ฟุตบอลโลก 2018 รอบ 16 ทีมสุดท้าย คู่ที่ 3 วันที่ 1 ก.ค. ที่ลุซนิกี สตาดิโอน “กระทิงดุ”สเปน แชมป์กลุ่มบี ลงสนามพบ “หมีขาว”รัสเซีย เจ้าภาพรองแชมป์กลุ่มเอ เกมนี้ เฟร์นานโด เอียร์โร กุนซือทีมกระทิงดุ ส่ง ดิเอโก คอสตา กองหน้าจากแอตเลติโก มาดริด ลงสนามเป็นตัวหลัก ขณะที่ สตานิสลาฟ เชอร์เชชอฟ ผู้จัดการทีมรัสเซีย ส่ง อาร์เตม ซูบา ดาวยิงร่างยักษ์ปักหลักล่าตาข่าย

สำหรับรายชื่อ 11 ตัวจริงทั้งสองทีมประกอบด้วย
สเปน : ดาบิด เด เคอา (ผู้รักษาประตู), เคราร์ด ปิเก, นาโช เฟร์นานเดซ, เซร์คิโอ รามอส, ยอร์ดี อัลบา, เซร์คิโอ บุสเกตส์, โกเก, มาร์โก อเซนซิโอ, อิสโก, ดิเอโก คอสตา, ดาบิด ซิลบา

รัสเซีย : อิกอร์ อคินเซเยฟ (ผู้รักษาประตู), มาริโฮ แฟร์นานเดส, อิเลีย คูเตปอฟ, เซอร์เก อิกนาเชวิช, เฟดอร์ คูเดรียชอฟ, ดาเลอร์ คุชยาเยฟ, โรมัน ซอบนิน, อเล็กซานเดอร์ โกโลวิน, ยูริ ชีร์คอฟ, อเล็กซานเดอร์ ซาเมดอฟ, อาร์เตม ซูบา

REUTERS/Christian Hartmann

REUTERS/Christian Hartmann

REUTERS/Kai Pfaffenbach

เริ่มเกมสเปนที่ชื่อชั้นเหนือกว่าเปิดหน้าบุกเข้าใส่ทันที ขณะที่รัสเซียเน้นเกมรับเป็นพิเศษด้วยการส่งเซ็นเตอร์แบ๊กถึง 3 คน แต่ผ่าน 10 นาทีแรกยังไม่มีโอกาสลุ้นประตูแบบจะแจ้งเท่าไหร่นัก แต่นาที 11 สเปนได้ฟรีคิกทางฝั่งขวา มาร์โก อเซนซิโอ เปิดไปเสาสอง เซอร์เก อิกนาเชวิช ซึ่งเบียดกับ เซร์คิโอ รามอส แต่เท้าหลังโดนบอลเปลี่ยนทางเข้าประตูตัวเองให้สเปนขึ้นนำก่อน 1-0

REUTERS/Maxim Shemetov

REUTERS/Maxim Shemetov

หลังจากเสียประตูขุนพลหมีขาวพยายามโหมบุกหนักด้วยการโยนยาวเข้ากรอบเขตโทษให้ อาร์เตม ซูบา โหม่งชงเพียงแต่จังหวะสองเก็บบอลเข้าทำไม่ถนัด เข้าสู่นาที 36 โรมัน ซอบนิน จ่ายให้ อเล็กซานเดอร์ โกโลวิน ปั่นโค้งบอลหลุดกรอบออกหลัง

เข้าสู่นาที 40 รัสเซีย ได้ลูกโทษที่จุดโทษจากการขึ้นโหม่งของ อาร์เตม ซูบา แต่ติดมือ เคราร์ด ปิเก ผู้ตัดสินเป่าฟาวล์ ก่อนที่ อาร์เตม ซูบา จะรับหน้าที่สังหารไม่พลาดให้เจ้าภาพรัสเซียตามตีเสมอ 1-1 ในนาที 41 ก่อนจะจบครึ่งแรกด้วยสกอร์นี้

REUTERS/Christian Hartmann

ครึ่งหลังสเปนยังเป็นฝ่ายที่ครองบอลได้ดีกว่า ขณะที่รัสเซียหันมาเล่นเกมรับเพื่อรอจังหวะโต้กลับ แม้ว่าทั้งคู่จะพยายามสร้างโอกาสลุ้นประตูแต่ยังไม่เฉียบคมทำให้ผ่าน 60 นาทีแรกสกอร์ยังไม่ขยับ

นาที 85 สเปนได้โอกาสลุ้นจากการยิงนอกกรอบของ อันเดรส อิเนียสตา ตัวสำรองที่ลงมาใหม่ บอลติดเซฟของ อิกอร์ อคินเฟเยฟ แม้ว่า ยาโก อัสปาส จะตามซ้ำยังโดน อคินเฟเยฟ ป้องกันได้อีก ทำให้จบ 90 นาทียังเสมอกันอยู่ 1-1 ต้องต่อเวลาพิเศษและเป็นคู่แรกของฟุตบอลโลกครั้งนี้ที่ต้องต่อเวลา

REUTERS/Maxim Shemetov

เริ่มครึ่งเวลาแรกของการต่อเวลาพิเศษสเปนยังเป็นฝ่ายที่ครองบอลเหนือกว่า นาที 97 รัสเซีย เปลี่ยนตัวสำรองคนที่ 4 ด้วยการส่ง อเล็กซานเดอร์ เยโรคิน ลงแทนที่ ดาเลอร์ คุชยาเยฟ นับเป็นครั้งแรกที่มีการเพิ่มโควตาเปลี่ยนตัวสำรองคนที่ 4 ในเกมฟุตบอล แต่ 15 นาทีแรกของการต่อเวลาไม่มีสกอร์เพิ่มยังเสมอกันอยู่ 1-1

ช่วงต่อเวลาพิเศษครึ่งหลังนาที 108 โรดริโก โมเรโน ตัวสำรองคนที่ 4 สเปน ได้โอกาสกระชากเข้ากรอบเขตโทษและได้ยิงเผาขนยังดีที่ อิกอร์ อคินเฟเยฟ ผู้รักษาประตูรัสเซียยังป้องกันได้ทัน อย่างไรก็ดีทั้งสองทีมทำประตูเพิ่มไม่ได้ทำให้จบ 120 นาทีเสมอกัน 1-1 ต้องตัดสินด้วยการยิงลูกโทษ ผลปรากฏว่า รัสเซีย เป็นฝ่ายยิงแม่นกว่าเอาชนะไปด้วยสกอร์รวม 5-4 ผ่านเข้ารอบก่อนรองชนะเลิศในฟุตบอลโลก ได้เป็นหนที่สอง ในประวัติศาสตร์ ด้วยการดวลจุดโทษ ชนะ สเปน 4-3 หลังเคยทำได้มาแล้วเมื่อปี 1966

 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน