านักเตะไทยประมาทเกินไป การโดนกระชากแบบหลุดเดี่ยว การโดนวางยาวแล้วหลุดเข้าไปยิง ไม่มีผู้เล่นรายอื่นของไทยลงมาช่วยเกมรับเลย ผลสุดท้ายอย่างที่เห็นกัน

ผู้เล่นไม่ใช่ชุดที่ดีที่สุด?
เรื่องคล้ายๆ กับหัวข้อแรก เพียงแต่มีข้อปลีกย่อยเพิ่มเติม นั่นคือต้นสังกัดของนักเตะ แน่นอนว่าโค้ชต้องการได้ผู้เล่นคนที่คิดว่าดีที่สุดไปร่วมทัวร์นาเมนต์ แต่อย่าลืมว่าเด็กเหล่านี้ยังต้องรับใช้ต้นสังกัด อายุ 15 ปี ยังเรียนระดับมัธยมศึกษา ซึ่งโรงเรียนเหล่านี้มีโปรแกรมแข่งถ้วยสำคัญๆ ในประเทศอีกเพียบ เพื่อสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเอง การที่จะปล่อยใครในช่วงมีแข่งเป็นเรื่องยาก นักเรียนต้องเตะให้โรงเรียนก่อน เพราะทุกคนเรียนฟรีจากทุนนักกีฬา การปฏิเสธทีมชาติย่อมมีโอกาสเป็นไปได้ เช่นเดียวกับเยาวชน 18 ปี บางคนเพิ่งเข้ามหาวิทยาลัย และหลายคนเข้าสู่อคาเดมีของสโมสรอาชีพแล้ว หากมหาวิทยาลัย หรือต้นสังกัดไม่เห็นด้วยกับการไปเล่นชิงแชมป์อาเซียน นักเตะไม่มีทางปฏิเสธได้ จึงไม่แปลกที่โค้ชจำเป็นต้องใช้ทรัพยากรณ์เท่าที่มี ผลงานจึงออกมาอย่างที่เห็น

ความสามารถโค้ช?
นี่เป็นอีกปัจจัยสำคัญ คือโค้ชผู้คุมทีมสามารถดึงศักยภาพของนักเตะ “เท่าที่มี” ออกมาได้มากแค่ไหน ทั้ง ซัลบาดอร์ บาเลโร การ์เซีย ของทีมเยาวชน 15 ปี และ “โค้ชหระ” กับทีม 18 ปี ยังไม่ตอบโจทย์ตรงนี้ อย่างซัลบาดอร์ ยังดีที่พาทีมผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศได้ แม้สุดท้ายจะแพ้อาจจะพูดได้ว่าฟุตบอลทุกอย่างไม่สามารถกำหนดหรือคาดเดาได้ แต่การเล่นในสนามบ่งบอกชัดเจนว่านักเตะไทยเล่นแบบเดิม นำแล้วโดนกดดันไม่สามารถเอาตัวรอดได้ ถึงขนาดเล่นลูกเกเร ไล่ชกต่อยคู่แข่ง นั่นหมายความว่า “โค้ช” ยังไม่สามารถทำให้ผู้เล่นไปอยู่ในจุดที่ดีกว่าปัจจุบันได้ เช่นเดียวกับ “โค้ชหระ” อยู่กับทีม 18 ปี มานาน ต้องรู้แล้วว่านักเตะคนไหนเล่นแบบไหน ทีมชุดนี้ต้องการเล่นแบบสไตล์ใด ทำไมจึงไม่สามารถทำให้ทีมเล่นได้ดีกว่าการโดนไล่ถล่ม แบบไม่มีสไตล์การเล่นชัดเจน

ปัจจัยอื่น?
ฟุตบอลไม่มีอะไรคาดเดาได้ การเล่นในสภาพอากาศ สภาพสนาม สภาพร่างกาย แผนการเล่น แต่ละนัดไม่เหมือนกัน การจะโทษว่าแพ้เพราะไม่คุ้นชินสนาม อย่าลืมว่าคู่แข่งเล่นสนามเดียวกัน นักเตะไม่เข้าใจแท็กติก นี่คือความผิดผู้ฝึกสอน ถึงตอนนี้คงต้องมองภาพรวมแล้วว่าสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ จะปรับแก้อะไรแบบไหน จะช่วยโค้ชอย่างไรให้ได้นักเตะที่ดีที่สุดมาใช้งานในครั้งหน้า หรือจะมีใครที่ดีกว่าโค้ชคนปัจจุบัน

อย่าลืมว่านี่เป็นเพียงชิงแชมป์อาเซียน เพราะทั้งสองชุดนี้ยังมีโปรแกรมสำคัญนั่นคือ ชิงแชมป์เอเชีย รอบคัดเลือก และบอกเลยว่าไม่ง่าย อย่างทีมเยาวชน 15 ปี ต้องเตรียมเล่นรอบคัดเลือกเยาวชน 16 ปี ชิงแชมป์เอเชีย ที่เมียนมาร์เป็นเจ้าภาพที่สำคัญในสายมีทั้งเมียนมาร์ และเกาหลีใต้ อยู่ในสาย รวมถึงไต้หวัน ส่วนยู-19 ต้องเล่นรอบคัดเลือกชิงแชมป์เอเชีย ที่กัมพูชา ในกลุ่มจี ร่วมกับกัมพูชา ที่เพิ่งแพ้ไปหมาดๆ มาเลเซีย, บรูไน และ หมู่เกาะนอร์ธเทิร์น มาเรียนา

ถ้าจะใช้คำเดิมที่คุ้นชินอย่าง “เป็นบทเรียน” ป่านนี้นักเตะหลายคนคงจบด็อกเตอร์กันหมดแล้ว สิ่งที่ต้องทำคือ ทำอย่างไรให้ทั้งสองทีมนี้กลับมาสร้างความหวังที่สดใสให้กับแฟนบอลไทยได้อีกครั้ง เพราะหลายปีแล้วที่ฟุตบอลชายทีมชาติไทยไร้ความสำเร็จให้ชื่นชม

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน