หากจะมีการเปรียบเปรยฮีโร่สักคน เพื่อยกเป็นอย่างสำหรับ นักมวย หรือ นักกีฬา ตลอดจนบุคคลทั่วไป เรื่องราวที่หลายคนอาจยังไม่เคยรับรู้ ของ “นริศ เชี่ยวน้อย” หรือ ชาติชาย อดีตแชมป์โลกชาวไทยคนที่สอง ผู้ล่วงลับ นับได้ว่า ควรค่าแก่การยกย่องและนับถืออย่างแท้จริง


ชาติชาย เป็นนักมวยสากลอาชีพที่ไม่เคยผ่านการชกมวยไทยมาก่อน แต่ ในช่วงยุคแรกๆของการเทิร์นโปร เคยเดินทางไปต่อยถึงประเทศกัมพูชา ในยุคเขมรเสรีก่อนจะปิดประเทศกลายเป็นคอมมิวนิสต์
และการที่เขาได้ “ขมองใส” เกากิม หลิน แมตช์เมคเกอร์ชาวจีนสิงคโปร์ (ต่อมาโอนสัญชาติเปลี่ยนชื่อเป็น ทวิชย์ จาติกวนิชย์) พาตระเวนไปชกในต่างแดนทั้งใน ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ ฯลฯ) หลายสิบไฟต์ บางครั้งต้องไปใช้ชีวิตอยู่ในญี่ปุ่นยาวนานถึง 6 เดือน ทำให้เขาเป็น นักมวยไทยที่พูดได้ทั้งภาษาอังกฤษ และญี่ปุ่นอย่างคล่องแคล่ว

ชาติชาย จึงถือเป็น”นักมวยอาชีพ”ตัวอย่างที่ตระเวนชกไปทั่วโลก ก่อนจะถูกคนไทยด้วยกันดึงตัวกลับมาสรรสร้างสู่บัลลังก์โลกอย่างจริงจัง และกลายเป็นแชมเปียนโลกชาวไทยคนที่สองต่อจากโผน กิ่งเพชร
ชาติชาย เป็นตัวอย่างในเรื่องของ”ความรัก” แม้จะเคยไปใช้ชีวิตอยู่ในญี่ปุ่นนานแรมเดือน มีหญิงสาวชาวอาทิตย์อุทัยอย่าง “ทาคาโกะ” มาติดพัน แต่ยอดนักชกไทยจากลุ่มน้ำเจ้าพระยา ก็จำต้องตัดใจปฏิเสธความสัมพันธ์ เพราะยึดมั่นต่อคำสัญญาที่มีต่อ “คุณอู๊ด” สิรินทร สาวไทยคนรักที่รู้จักกันมาตั้งแต่วัยเรียน และครองคู่อยู่ร่วมกันมาตลอด 40 กว่าปี จวบจนสิ้นอายุขัย (จากคำบอกเล่าที่เคยให้การไว้ในสัมภาษณ์ของ สว่าง สวางควัฒน์ บก.สื่ออาวุโสในนิตยสาร ไฟเตอร์)

เรื่องของ “ความรัก” เป็นเรื่องที่ล้ำลึกและละเอียดอ่อน บางครั้งซับซ้อนยากจะอธิบาย ชีวิตรักในวัยหนุ่มของ ชาติชาย กับ สิรินทรา ถูกครอบครัวฝ่ายชาย โดยเฉพาะผู้พ่อชาติชายนั้นกีดกันมาโดยตลอด เนื่องจาก ทางบ้านได้ต้องพึ่งพารายได้จากการชกมวยในต่างแดนของชาติชาย จึงไม่อยากให้ข้องเกี่ยวกับฝ่ายสาว ความกดดันต่างๆเหล่านั้น เมื่อไม่มีทางออก กลายเป็นแรงบีบบังคับให้ ยอดนักชกใจเพชรคิดสั้นฆ่าตัวตาย ด้วยการกระโดดลงจากโต๊ะใช้ศีรษะพุ่งโหม่งโขกใส่พื้นบ้าง กระแทกกำแพงบ้างจนสลบเหมือด หรือแม้กระทั่งหันไปดื่มสุราจนเมามายแล้วนอนกลางถนนหวังจะให้รถทับให้ตาย ก็เคยทำมาแล้ว

 

 

ชาติชายต้องตกตาชั่ง ทำให้ตำแหน่งแชมป์โลกว่างลง แต่เมื่อขึ้นไปต่อสู้บนเวที เขาก็ยังพยายามต่อสู้อย่างถึงที่สุด ไม่ยอมทิ้งตัวง่ายๆ จนกระทั่งตัวเองหมดเรี่ยวแรง ไม่สามารถจะยืนหยัดสู้ได้อีกต่อไป ทั้งที่เขาเคยชนะคะแนน ฮานากาตะมาแล้วซ้ำ แต่เพราะสภาพร่างกายที่โรยราดังที่ว่า เขาเสียใจถึงกับกอดกรรมการรูดขาล้มพับลงร่ำไห้ เป็นที่น่าเวทนาแก่ผู้ชมชาวญี่ปุ่นในเวทีวันนั้นเป็นอย่างยิ่ง มันแสดงให้เห็นถึง ความมีใจสู้เกินร้อย และไม่ยอมให้เสียชื่อเสียง ไม่ยอมให้เสียศักดิ์ศรีของประเทศชาติ

เมื่อความรักสุกงอม จนยากจะถอนตัว หนุ่มสาวทั้งสองจึงตัดสินใจพากันหนีไปใช้ชีวิตด้วยกัน พร้อมกับชกมวยหาเลี้ยงตัวและแฟนสาว กระทั่งมีทายาทลูกชายคนแรก จึงกลับไปขอขมาครอบครัวพร้อมทั้งซื้อบ้านหลังใหม่ให้กับพ่อแม่ โดยตัวเองก็แยกออกมาปลูกบ้านอยู่ตามลำพัง เป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อบุพการี และครอบครัวคนรักของตนที่ใช้ความอดทน และต่อสู้ชีวิตหารายได้มาจุนเจือด้วยการค้ากำปั้นล้วนๆ

 

 

 

 

 

 

 

 

ตลอดระยะเวลาการชกมวยนานถึง 16 ปี ชาติชาย ต้องชกอยู่ในพิกัดน้ำหนักตัว 112 ปอนด์ โดยตลอด จากคำยืนยันของ อ.สุดใจ สัพพะเลข เทรนเนอร์คนสุดท้ายที่เข้ามาช่วยเทรนในช่วงปลายของอาชีพชกมวย เล่าให้ฟังว่า “นริศ เป็นคนที่กตัญญูต่อครูเป็นที่สุด อย่างวันหนึ่งซ้อมมวยเสร็จเขาถอดกางเกงมวยที่ชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อพาดไว้ข้างเวที ผมเองมาเก็บเพื่อจะเอาไปซักให้ เขามาเห็นเข้ายังตวาดขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่ บอกว่า อย่า ครูอย่าทำอย่างนี้ ผมทำเองครับ ให้ผมซักเอง..!!”

ชาติชาย ต้องอดข้าวนานถึงสามเดือน ไม่เคยแตะต้องข้าวแม้แต่เม็ดเดียว เวลาจะกินก็จะใช้เนื้อสเต็กย่าง แล้วคั้นเลือดสดๆ กินเฉพาะแค่หยดเลือดเท่านั้น

ในเรื่องของการเก็บตัวทำน้ำหนัก ก่อนขึ้นชกถือเป็นเรื่องหนักหนาสาหัสไม่น้อยไปกว่าการชกมวย หนำซ้ำบางครั้งอาจดูจะเลวร้ายเสียยิ่งกว่า เมื่อได้รับการยืนยันจาก ปรมาจารย์สุดใจอีกว่า “การป้องกันตำแหน่งแต่ละครั้ง ชาติชาย ต้องอดข้าวนานถึงสามเดือน ไม่เคยแตะต้องข้าวแม้แต่เม็ดเดียว เวลาจะกินก็จะใช้เนื้อสเต็กย่าง แล้วคั้นเลือดสดๆ กินเฉพาะแค่หยดเลือดเท่านั้น นี่คือเรื่องจริงที่ครูยืนยันได้จากปากตัวเอง เขาเป็น แชมป์โลกที่มีจิตใจธาตุทรหด อดทนเป็นที่สุด ชนิดที่ไม่มีใครเหมือนและทำได้เท่านี้อีกแล้ว”

วันที่เขา บินไปชกที่ญี่ปุ่นและป้องกันตำแหน่งกับ ซูซูมุ ฮานากาตะ เขาทำน้ำหนักไม่ลด ทั้งที่เคยชนะคะแนน ฮานากาตะ มาแล้วด้วยซ้ำเพราะสภาพอากาศที่หนาวเย็นท่ามกลางหิมะตกหนัก ยุคสมัยนั้น มวยต้องชั่งน้ำหนักในตอนเช้าแล้วชกกันตอนเย็นช่วงค่ำ ปรากฏ ชาติชายต้องตกตาชั่ง ทำให้ตำแหน่งแชมป์โลกว่างลง แต่เมื่อขึ้นไปต่อสู้บนเวที เขาก็ยังพยายามต่อสู้อย่างถึงที่สุด ไม่ยอมทิ้งตัวง่ายๆ จนกระทั่งตัวเองหมดเรี่ยวแรง ไม่สามารถจะยืนหยัดสู้ได้อีกต่อไป ทั้งที่เขาเคยชนะคะแนน ฮานากาตะมาแล้วซ้ำ แต่เพราะสภาพร่างกายที่โรยราดังที่ว่า เขาเสียใจถึงกับกอดกรรมการรูดขาล้มพับลงร่ำไห้ เป็นที่น่าเวทนาแก่ผู้ชมชาวญี่ปุ่นในเวทีวันนั้นเป็นอย่างยิ่ง มันแสดงให้เห็นถึง ความมีใจสู้เกินร้อย และไม่ยอมให้เสียชื่อเสียง ไม่ยอมให้เสียศักดิ์ศรีของประเทศชาติ อย่างแท้จริง…” อ.สุดใจ ผู้สร้างแชมป์โลกมาแล้วมากมาย รวมทั้ง สด จิตรลดา,เมืองชัย กิตติเกษม ,สามารถ พยัคฆ์อรุณ ฯลฯ เล่าถึงความหลังเมื่อครั้งได้ร่วมงานกับ แชมป์โลกคนที่สองของไทย

นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่ง จากปากคำผู้ร่วมในเหตุการณ์ เมื่อสมัยที่ ชาติชาย ยังคงมีชีวิต ไม่ว่าจะเป็น เรื่องส่วนตัว ความมีระเบียบวินัย ความยึดมั่นในความรัก และความกตัญญูต่อบุพการี รวมไปจนถึง ความทุ่มเทอุทิศตัวและหัวใจ แบกภาระชื่อเสียงของประเทศชาติยืนหยัดขึ้นต่อสู้ เพื่อศักดิ์ศรีของคนไทย จนโลกยอมรับ และยกย่องให้เขา เป็น ยอดนักชก ผู้ได้รับฉายาว่า “มาร์เซียโน่น้อย แห่งภาคตะวันออก(เอเชีย)” นับแต่นั้นมา ถือเป็นแม่แบบทั้งในด้านการยึดมั่นในวิชาชีพ ไม่เคยคิดคดทรยศ ล้มมวย หรือแม้แต่ จะ”ทิ้งตัว” ตลอดจนการใช้ชีวิตส่วนตัว การเก็บหอมรอมริดจนสามารถ สร้างครอบครัวเป็นปึกแผ่นได้ในบั้นปลายของชีวิตการชกมวย

 

นี่ยังไม่รวมชีวิตส่วนตัว ที่ได้เคยรับพระมหากรุณาธิคุณ จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงโปรดให้เข้าพบเป็นการส่วนพระองค์อีกหลายครั้ง ดังจะขยายความให้ทราบในลำดับต่อไป สำหรับวันนี้ ขอกล่าวคำว่า สวัสดี

*ปล. กำหนดสวดพระอภิธรรม ชาติชาย เชี่ยวน้อย ที่วัด พระศรีมหาธาตุ บางเขน ศาลา 6 เวลา 18.30 น. ถึงค่ำวันเสาร์ที่ 27 มกราคม 2561 เป็นคืนสุดท้าย ก่อนจะอุทิศร่างเป็น “อาจารย์ใหญ่” ให้แก่ จุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย เพื่อนำไปเป็นวิทยาทาน ด้านการศึกษาต่อไป

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน