จากกรณีที่มีการแชร์ภาพทางโซเชียล เป็นภาพขาที่มีบาดแผลฉกรรจ์ พร้อมเตือนว่า แค่ถูกแมวข่วน ให้คุณรีบไปหาหมอฉีดยาทันที ไม่งั้น คุณอาจติดเชื้อใต้ผิวหนังนี้ป่ะ โดนข่วนไม่ได้โดนกัดเลย ไม่ได้เอะใจอะไร ปล่อยไว้ 3 วันเป็นขนาดนี้ หมอบอกถ้ามาช้ากว่านี้สองวันต้องตัดขาทิ้งเลยนะค่ะ”จากนั้นได้มีการแชร์ภาพและข้อความดังกล่าวกันในโลกโซลเชียล
เมื่อวันที่ 23 ม.ค. ผู้สื่อข่าว ได้ประสานไปยังผู้บริหารของโรงพยาบาลวชิระภูเก็ตเพื่อขอเข้าเยี่ยม เดินทางไปเยี่ยมอาการของนายวีระ พันทิพย์ อายุ 63 ปี ผู้ป่วย พบว่ายังคงพักรักษาตัวอยู่ภายในหอผู้ป่วยรวม ตึกศัลยกรรมชายชั้น 3 โดยพบว่ามี น.ส.รุ่งนภา งามจันทร์ ผู้โพสต์ข้อความทางโซเชี่ยลซึ่งเป็นลูกสะใภ้ คอยดูแล โดย น.ส.รุ่งนภา เปิดเผยว่า พ่อสามี นายวีระ พันทิพย์ อายุ 63 ปี ได้ถูกแมวข้างบ้านข่วนที่หน้าแข้ง-น่องขวาเป็นทางยาวและมีเลือดไหลออกมาเล็กน้อย เมื่อวันที่ 16 ม.ค.ที่ผ่านมาแต่ไม่ได้หาหมอหรือพาไปฉีดวัคซีนในทันทีเพราะไม่คิดว่าแผลขนาดนี้จะมีอันตราย
กระทั้งวันที่ 17 ม.ค.พบว่ารอยข่วนที่บริเวณหน้าแข้งเริ่มบวมและมีไข้ แต่คิดว่าคงไม่เป็นอะไรมาก จนกระทั่งวันที่ 19 ม.ค.รู้สึกไม่ดี จึงนำพ่อสามีส่ง รพ.วชิระภูเก็ต เพื่อให้แพทย์ดูอาการ จากนั้นแพทย์ได้ทำการผ่าตัดในคืนเดียวกัน เพื่อตัดเนื้อที่ติดเชื้อออก เนื่องจากบาดแผลติดเชื้อรุนแรง โดยแพทย์ระบุว่าติดเชื้อใต้ผิวหนัง ต่อมาวันที่ 21 ม.ค.รอยข่วนที่บริเวณน่องขวาเริ่มมีอาการบวม แพทย์จึงต้องผ่าตัดเอาเนื้อที่ติดเชื้อออกอีก และนอนรักษาตัวที่ตึกศัลยกรรม รพ.วชิระภูเก็ตมาถึงวันนี้
“ตอนนี้ครอบครัวของตนลำบากมากเนื่องจากสามีตนก็ต้องโทษติดคุก ตนเองต้องทำงานดูและลูก ส่วนน้องสาวของสามี ก็เพิ่งประสบอุบัติเหตุ ทำงานไม่ได้ พ่อตา(นายวีระ) เป็นคนทำงานขับเรือหาเงินเลี้ยง ซ้ำพ่อตามาเกิดขาติดเชื้อรอการผ่าตัดทำให้ยิ่งลำบาก ทั้งขาดรายได้ และคนดูแล ลูกชายอีกคนก็ไม่ได้มาดูแล ถึงแม้อาการของพ่อตา(นายวีระ)จะดีขึ้นและออกไปอยู่บ้านก็ต้องลำบาก ไม่มีเงินจุนเจือเพราะทำงานไม่ได้ อยากให้ผู้ใจบุญช่วยเหลือเรื่องค่าใช้จ่าย เพราะขณะนี้ลำบาก ไม่รู้จะพึ่งใคร ทั้งนี้ตนเองยังรู้สึกไม่คาดคิดว่าแผลแค่นี้จะทำให้เกิดลุกลามจนมากมายขนาดนี้ หากรู้ว่าอันตรายก็จะพามารักษาตั้งวแต่เนิ่นๆ ”
โดย นพ.เฉลิมพงษ์ สุคนธผล ผอ.รพ.วชิระภูเก็ต เปิดเผยว่า ประวัติผู้ป่วยก่อนเข้ารับการรักษาในเบื้องต้นถูกแมวข่วนมา 7 วัน โดย 3 วันก่อนจะมาโรงพยาบาล คนไข้มีอาการปวดแสบร้อน ตึงและเริ่มมีน้ำเหลืองออกมา ก็เลยเดินทางมาในวันที่ 18 แพทย์ที่ทำการรักษาซึ่งเป็นแพทย์ด้านศัลยกรรมโดยได้ทำการผ่าตัดเอาแค่หนองออก ก่อนที่พบข้อสงสัยสงสัยว่าน่าจะเป็น “โรค Nacrotyzing Pascilitis หรือโรคแบคทีเรียกินเนื้อ” ซึ่งเป็นการติดเชื้อแบคที่เรียอย่างรุนแรง โดยลักษณะของเชื้อชนิดนี้ก็คือ ชอบกินไปที่ผิวหนัง กล้ามเนื้อ ไขมันใต้ผิวหนัง และเยื่อหุ้มกล้ามเนื้อ ก่อนจะเข้าสู่กล้ามเนื้อ
หลังจากแพทย์วินิจฉัยแล้วว่าเป็นโรคข้างต้น ในช่วงค่ำของวันเดียวกัน (วันที่ 18 ม.ค.)ก็รีบนำเข้าห้องผ่าตัดใหม่ทันที โดยทำการตัดเนื้อที่ตายออกเพิ่มเพราะเชื้อชนิดนี้ มีสารพิษทำลายเนื้อเยื่อรุนแรง โดยตัดออกจำนวนมากตามภาพที่ปรากฏ เนื่องจากหากปล่อยไว้เชื้ออาจจะแพร่กระจายจนอาจจะติดเชื้อในกระแสเลือดหรือต้องตัดขาทิ้ง หลังจากนั้นให้ยาฆ่าเชื้อ ให้สารน้ำต่างๆ เพื่อประคับประคอง ทั้งนี้พบว่า ผู้ป่วยมีเกล็ดเลือดต่ำกว่าปกติ และโรคไต ซึ่งเป็นภาวะหนึ่งที่ทำให้ภูมิคุ้มกันร่างกายต่ำลงและเป็นโรคนี้ได้ง่าย ต่อมาเมื่อวันที่ 21 ม.ค.หมอได้พบว่าเชื้อลุกลามจากเท้าขึ้นมาที่ต้นขา จึงตัดสินใจเปิดแผลอีกครั้ง และทำการตัดเนื้อที่ตายออกทิ้ง ให้เนื้อใหม่ค่อยๆสร้างขึ้นมา ซึ่งในการตัดจะไม่ตัดเนื้อที่ตายทั้งหมด ซึ่งจุดที่ก่ำกึ่งมีโอกาสที่จะสร้างขึ้นมาก็จะปล่อยไว้ หรือหากตัดหมดก็อาจทำให้พิการก็ต้องพิจารณา โรคแบคที่เรียกินเนื้อนั้นพบค่อนข้างน้อย ซึ่งความเสี่ยงที่เกิดโรคนี้ส่วนใหญ่พบในคนที่มีภูมิต้านทานต่ำหรือภูมิคุ้มกันผิดปกติ
ด้าน นพ.วีรศักดิ์ หล่อทองคำ รองผอ.ฝ่ายการแพทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า อยากเตือนถึงคนที่เลี้ยงสัตว์ที่โดนกัดอย่าคิดว่าไม่เป็นไร หากถูกกัดแล้วพบว่าแผลมีการฉีกขาดแสดงว่าเชื้อโรคอาจเข้าไปในผิวหนังได้ จึงต้องรีบปฏิบติใน 3 ข้อคือ 1.ต้องดูแลทำความสะอาดแผล 2 .ต้องให้ย่าฆ่าเชื้อ สำหรับแผลถูกสัตว์กัดจะไม่เหมือนกับแผลมีดบาดหรืออื่นๆ เพราะจะมีเชื้อจากปากสัตว์เป็นเชื้อแบคทีเรียแบบไม่มีออกซิเจน จึงต้องให้ยาฆ่าเชื้อเฉพาะที่ถูกต้องเหมาะสม ไม่ให้เชื้อลุกลาม 3. คือการให้วัคคซีน อย่าคิดว่าแมว สุนัขตัวเล็กๆกัดจะไม่มีเชื้อโรค เช่นพิษสุนัขบ้า แต่พบว่ามีในสัตว์เลี่ยงลูกด้วยนมเกือบทั้งหมด ดั้งนั้นถ้าถูกสั้ตว์กัดแล้วจะต้องฉีดวัคซีน ทั้งโรคกลัวน้ำและพิษสุนัขบ้า อย่านิ่งนอนใจว่าสัตว์ไม่เป็นไร คนต้องไม่เป็นไร จากประวัติเคยพบว่าคนถูกกัดตายแต่สัตว์ไม่ตาย จึงควรปฏิบัติ 3 สิ่งนี้เพื่อความปลอดภัยจากโรค