หากจะพูดถึงนักเตะที่เป็นแกนหลัก และเป็นแข้งความหวังของทีมชาติเบลเยียมในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา คงจะหนีไม่พ้น เควิน เดอ บรอยน์ เพลย์เมกเกอร์เท้าชั่งทองจาก แมนเชสเตอร์ ซิตี้
โดยสาเหตุที่เป็นเช่นนั้นเนื่องจาก เดอ บรอยน์ ทำผลงานได้อย่างโดดเด่นทั้งในระดับสโมสรที่พา แมนฯ ซิตี้ คว้าแชมป์มาครองหลายรายการ เช่น พรีเมียร์ลีก 4 สมัย, คาราบาว คัพ 5 สมัย และเอฟเอ คัพ 1 สมัย เป็นต้น
เช่นเดียวกับผลงานในระดับทีมชาติที่ดาวเตะวัย 31 ปีลงสนามให้กับเบลเยียมชุดใหญ่ไปแล้ว 93 นัดทุกรายการทำได้ 25 ประตูกับ 46 แอสซิสต์
โดย เดอ บรอยน์ เริ่มต้นรับใช้ทีมชาติเบลเยียมมาตั้งแต่ชุดยู 18 เมื่อปี 2008 ก่อนได้เลื่อนมาเป็นชุดยู-19, ชุดยู-21 และชุดใหญ่ในปี 2010 ซึ่งขณะนั้นเขายังอยู่กับ เกงค์ สโมสรแรกในอาชีพการค้าแข้ง ก่อนยกระดับตัวเองขึ้นมาเป็นจอมทัพของทีมมาจนถึงปัจจุบัน
อย่างไรก็ตามแม้ เดอ บรอยน์ จะมีฟอร์มส่วนตัวที่น่าประทับใจกับ “ปีศาจแดงแห่งยุโรป” ทว่าเขายังไม่สามารถพาทีมคว้าแชมป์รายการใดๆ มาครองได้เลย แม้จะผ่านการลงเล่นในทัวร์นาเมนต์ใหญ่มาอย่างมากมาย ทั้ง ฟุตบอลโลก 2014 และ2018 รวมถึงยูโร 2016 และ2020 เป็นต้น
โดยเฉพาะกับศึกเวิลด์ คัพ ที่เขาพาเบลเยียมทำได้ดีที่สุดคือการซิวอันดับ 3 ในฟุตบอลโลก 2018 ด้วยการเอาชนะอังกฤษ 2-0
ทำให้ในฟุตบอลโลก 2022 ที่ประเทศกาตาร์ครั้งนี้ แน่นอนว่าเป้าหมายของ “เดอ บรอยน์” คือการพาเบลเยียมที่อยู่ในกลุ่มเอฟร่วมกับ แคนาดา, คอสตาริกา และโครเอเชีย คว้าแชมป์มาครองให้ได้เพื่อเป็นเกียรติประวัติในอาชีพการค้าแข้ง รวมถึงเป็นการปลดล็อกความสำเร็จแรกกับทีมชาติ
นอกจากนั้นแล้วนี่เวิลด์ คัพ ครั้งนี้อาจจะเป็นฟุตบอลโลก “ครั้งสุดท้าย” ของ เดอ บรอยน์ ด้วยจำนวนอายุ รวมถึงเจ้าตัวก็เคยออกมาเปรยในเรื่องนี้เอง จึงเรียกได้ว่า เป็นการเดิมพันที่สูงจริงๆสำหรับกองกลางรายนี้
สำหรับ เดอ บรอยน์ ถือว่าเป็นนักเตะที่มีสไตล์การเล่นที่ชัดเจน และหาได้ยากในปัจจุบัน คือ เน้นการจ่ายบอลที่ชาญฉลาด, เล่นลูกนิ่งได้อย่างแม่นยำ รวมถึงมีอาวุธลับคือการยิงไกลนอกกรอบเขตโทษที่ทรงพลัง เป็นต้น
แน่นอนว่าเรื่องฝีเท้า และทัศนคติในการเล่นฟุตบอลของ เดอ บรอยน์ นั้นได้รับการยอมรับว่าอยู่ในระดับโลกแล้ว ทว่าเหลือภารกิจที่สำคัญคือการพาเบลเยียม “ยุคทอง” ซิวโทรฟี่มาครอง และหากสามารถประเดิมด้วยการเป็นแชมป์ฟุตบอลโลกเลยคงจะเป็นเรื่องที่น่าจดจำสำหรับผู้เล่นรายนี้
