อายัดทรัพย์240ล้าน จับเครือข่ายละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ขายสินค้า ก๊อบเกรดเอ 2 ตลาดดัง ไนท์บาร์ซาร์ เชียงใหม่ ตลาดป่าตอง ภูเก็ต

ก๊อบเกรดเอ / เมื่อวันที่ 17 ธ.ค. ที่ กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 ต.ไม้ขาว อ.ถลาง จ.ภูเก็ต พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้บัญชาการตำรวจตรวจคนเข้าเมือง พร้อมด้วย พล.ต.ท.พงษ์วุฒิ พงษ์ศรี ผบช.ภ.8 และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันแถลงข่าวยุทธการ “ขุดรากถอนโคน เครือข่ายละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา” ในพื้นที่ ตลาดป่าตอง จังหวัดภูเก็ต และ ตลาดไนท์ไนซ์บาร์ซาร์ จังหวัดเชียงใหม่ อายัดทรัพย์สินกว่า 240 ล้านบาท

พล.ต.ท.สุรเชษฐ์กล่าวว่า ตามนโยบายของรัฐบาล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้จัดตั้งศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศหรือ ศปอส.ตร. ขึ้น โดยมุ่งเน้นการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม ที่ปรากฏในสื่อออนไลน์ ซึ่งเป็นอาชญากรรมที่เกิดขึ้นมากในปัจจุบัน

โดยศปอส.ตร. ได้ร่วมกับสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง, ตำรวจภูธรภาค 8, ตำรวจภูธรภาค 5, กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว ประสานความร่วมมือกับสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ

เข้าจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับจำนวน 2 ราย และทำการตรวจค้นพื้นที่เป้าหมายในตลาดป่าตองจังหวัดภูเก็ต จำนวน 4 จุด รวมทั้งตรวจค้นพื้นที่เป้าหมายในตลาดไนท์บาร์ซาร์ จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 4 จุด ผลการตรวจค้น ยึดและอายัดทรัพย์สิน ได้จำนวนหลายรายการ อาทิบ้าน ที่ดิน รถยนต์และทรัพย์สินอื่น มูลค่ากว่า 240 ล้านบาท

สำหรับยุทธการ “ขุดรากถอนโคนเครือข่ายละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา”ในครั้งนี้ สืบเนื่องมาจาก การสืบสวนทางออนไลน์ โดยเน้นสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์และเครื่องหมายการค้าของประเทศสหรัฐอเมริกา ตลอดจนที่ปรากฏในเว็บไซต์และสื่อสังคมออนไลน์ ได้แก่ เฟสบุ๊คอินสตาแกรม ไลน์เป็นต้น

และจากข้อมูลที่ได้รับการร้องเรียนจากประชาชนในช่องทางต่างๆ พบว่าตลาดป่าตองจังหวัดภูเก็ตและตลาดไนท์บาร์ซาร์ จังหวัดเชียงใหม่ เป็นสถานที่ซึ่งนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ นิยมมาทานอาหารและจับจ่ายซื้อสินค้า ภายในบริเวณตลาดซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของภูเก็ตและเชียงใหม่ มีการจำหน่ายสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์และเครื่องหมายการค้า จึงได้บูรณาการกำลังเพื่อเข้าทลายแหล่งจำหน่ายสินค้าจุดเป้าหมาย

พล.ต.ท.สุรเชษฐ์กล่าวต่อว่า โดยเมื่อวันที่ 20 ต.ค. เจ้าหน้าที่ตำรวจร่วมการเข้าตรวจค้นในตลาดป่าตอง จังหวัดภูเก็ต จำนวน 26 จุด และตลาดเลียบหาดเฉวง อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี จำนวน 3 จุดจับกุมผู้ต้องหารวม 13 ราย ในข้อหา “จำหน่ายหรือเสนอ จำหน่ายหรือมีไว้ เพื่อจำหน่ายซึ่งสินค้าที่มีเครื่องหมายการค้าปลอมเครื่องหมายการค้าของบุคคลอื่นที่จดทะเบียนแล้วในราชอาณาจักร”

พร้อมทั้งตรวจยึดสินค้าละเมิดเครื่องหมายการค้า อาทิกระเป๋าแบรนด์เนม เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย แว่นตา รองเท้ากว่า 300,000 การมูลค่าความเสียหายกว่า 42,000,000 บาท

สำหรับปฏิบัติการครั้งนี้ เมื่อวันที่ 14 ธ.ค. เวลาประมาณ 9.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย ในตลาดป่าตอง จังหวัดภูเก็ต จำนวน 4 จุด สามารถจับกุมผู้ต้องหาตามหมายได้ จำนวน 2 รายในข้อหา “ร่วมกันจำหน่ายหรือเสนอจำหน่าย หรือมีไว้เพื่อจำหน่ายซึ่งสินค้าที่มีเครื่องหมายการค้าปลอมเครื่องหมายการค้าของบุคคลอื่น ที่ได้จดทะเบียนแล้วในราชอาณาจักร”

และได้ยึดทรัพย์สิน จำนวนหลายรายการอาทิโฉนดที่ดิน’ สิ่งปลูกสร้าง, รถยนต์, เงินสด, สร้อยคอทองคำ, นาฬิกาและทรัพย์สินอื่นรวมมูลค่ากว่า 200 ล้านบาท

ในส่วนการกวาดล้างการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา “ตลาดไนท์บาร์ซาร์จังหวัดเชียงใหม่” เมื่อวันที่ 12 ก.ย. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ร่วมการเข้าตรวจค้นร้านค้าภายในตลาดไนท์บาร์ซาร์ จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 25 จุด จับผู้ต้องหารวม 12 ราย ในข้อหา “จำหน่ายเสนอจำหน่าย หรือมีไว้เพื่อจำหน่ายซึ่งสินค้า ที่มีเครื่องหมายการค้าปลอมเครื่องหมายการค้าของบุคคลอื่นที่จดทะเบียนแล้วในราชอาณาจักร” พร้อมทั้งตรวจยึดสินค้าประมาณ 27,000 รายการ อาทิลำโพงบลูทูธ กระเป๋าแบรนด์เนม เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย นาฬิกา แว่นตา รองเท้าเป็นต้น มูลค่าความเสียหายประมาณ 30,000,000 บาท

สำหรับการปฏิบัติการครั้งนี้เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2561 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมายจำนวน 4 จุดได้ยึดอายัดทรัพย์สินจำนวนหลายรายการอาทิโฉนดที่ดิน, สิ่งปลูกสร้าง, รถยนต์, รถจักรยานยนต์, เงินสด, สร้อยคอทองคํา และทรัพย์สินอื่นรวมมูลค่ากว่า 40 ล้านบาท

สำหรับยุทธการ “ขุดรากถอนโคนเครือข่ายละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา” ในครั้งนี้ ส่วนปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีความจริงจังในการปราบปรามและยึดทรัพย์สินผู้กระทำความผิดละเมิดลิขสิทธิ์และเครื่องหมายการค้า

ซึ่งหลังจากนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะดำเนินการขยายผลไปยังแหล่งผลิต ผู้ที่นำเข้า จะดำเนินการอย่างจริงจังต่อเนื่อง ฝากไปยังผู้ที่ยังดำเนินการผลิต นำเข้า หรือจำหน่าย สินค้าที่ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ว่าจะอยู่ในพื้นที่กรุงเทพ ต่างจังหวัด โดยเฉพาะจังหวัดใหญ่ๆ หรือการประกาศขายทางออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ เฟซบุ๊ก อินสตราแกรม

หากยังดำเนินอยู่ เจ้าหน้าที่จะดำเนินการจับกุมดำเนินคดี ขยายผลถึงนายทุน ตลอดจนใช้มาตรการยึดทรัพย์จากความผิดมูลฐานตามพรบ. ป้องกันและปราบปรามฟอกเงินพ.ศ2542 มาตรา 3(13) และมีอัตราโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ซึ่งการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา เป็นความผิดมูลฐานตามกฎหมายฟอกเงิน เพื่อให้ปัญหาการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศไทยหมดไป

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน