ความเคลื่อนไหวทีม “ช้างศึก” ฟุตบอลทีมชาติไทย ชุดใหญ่ ที่เตรียมลงสนามในศึกฟุตบอลโลก 2026 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย กลุ่มซี นัดที่สอง บุกไปเยือน สิงคโปร์ ที่สนามกีฬาแห่งชาติสิงคโปร์ ในวันที่ 21 พฤศจิกายนนี้ เวลา 19.00 น. (ตามเวลาประเทศไทย) ถ่ายทอดสดทางช่อง 32
ล่าสุดเมื่อวันที่ 18 พ.ย. มาโน่ โพลกิ้ง หัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติไทย นำลูกทีมลงฝึกซ้อมที่บีจี เทรนนิ่ง เซนเตอร์ โดยมีนักเตะลงฝึกซ้อม 24 คน ขาดพรรษา เหมวิบูลย์ ที่เจ็บจนถอนตัวไปก่อนหน้านี้ ในขณะ “เมสซี่เจ” ชนาธิป สรงกระสินธ์ ยังคงอยู่กับทีมฟื้นฟูสภาพร่างกายจากอาการบาดเจ็บข้อเท้า แต่ไม่ได้ลงฝึกซ้อมกับเพื่อนๆ ส่วน “มุ้ย” ธีรศิลป์ แดงดา สามารถลงซ้อมได้และมีลุ้นลงเล่นในเกมกับสิงคโปร์ หลังจากเกมแรกมีชื่อสำรองแต่ไม่ได้ลงสนาม
ด้าน “มาดามแป้ง” นวลพรรณ ล่ำซำ ผู้จัดการทีมชาติไทย เผยถึงอาการบาดเจ็บของ ชนาธิป และพรรษา ว่า “เรื่องอาการบาดเจ็บเป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากให้เกิด แต่ในเมื่อเกิดขึ้นแล้ว แป้ง ในฐานะผู้จัดการทีม แป้งพร้อมดูแลน้องทั้งสองอย่างเต็มที่ เหมือนเช่นที่ดูแลนักเตะทีมชาติไทยทุกคน ในทุกๆ ทัวร์นาเมนต์ที่ผ่านมา เพราะเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบหลักของผู้จัดการทีมในการดูแลทุกข์สุขของทีมให้ดีที่สุด โดยในส่วนของเจ (ชนาธิป) แป้งก็ได้ตามไปดูอาการด้วยหลังจบเกมที่โรงพยาบาลกรุงเทพ ซึ่งดีที่ผลตรวจออกมาว่า ไม่พบรอยแตกหักใหม่บริเวณข้อเท้าซ้าย และต้องใช้เวลาพักฟื้นประมาณ 2 สัปดาห์ ทำให้คงไม่ได้เดินทางไปกับทีมที่สิงคโปร์ด้วย”
“เช่นเดียวกับ โย่ง (พรรษา) ที่ได้รับการตรวจตั้งแต่หลังจบเกม ปรากฎว่าพบกระดูกช้ำบริเวณหน้าเข่า และเอ็นอักเสบ ต้องใช้เวลาพักประมาณ 2 สัปดาห์เช่นกัน ซึ่งล่าสุดได้เดินทางกลับไปรักษาตัวต่อที่บุรีรัมย์แล้ว โดยแป้งต้องขอขอบคุณน้องทั้งสอง ที่มุ่งมั่น ทุ่มเทเพื่อทีมชาติไทย รวมถึงขอโทษ และขอบคุณไปยังสองต้นสังกัดของทั้งคู่อย่าง บีจี ปทุม และ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ด้วยที่เข้าใจ แป้งหวังว่าทั้งคู่ จะฟื้นตัวกลับมาแข็งแรงโดยเร็ว และแป้งจะคอยติดตามอาการบาดเจ็บของทั้งคู่อย่างใกล้ชิด และพร้อมดูแลทุกด้านอย่างเต็มที่”
“ส่วนผู้เล่นที่จะทดแทน เจ และโย่งนั้น เป็นหน้าที่ของมาโน่ในฐานะโค้ชเป็นผู้ตัดสินใจ เพราะเราได้เตรียมเก็บตัวผู้เล่นและซ้อมกันมา 26 คน คือเรียกเก็บตัวมาเกินไว้ 3 คน เผื่อเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น ซึ่งก็ต้องขอขอบคุณไปยังทุกสโมสรที่ให้ความร่วมมือและสนับสนุนในการปล่อยตัวด้วยค่ะ” มาดามแป้ง ปิดท้าย
ส่วน “โค้ชเตี้ย” สะสม พบประเสริฐ อดีตนักฟุตบอลทีมชาติไทย และคอมเมนเตเตอร์ด้านฟุตบอล ให้ความเห็นว่า ในเกมกับจีนทีมชาติไทยถือว่ามีวิธีการเล่นที่ดีแต่ขาดความหลากหลายในแดนสุดท้าย ด้วยความที่ไม่มีกองหน้าตัวเป้าอาชีพลงสนามอยู่ ซึ่งมันมีผลอยู่แล้ว
“ประเด็นต่อมาคือจังหวะรุกเราเสียบอลแล้วเราจัดการได้ไม่ดี เรื่องนี้เป็นมาพักหนึ่งแล้วตั้งแต่ตอนไปทัวร์อาหรับ (เดือนมีนาคม) เราจะเอาประตูแต่กลับไม่รู้วิธีป้องกัน จริงๆ เรื่องแบบนี้เป็นทุกทีมแต่มันต้องมีการจัดการที่ดีกว่านี้ เช่นตัดเกม, ตัดฟาล์ว ในเกมกับจีนเราโดน 4-5 ครั้ง ถ้าเล่นกับอาเซียนจังหวะแบบนี้อาจจะไม่เสีย แต่นี่มันเกือบท็อปเอเชีย แล้วดูการเข้าทำของจีนประตูแรกมันมาจากการซ้อมล้วนๆ” โค้ชเตี้ย กล่าว
เมื่อถามถึงโอกาสเข้ารอบสามของทีมไทย โค้ชเตี้ย กล่าวว่า ในฐานะโค้ช สถานการณ์ตอนนี้เหมือนทางตันแต่จริงๆ ยังมีโอกาส เริ่มคือต้องบุกชนะสิงคโปร์ให้ได้ก่อน แล้วให้เกาหลีใต้ชนะจีน เพื่อให้ทุกอย่างกลับมาเท่ากัน จากนั้นจะทำอะไรก็รีบทำซะ อีก 4 เกมที่เหลือ 2 นัดเกาหลีใต้ขอสัก 1 แต้ม กับสิงคโปร์ในบ้านไม่น่าพลาดอยู่แล้ว และภารกิจสุดท้ายคือชนะจีน ซึ่งอาจจะไม่ต้องถึงชนะก็ได้ แต่วิธีนั้นต้องยืมจมูกคนอื่นหายใจ
“ตามทฤษฎีหรือปฏิบัติเองมันยังไม่มืดมิดทีเดียว มันแค่เราคาดคะเนกันไปเอง แต่เราไปเยือนจีนก็มีโอกาสเช่นกัน ทุกคนกำลังร้อนรน มีแต่เรื่องแย่ๆ ถาโถมเข้าใส่ทีม ซึ่งต้องให้กำลังใจเด็กๆ เอาชนะสิงคโปร์ให้ได้ ถ้าไม่ชนะสิงคโปร์ก็คือจบ การแพ้จีนเหมือนอุบัติเหตุ เข้าไอซียูอยู่ แต่ถ้าสิงคโปร์ไม่ชนะนี่ก็ขึ้นเมรุเผาได้เลย” โค้ชเตี้ย กล่าว
อดีตกุนซือชลบุรี เอฟซี กล่าวในตอนท้ายว่า “ตอนนี้อยากฝากว่าแพ้นัดเดียวแต่กระแสเล่นงานคนทำทีมหนักมาก อยากให้ช่วยพะยุงคนทำทีมหน่อย ตอนนี้คนทำเหลือไม่เยอะแล้ว มันใกล้ถึงจุดที่ทำไปเพื่ออะไร ทำแล้วก็โดนด่า บางทีก็เปลี่ยนมาเป็นให้กำลังใจกันบ้าง คนทำฟุตบอลจะเดินออกกันหมดแล้ว”
ทั้งนี้ นักเตะทีมชาติไทย จะออกเดินทางไปยังประเทศสิงคโปร์ ในช่วงเช้าวันที่ 19 พฤศจิกายน จากนั้นจะลงฝึกซ้อมในช่วงเย็นต่อทันที เพื่อเตรียมพร้อมเจอกับ สิงคโปร์ ในวันที่ 21 พฤศจิกายน