เมื่อวันที่ 12 ต.ค. ตามที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระราชานุญาต ให้สำนักพระราชวังจัดทำซุ้มประดิษฐาน พระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระปรมินทร มหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร บริเวณริมกำแพงพระบรมมหาราชวัง ระหว่างประตูวิเศษไชยศรีและประตูมณีนพรัตน์ ตลอด 24 ชั่วโมง เป็นประจำทุกวัน เพื่อให้ประชาชนได้ถวายสักการะต่อหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นับเป็นวันที่ 2 หลังจากเปิดให้ประชาชนได้ถวายสักการะ พระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร โดยบรรยากาศในช่วงเช้ามีประชาชนแต่งกายด้วยชุดสีดำสุภาพ เดินทางมาพร้อมกับพวงมาลัยดอกไม้อย่างต่อเนื่องและเพิ่มมากขึ้นตลอดทั้งวัน เจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังเตรียมพานจำนวน 9 พานวางไว้เบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เพื่อใช้สำหรับถวายพวงมาลัยและดอกไม้สด โดยเจ้าหน้าที่นำแผงเหล็กมากั้นตั้งแต่จุดคัดกรองบริเวณประตูท่าช้าง จนถึงถนนหน้าศาลหลักเมือง เพื่อแบ่งเลนถนนให้ประชาชนได้รับความสะดวกสบายยิ่งขึ้น ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้เปิดจุดคัดกรองทั้ง 2 จุด ที่บริเวณประตูท่าช้างและประตูคัดกรองริมคลองหลอดระหว่างถนนศาลหลักเมือง และกระทรวงกลาโหม

น.ส.จิรันธนิน จิรัฐระพีร์ อายุ 39 ปี อาชีพ แอร์โฮสเตส กล่าวว่า เดินทางมาพร้อมกับคุณแม่ นางปิ่นทิพย์ จิรัฐระพีร์ อายุ 73 ปี ประชาชนย่านรามอินทรา เขตบางเขน กรุงเทพฯ พอทราบข่าวว่าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ประชาชนเข้ากราบสักการะหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ในหลวงรัชกาลที่ 9 เช้าวันนี้จึงพาคุณแม่เดินทางมาเข้ากราบสักการะและถวายพวงมาลัย และในวันที่ 21 ต.ค.ก็จะเดินทางมาชมซ้อมย่อยริ้วขบวนพระบรมราชอิสริยยศ ก่อนเดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ที่ประเทศญี่ปุ่นในวันที่ 22 ต.ค.

“มากราบพระองค์ท่านวันนี้เพราะในวันงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ คงไม่ได้อยู่ในประเทศไทย เพราะต้องเดินทางไปทำงานที่ญี่ปุ่น ก็รู้สึกเสียใจและเสียดายที่ไม่มีโอกาส ในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านทรงมองการณ์ไกล ทรงเปี่ยมล้นไปด้วยพระเมตตา ทรงเสียสระเพื่อปวงชนชาวไทยอย่างมาก พระองค์คงอยากให้คนไทยอยู่ได้ด้วยตนเองอย่างมีศักยภาพและดูแลตนเองได้ ส่วนตัวได้ยึดมั่นและซึมซับคำสอนของพระองค์ทุกอย่าง โดยเฉพาะเรื่องความพยายาม ขยัน อดทน เวลาท้อก็จะคิดถึงพระองค์ท่านก็จะมีพลังสู้ต่อ และในฐานะพสกนิกรของพระองค์ก็จะขอเป็นคนดีของสังคมและประเทศชาติ” น.ส.จิรันธนิน กล่าว

ด้าน นางปิ่นทิพย์ กล่าวว่า ก่อนนี้ที่บ้านฐานะยากจน แต่ยึดมั่นในความดีตามที่พระองค์สอนไปใช้ด้วยใจบริสุทธิ์ในการประกอบอาชีพและอบรมสั่งสอนลูกๆให้เป็นคนดี จนลูกๆจบการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยและได้ดีมีงานทำทุกคน เวลาทุกข์ใจก็กราบอธิษฐานขอพรพระองค์ท่าน ก็ทำให้สบายใจและครอบครัวมีความสุขขึ้น จึงยึดมั่นในคำสอนของพระองค์และรักพระองค์มากๆ ท่านทรงมีพระจริยวัตรที่งดงาม อ่อนน้อมถ่อมตนใกล้ชิดประชาชนไม่ถือพระองค์ว่าเป็นกษัตริย์

ด้าน นางสิรีรัศมิ์ ทองดอกไม้ อายุ 65 ปี เดินทางมาจากบ้านพักย่านนนทบุรี กล่าวว่า ตอนที่สำนักพระราชวังเปิดให้เข้าไปกราบพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีโอกาสได้มากราบรวม 10 ครั้ง พอทราบข่าวว่ามีการเปิดให้ประชาชนได้เข้ามากราบพระองค์ท่านอีก วันนี้จึงรีบเดินทางมาจากบ้านตั้งแต่เช้า พร้อมนำพวงมาลัยดอกดาวเรืองมาถวายพระองค์ท่านด้วยความรักที่มีแด่พระองค์ท่านตลอดมา

“เมื่อครั้งที่ในหลวง ร.9 ยังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ มีโอกาสได้ชื่นชมพระบารมีอย่างใกล้ชิดที่โรงพยาบาลศิริราชหลายครั้ง เพราะทุกครั้งเมื่อทราบข่าวว่าพระองค์ท่านจะเสด็จฯลงมาด้านล่างอาคารที่ประทับก็จะรีบมารอรับเสด็จทุกครั้ง มีครั้งหนึ่งที่ยังจำได้อย่างแม่นยำคือพระองค์ท่านทรงให้ข้าราชบริพารแจกขนมให้กับผู้ที่มาเข้าเฝ้าฯ รับเสด็จฯด้วย นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อคนไทยทุกคน อย่างช่วงงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ อยากจะมาสมัครเป็นจิตอาสาช่วยงานด้านต่างๆ แต่เนื่องจากสุขภาพไม่ค่อยดี จึงไม่ได้สมัครเข้าเป็นจิตอาสา แต่ตั้งใจไว้แล้วว่าจะมาร่วมงานตั้งแต่วันที่ 25 ตุลาคม” นางสิรีรัศมิ์ กล่าว

ต่อมาเวลา 15.30 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังนำตาข่ายหน้าช้าง มาประดับบริเวณด้านหน้าซุ้มประดิษฐานพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บริเวณริมกำแพงพระบรมมหาราชวัง ระหว่างประตูวิเศษไชยศรี และประตูมณีนพรัตน์ ซึ่งตาข่ายหน้าช้างประดับที่ฐานด้านหน้าจำนวน 12 หน้า และฐานด้านข้าง ข้างละ 2 หน้า ร้อยจากดอกไม้ประดิษฐ์ประกอบด้วยดอกรักและดอกพุด ส่วนอุบะร้อยด้วยดอกจำปีประดิษฐ์ เหนืออุบะตกแต่งด้วยดอกทัดหู โดยฝีมือจากฝ่ายพระราชฐานชั้นใน สำนักพระราชวัง

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน