บริษัทตุ๋นโผล่อีก 20 แบรนด์แจ้งกองปราบฯ โดนบริษัทหลอก 30 ล้าน อ้างช่วยโปรโมตสินค้าในจีน ผบช.ก.ยัน ดร.โต้โผแชร์ลอตเตอรี่ยังอยู่ในไทยสั่งตร.เร่งล่าตัว ส่วนคดีโชกุนจ่อหมายจับเพิ่มอีก 1 สำหรับคดีน้าพญ.ลวงลงทุนบริษัททัวร์เข้ามอบตัว เผยเป็นเหยื่อสูญ 1.3 ล้านด้วย อ้างพญ.ก็ถูกหลอกเช่นกัน แฉแฟนหมออยู่เบื้องหลังทั้งหมด

เมื่อวันที่ 25 เม.ย. ที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) พล.ต.ท.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ ผบช.ก. ประชุมร่วมกับคณะทำงาน เพื่อเร่งรัดคดีและติดตามตัว รศ.ดร.สวัสดิ์ แสงบางปลา อดีตประธานคณะกรรม การดำเนินการสหกรณ์ออมทรัพย์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (สอ.จฬ.) หลอกเหยื่อลงทุนแชร์ลอตเตอรี่แล้วเชิดเงินหนีกว่าพันล้านบาท

พล.ต.ท.ฐิติราชกล่าวว่า การประชุมวันนี้ได้กำชับพนักงานสอบสวนให้ตีกรอบการทำงานให้แคบมากขึ้น แบ่งหน้าที่ในการสอบสวน เพื่อเร่งติดตามตัวรศ.ดร.สวัสดิ์ มาดำเนินคดีและชดใช้ค่าเสียหาย ซึ่งขณะนี้ มีมูลค่าความเสียหายหลายล้านบาท ทางการข่าวยังยืนยันว่า ผู้ต้องหารายนี้ยังคงหลบหนีอยู่ภายในประเทศ และยังไม่ได้แจ้งข้อหาเพิ่มเติม แต่หากการสอบสวนพบว่า เข้าข่ายการ กระทำผิดอื่นๆ ก็พร้อมที่จะแจ้งข้อหาเพิ่มทันที

พล.ต.ท.ฐิติราชกล่าวอีกว่า ส่วนจะมีผู้ร่วมขบวนการมากกว่า 1 คนหรือไม่นั้น อยู่ระหว่าง การสอบพยานหลักฐาน ซึ่งที่ผ่านมาผู้เสียหายที่เข้ามาให้ปากคำยังไม่ซัดทอดหรือกล่าว ไปถึงบุคคลอื่น แต่ทางตำรวจก็ไม่ได้ปักใจเชื่อ แต่จะต้องตรวจสอบเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงทั้งหมด นอกจากนี้จะเรียกครอบครัวและบุคคลใกล้ชิดของรศ.ดร.สวัสดิ์เข้ามาสอบปากคำ เพื่อหาความเชื่อมโยง ส่วนการตรวจสอบเส้นทางการเงิน เบื้องต้นยังไม่พบการถ่ายโอนเงินไปยังบุคคลอื่น หรือนำไปซื้อทรัพย์สินไปทำอะไร ส่วนรายละเอียดอื่นๆ ยังไม่ขอเปิดเผย ให้เวลาคณะทำงานก่อน

พล.ต.ท.ฐิติราชยังกล่าวถึงความคืบหน้าคดีของน.ส.พสิษฐ์ อริญชย์ลาภิศ หรือ ซินแสโชกุน ผู้ต้องหาที่ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ว่า วันนี้ได้กำชับพนักงานสอบสวนสรุปสำนวนคดี และเร่งให้เสร็จภายในสัปดาห์หน้า เพื่อส่งฟ้องให้อัยการ ยืนยันว่าเป็นคดีที่มีความเสียหายค่อนข้างสูง แม้จะคืนเงินให้กับผู้เสียหายแล้วบางส่วน แต่ก็ยังเป็นฉ้อโกงประชาชนที่ไม่ให้ยอมความ ในขณะที่ทางตำรวจกำลังรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อเตรียมออกหมายจับอีก 1 คน ซึ่งเป็นแม่ข่ายของซินแสโชกุน

รายงานข่าวแจ้งว่า ส่วนคดีแพทย์หญิง โรงพยาบาลดัง ที่หลอกลวงผู้เสียหายให้ร่วมลงทุนบริษัททัวร์ ล่าสุดนางผ่องพรรณ ศิริวัฒน์ อายุ 49 ปี น้าของแพทย์หญิง หนึ่งในผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา รัชดาภิเษก ในข้อหาร่วมกันฉ้อโกงประชาชนและกู้ยืมเงินอันเป็น การฉ้อโกงประชาชนตามพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ.2527 ได้เข้ามอบตัวที่บช.ก.

สำหรับคดีนี้ผู้เสียหายถูกหลอกร่วมลงทุนธุรกิจทัวร์รวมมูลค่ากว่า 64 ล้าน ซึ่งต่อมา เจ้าหน้าที่ได้ออกหมายจับว่าที่นาวาตรีแพทย์หญิง แฟนหนุ่มของว่าที่นาวาตรีแพทย์หญิงและนางผ่องพรรณ

ต่อมาพล.ต.ท.ฐิติราชนำตัวนางผ่องพรรณมาแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน หลังผู้ต้องหาเดินทางมามอบตัวที่บช.ก. โดยกล่าวว่า ผู้ต้องหารายนี้สมัครใจเข้ามามอบตัวกับตำรวจ เพื่อให้ข้อมูลในการติดตามตัว ว่าที่นาวาตรี พญ.พรรณรัตน์ จันทรมณี หรือหมอบิว และนายธีรยุทธ บุรัสการ หรือนายโจ้ ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นนายอภิวัฒน์ อัครเดชช์ ซึ่งหลบหนีอยู่ต่างประเทศ โดยทั้งสองคนเป็นแฟนคบหาดูใจกัน

ด้านนางผ่องพรรณกล่าวหลังเข้ามอบตัว ว่า วันนี้เข้ามอบตัวเนื่องจากตนเองก็เป็นหนึ่งในผู้เสียหายที่ถูกนายธีรยุทธ หรือนายโจ้ ชักชวนให้ร่วมลงทุน 1.3 ล้านบาท และได้รับการว่าจ้างเป็นฝ่ายธุรการตรวจสอบโรงแรม ที่พัก ได้เงินเดือน เดือนละ 3 หมื่นบาท โดยนายโจ้จะสั่งงานผ่านทางไลน์ ตนเองมีหน้าที่เพียงถ่ายรูปสถานที่ส่งรูปผ่านทางไลน์ให้กับนายโจ้ และนายโจ้จะเป็นคนจองและชำระเงิน ส่วนเงินที่ลงทุนไปได้รับเงินปันผลมาโดยตลอด กระทั่งล่าสุดงวดสุดท้ายไม่ได้เงินปันผล โดยนายโจ้อ้างว่าไม่สามารถเก็บเงินลูกค้า ได้ครบ และไม่สามารถติดต่อนายโจ้ได้เลย ในช่วงปลายเดือนมี.ค. ส่วนธุรกิจขายบัตรสมนาคุณส่วนลดที่พักนั้นมีจริง

“นายโจ้คบกับหมอบิวมาตั้งแต่ปลายปี 2557 โดยใช้ชื่อหมอบิวเป็นกรรมการบริษัท แต่หมอบิวไม่เคยมีหน้าที่ใดๆ ในการบริหาร เห็นเพียงนายโจ้เป็นผู้ดำเนินการสั่งการทุกอย่าง โดยนายโจ้ยังหลอกกลุ่มญาติของหมอบิวให้มาร่วมลงทุนอีกหลายคน มูลค่าความเสียหายกว่า 3 ล้านบาท แต่ช่วงหลังทั้งคู่มีปัญหาทะเลาะกัน จนนายโจ้เคยขู่ฆ่าหมอบิวมาแล้ว เป็นเหตุให้หมอบิวตัดสินใจหนีไปอยู่ประเทศญี่ปุ่นกับครอบครัว และขอให้ช่วยขายรถยนต์ให้กับญาติและคนใกล้ชิด เพื่อนำเงินเป็นค่าเดินทางไปต่างประเทศ หลังเกิดเหตุ ได้พยายามติดต่อหมอบิวให้เข้ามอบตัว แต่ก็ไม่สามารถติดต่อได้” นางผ่องพรรณกล่าว

เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งข้อหาฉ้อโกงประชาชน โดยนางผ่องพรรณได้เตรียมหลักทรัพย์เป็นโฉนดที่ดิน มูลค่า 8 แสนบาท มายื่น ขอประกันตัว

ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก พ.ต.ท.สมชาย โพธิ์สุวรรณ พนักงานสอบสวน กองบังคับการ ปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญา กรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) คุมตัวนางผ่องพรรณมายื่นคำร้องฝากขังครั้งแรกเป็นเวลา 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 25 เม.ย.- 6 พ.ค.นี้ เนื่องจากยังต้องสอบพยานเพิ่มเติมอีก 10 ปาก และรอผลการตรวจสอบประวัติต้องโทษของผู้ต้องหา ซึ่งชั้นสอบสวนผู้ต้องหาให้การปฏิเสธ ตลอดข้อกล่าวหา โดยพนักงานสอบสวนยื่นขอคัดค้านการให้ประกันตัวผู้ต้องหานี้ด้วย เนื่องจากเกรงว่าจะหลบหนี ไปยุ่งเหยิงกับพยาน หลักฐาน หรือไปก่อเหตุอันตรายประการอื่น

ศาลพิจารณาคำร้องและสอบถามผู้ต้องหาแล้วไม่คัดค้าน จึงอนุญาตให้ฝากขังได้ ภายหลังสิ้นสุดเวลาทำการ ไม่มีญาติยื่นคำร้องและหลักทรัพย์เพื่อขอปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาในชั้นนี้ เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์จึงคุมตัวผู้ต้องหาไปคุมขังยังทัณฑสถานหญิงกลาง

วันเดียวกัน ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) น.ส.ธนัทธรณ์ ตะนาวสินรังสี พร้อมกลุ่มผู้เสียหายซึ่งเป็นเจ้าของ หรือตัวแทนแบรนด์สินค้าต่างๆ กว่า 20 ชนิด เดินทางเข้าพบ พล.ต.ต.สุทิน ทรัพย์พ่วง ผบก.ป. เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับเจ้าของบริษัทแห่งหนึ่ง ในความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน พร้อมนำเอกสารที่เกี่ยวข้องมามอบให้ไว้เป็นหลักฐาน

น.ส.ธนัทธรณ์กล่าวว่า ตนรู้จักบริษัทดังกล่าวผ่านทางสื่อออนไลน์ โดยทราบว่า ทำธุรกิจรับสร้างแบรนด์และโปรโมตสินค้า เพื่อนำไปเสนอขายในประเทศจีน ต่อมาทราบว่า บริษัทดังกล่าวกำลังจัดทำโครงการ “50 ไชนีส เน็ตไอดอล อะเมซิ่ง ไลฟ์อินไทยแลนด์ 2016” ซึ่งจะจัดหาเน็ตไอดอลชื่อดังในประเทศจีน ที่แต่ละคนจะมีผู้ติดตามมากกว่า 1 ล้านคน ให้มาช่วยโปรโมตสินค้าให้กับนักธุรกิจชาวไทย โดยจะให้เน็ตไอดอลช่วยพูดโปรโมตสินค้าให้เป็นเวลา 30 นาที ผ่านช่องทางถ่ายทอดสดของเว็บไซต์เทาเป่า “Taobao Live” เว็บไซต์ช็อปปิ้งออนไลน์ยอดนิยมในประเทศจีน

น.ส.ธนัทธรณ์กล่าวต่อว่า โดยบริษัทนี้ การันตีว่า ผู้เข้าร่วมโครงการจะมีลูกค้าในประเทศจีน ที่สนใจและสั่งซื้อสินค้าเป็นจำนวนมาก แต่จะมีค่าใช้จ่ายเป็นยูนิต ยูนิตละ 75,900 บาท ทุก 1 ยูนิต จะจัดหาเน็ตไอดอล มาให้ 1 คน เพื่อให้ช่วยโปรโมตสินค้า

น.ส.ธนัทธรณ์กล่าวต่อว่า ขณะนั้นตนรู้สึกสนใจ เพราะอยากขยายตลาดสินค้าของตนไปยังประเทศจีนอยู่แล้ว จึงตัดสินใจลองซื้อ ไป 1 ยูนิต ปรากฏว่าทางโครงการกลับจัดหาเน็ตไอดอลที่ไม่ได้มีชื่อเสียงอะไรมาให้ ส่วนผู้ติดตามก็มีแค่หลักพันถึงหลักหมื่นคน ไม่ได้เป็นหลักล้านตามที่อ้างไว้ รวมถึงวิธีการการพูดโปรโมตสินค้า ก็ไม่ใช่มืออาชีพ ที่สำคัญหลังโปรโมตสินค้าไปแล้ว ยอดขายกลับไม่ได้ สูงขึ้นตามที่ได้ระบุไว้เลย

น.ส.ธนัทธรณ์กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ก็ยังมี อีกหลายประเด็นที่ไม่เป็นไปตามที่ระบุไว้ เช่น ที่อ้างว่าจะลงโฆษณาสินค้าให้ในเว็บไซต์ เทาเป่าก็ไม่มี, การรายงานการสั่งซื้อสินค้า ก็ไม่มีการดำเนินการ หรือแม้แต่การดูแลด้านการตลาดให้ตลอดระยะเวลา 5 ปี จนถึงขณะนี้ มีผู้เสียหายเป็นเจ้าของแบรนด์สินค้าต่างๆ กว่า 20 แบรนด์ที่หลงเชื่อเข้าร่วมโครงการได้รับความเสียหายเป็นมูลค่ารวมกว่า 30 ล้านบาท

พล.ต.ต.สุทินกล่าวว่า จะรับเรื่องไว้ โดยมอบหมายให้พนักงานสอบสวนสอบปากคำผู้ร้องทุกข์ไว้เป็นหลักฐาน เพื่อตรวจสอบ ข้อเท็จจริง และดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน