หุ้นBEM– วันที่ 7 ส.ค.ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการเปิดตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศเมื่อช่วงเช้า ปรากฎว่า หุ้นของบริษัททางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยช่วงเวลา 13.00 น. ปรับขึ้นถึง 0.60 บาทต่อหุ้น อยู่ที่ระดับ 11.00 บาท เพิ่มขึ้น 5.77 เปอร์เซ็นต์ จากที่เปิดตัวที่ 10.40 บาท ในช่วงเช้า

โดยบล.เคทีบี (ประเทศไทย) วิเคราะห์ว่า การที่หุ้นของ BEM ปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง น่าจะมีผลจากการประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาการขยายสัญญาสัมปทานทางด่วนและรถไฟฟ้า สภาผู้แทนราษฎร เชิญผู้แทนจากบมจ.ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ (BEM) มาชี้แจง พร้อมทั้งผู้แทนสถาบันวิจัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในฐานะที่ปรึกษาการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) เข้าให้ข้อมูลด้วย ภายหลังจากจบการชี้แจงของผู้แทน BEM ประธานและรองประธาน กมธ. รวมถึง กมธ.หลายราย เห็นด้วยว่าแนวทางการเจรจากับ BEM ที่ลดค่าเสียหายลง ถือว่ามาถูกทาง ในการช่วยบรรเทาความเสียหายของรัฐและยึดประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง

พร้อมแนะนำ “ซื้อ”หุ้น BEM โดยมีมุมมองเป็นบวกต่อข่าวดังกล่าว คาดว่าการยืดอายุสัมปทานจะยังคงเดินหน้าต่อไปเพื่อแก้ข้อพิพาท ขั้นตอนต่อไป กระทรวงคมนาคมจะนำเสนอ ครม. เพื่อการอนุมัติ ขณะที่รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยายเริ่มเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในเดือน ก.ย.2562 โดยคาดว่าจะเสริมปริมาณผู้โดยสารให้เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะการเดินทางไปเยาวราช รวมถึงจรัญสนิทวงศ์และบางหว้าที่จะมีผู้ต้องการใช้รถไฟฟ้ามาก พร้อมประเมิน BEM จะมีกำไรปกติปี 2562 ประมาณ 3.7 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 17% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน ให้ราคาเป้าหมายที่ 12.10 บาท

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 6 ส.ค. นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม ลงนามในคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการ 1 ชุด โดยให้นายชัยวัฒน์ ทองคำคูณ ปลัดกระทรวง เป็นประธานเพื่อศึกษาและจัดทำแนวทางการแก้ไขปัญหาค่าโง่ทางด่วน จากกรณีที่ศาลปกครองสูงสุดสั่งให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทย(กทพ.)ชดใช้ค่าเสียหายแก่ บริษัททางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ บีอีเอ็ม เนื่องจากมีการสร้างทางแข่งขัน และไม่อนุมัติให้บีอีเอ็มปรับขึ้นค่าผ่านทางตามสัญญา

ทั้งนี้จะต้องไปศึกษาข้อมูลตั้งแต่ผลการศึกษาการดำเนินโครงการ การจัดทำร่างทีโออาร์ และการปฏิบัติตามสัญญาว่าเป็นอย่างไร รวมทั้งต้องนำเสนอแนวทางในการการแก้ไขปัญหาด้วย โดยจะต้อสรุปเสนอกลับมาให้ตนพิจารณาภายใน 15 วัน จากนั้นจะนำเรื่องเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาเลือกแนวทางที่เหมาะสมได้ภายในเดือนส.ค. นี้แน่นอน

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน