เมื่อวันที่ 14 ต.ค. ตามที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระราชานุญาต ให้สำนักพระราชวังจัดทำซุ้มประดิษฐาน พระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระปรมินทร มหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร บริเวณริมกำแพงพระบรมมหาราชวัง ระหว่างประตูวิเศษไชยศรีและประตูมณีนพรัตน์ ตลอด 24 ชั่วโมง เป็นประจำทุกวัน เพื่อให้ประชาชนได้ถวายสักการะต่อหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศในช่วงเช้ามีประชาชนแต่งกายด้วยชุดสีดำสุภาพ เดินทางมาพร้อมกับพวงมาลัยดอกไม้อย่างต่อเนื่องและเพิ่มมากขึ้นตลอดทั้งวัน เนื่องจากเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์และนับเป็นวันที่ 4 หลังจากเปิดให้ประชาชนได้ถวายสักการะ โดยเจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังเตรียมพานจำนวน 9 พานวางไว้เบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เพื่อใช้สำหรับถวายพวงมาลัยและดอกไม้สด

ทั้งนี้ในช่วงเช้าเนื่องจากมีพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลครบรอบ 1 ปี วันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ทำให้เจ้าหน้าที่นำแผงเหล็กกั้นบริเวณถนนหน้าพระลานออก เพื่อเตรียมเส้นทางเสด็จพระราชดำเนิน โดยมีจิตอาสาเฉพาะกิจงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ มาคอยดูแลความสะดวกให้กับประชาชน

ขณะที่ช่วงบ่ายเจ้าหน้าที่นำแผงเหล็กมากั้นเช่นทุกวัน ตั้งแต่จุดคัดกรองบริเวณประตูท่าช้างจนถึงถนนหน้าศาลหลักเมือง เพื่อแบ่งเลนถนนให้ประชาชนได้รับความสะดวกสบายยิ่งขึ้น และเปิดจุดคัดกรองทั้ง 2 จุด ที่บริเวณประตูท่าช้างและประตูคัดกรองริมคลองหลอดระหว่างถนนศาลหลักเมือง และกระทรวงกลาโหม

นายภาณุวัฒน์ โพนเงิน อายุ 59 ปี ข้าราชการ จาก อ.เมือง จ.มหาสารคาม เดินทางโดยรถโดยสารประจำมาเพียงลำพัง ด้วยความตั้งใจที่จะมาถวายพวงมาลัยในวันนี้ พร้อมเปิดเผยว่า ตนยังไม่เคยมีโอกาสเข้ากราบสักการะพระบรมศพในหลวง ร.9 ในพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ทำให้วันนี้นับเป็นความตื้นตันใจที่สุด ที่ได้เข้ามากราบพระองค์ แม้ว่าจะเป็นเพียงด้านนอกของกำแพงวังก็ตาม

นายภาณุวัฒน์ โพนเงิน อายุ 59 ปี

“อีกไม่กี่วันก็จะเป็นวันพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพในหลวง ร.9 แล้ว ในวันที่ 26 ต.ค. ผมตั้งใจไว้ว่าจะดูแลและให้ความช่วยเหลือประชาชนที่มาร่วมในพระราชพิธีสำคัญที่พระเมรุมาศจำลอง หน้าศาลากลาง จ.มหาสารคาม ผมในฐานะที่เป็นข้าราชการ ก็ได้น้อมนำความดีที่พระองค์ทำมาตลอดพระชนม์ชีพ มาใช้ในการทำงาน ด้วยการบริการประชาชนด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต รวมถึงการดำเนินชีวิตด้วยการทำความดีตลอดไปด้วย” นายภาณุวัฒน์ กล่าว

นางศรีพรรณ มาวินิจฉัย และนางสมจิต พงษ์สุราษฏร์

ขณะที่ นางศรีพรรณ มาวินิจฉัย อายุ 62 ปี และนางสมจิต พงษ์สุราษฏร์ อายุ 69 ปี อาชีพค้าขาย พสกนิกรจาก อ.เมือง จ.ลำพูน โดยทั้งสองคนเดินทางมาถวายพวงมาลัยตั้งแต่เช้า นางศรีพรรณ เปิดเผยด้วยเสียงสั่นเครือว่า ที่ผ่านมาตนร้องไห้ทุกวัน มันรู้สึกว้าเหว่ เพราะตั้งแต่เกิดมาก็เห็นในหลวง ร.9 มาตลอดพระชนม์ชีพ ยิ่งวันนี้มากราบอย่างใกล้ชิดก็รู้สึกตื้นตันใจเป็นอย่างมาก

“ในหลวง ร.9 เคยเสร็จฯมายัง จ.ลำพูน จำได้ว่าตอนนั้นยังเล็กนัก พ่อพาขี่คอเพื่อไปรับเสด็จ จำได้ว่าได้เห็นในหลวง ร.9 พร้อมด้วย สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ทรงพระสิริโฉมงดงามมาก ทั้งสองพระองค์เคียงคู่กัน ยังเป็นความทรงจำที่จำได้จนถึงทุกวันนี้ นึกถึงกี่ครั้งก็อุ่นใจ เหมือนมีพระองค์คอยเป็นกำลังใจในการดำเนินชีวิต ที่ผ่านมาก็บำเพ็ญตนเป็นจิตอาสามาโดยตลอด ทั้งนี้ในช่วงพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ก็จะตั้งใจเป็นจิตอาสาด้วย” นางศรีพรรณ เผย

 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน