เมื่อวันที่ 18 พ.ค. ที่สถานีตำรวจภูธรชะอำ อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี มีผู้เสียหายคดีฉ้อโกงเกี่ยวกับที่ดินจำนวนหลายรายเข้ามาให้ปากคำเพิ่มเติมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจและมาดูตัว น.ส.ปวีรสุดา โชควัฒนาสุข อายุ 31 ปี ที่ถูกตำรวจ สภ.ชะอำ อายัดตัวจับกุมมาดำเนินคดี หลังทราบว่าถูกนำตัวมายังสภ.ชะอำ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย ตั้งแต่ช่วงกลางดึกของคืนวันที่ 17 พ.ค. ที่ผ่านมา

พ.ต.ท.ยุทธนา รัตนพันธ์ หัวหน้างานสอบสวน สภ.ชะอำ จ.เพชรบุรี กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ จ.สุพรรณบุรี ได้จับกุมน.ส.ปวีรสุดา โชควัฒนาสุข อายุ 31 ปี อยู่บ้านเลขที่ 671 ถนนสมเด็จพระปิ่นเกล้า แขวงบางยี่ขัน เขตบางพลัด กรุงเทพ ที่ตกเป็นผู้ต้องหาร่วมกันฉ้อโกง ตามหมายจับของสภ.อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ หลังจากตำรวจส่งตัวมาดำเนินคดีที่ สภ.หัวหิน ตนจึงได้ประสานแจ้งอายัดตัวผู้ต้องหาไว้

ต่อมาน.ส.ปวีรสุดา ได้รับการประกันตัวตามสิทธิ์ ที่สภ.หัวหิน แต่ก็ถูกอายัดตัวไว้ และถูกนำตัวมาดำเนินคดีที่สภ.ชะอำ เนื่องจากมีผู้เสียหายที่ถูกน.ส.ปวีรสุดากับพวกร่วมกันฉ้อโกง แจ้งความดำเนินคดีไว้ และนอกจากน.ส.ปวีรสุดาแล้ว การสอบสวนยังพบว่ามีผู้ร่วมขบวนการฉ้อโกง อีก 2 ราย คือ น.ส.สุรัตน์ ไสยเวช กับนางนกเล็ก สร้อยสม แต่ระหว่างที่ตำรวจกำลังรวบรวมหลักฐานน.ส.สุรัตน์ ไสยเวช เดินทางมารับทราบข้อกล่าวหาและให้การปฏิเสธ ตำรวจจึงปล่อยตัวชั่วคราว และได้ออกหมายจับ นางนกเล็ก สร้อยสม อายุ 50 ปี ข้อหาร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่นและออกเอกสารราชการ

พ.ต.ท.ยุทธนา กล่าวว่า ผู้ต้องหามีพฤติการณ์คือจะร่วมกับพวกเป็นแก๊งและเช่ากิจการร้านคาแคร์ มีชื่อแห่งหนึ่งอยู่ริมถนนเพชรเกษม อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี และออกตระเวนหาผู้ที่ต้องการขายที่ดิน เมื่อพบเหยื่อแล้วผู้ต้องหาก็จะเข้าไปหาและเสนอว่าจะเอาที่ดินไปขายให้ โดยมีนายทุนต้องการซื้อที่ดินดังกล่าว จากนั้นผู้ต้องหาก็จะเอาโฉนดที่ดินของผู้ต้องการขาย ไปหลอกขายให้กับนายทุนอีกครั้ง โดยขอโฉนดที่ดินฉบับจริงไป

จากนั้นก็นำไปปลอมเอกสารที่ใช้ประกอบการขายขึ้น มีการพานายทุนไปดูที่ดินที่อ้างว่ามีการขายจริง ซึ่งเป็นย่านที่ดินมีราคาสูง เมื่อผู้ซื้อเห็นว่าที่ดินที่ผู้ต้องหามาเสนอขายมีความคุ้มค่า จึงตกลงซื้อขายที่ดินดังกล่าว หลังซื้อขายกลับพบว่าที่ดินเป็นคนละสถานที่กันและมีมูลค่าน้อยกว่า ผู้เสียหายจึงมาแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ดำเนินคดีตามกฎหมาย

นอกจากนี้ ยังมีผู้เสียหายเข้ามาแจ้งความในลักษณะของการถูกน.ส.ปวีรสุดากับพวก ฉ้อโกงในรูปแบบต่างๆ โดยใช้โฉนดที่ดินมาเกี่ยวข้องอีกจำนวนมาก อาทิ การนำโฉนดที่ดินของผู้ที่ต้องการขายไปเสนอขายต่อ แต่เป็นการทำในนามของตัวเองบ้าง ของพวกบ้าง

พฤติกรรมคือ ผู้ต้องหาจะขอโฉนดตัวจริงของผู้ที่ต้องการขายมาพร้อมกับสำเนาทะเบียนบ้านและบัตรประชาชน จากนั้นก็ปลอมบัตรประชาชนขึ้นใหม่ โดยรายละเอียดในบัตรประชาชนยังเหมือนเดิม แต่เปลี่ยนรูปใหม่เป็นบุคคลที่อยู่ในทีมของน.ส.ปวีรสุดาแทน แล้วหลอกขายให้กับผู้ที่ต้องการซื้อ หลังผู้ซื้อไปแล้วกับพบว่าเจ้าของโฉนดไม่รู้เรื่อง มีการขอเงินคืนจากผู้ซื้อ มีการฟ้องร้องกันเกิดขึ้น

นอกจากนั้น ยังมีการนำโฉนดมาหลอกขายหรือขอกู้เงินกับบุคคลที่รู้จักสนิทสนม หลังได้เงินไปแล้วก็ไม่มีการใช้คืน ทั้งนี้มีผู้เสียหายที่ถูกนางปวีรสุดากับพวก ร่วมกันฉ้อโกงมีจำนวนมาก ถ้าคิดเป็นมูลค่า ทั้งเงินสดและที่ดินไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท ขณะนี้มีผู้เสียหายเข้ามาแจ้งความดำเนินคดีกับน.ส.ปวีรสุดากับพวก ที่สภ.ชะอำแล้ว 8 ราย โดยทั้ง 8 อยู่ในพื้นที่อ.ชะอำ และคาดว่าน่าจะมีมากกว่านี้

นางกฤษณา อายุ 51 ปี ชาวอ.ชะอำ ผู้เสียหาย กล่าวว่า ตนรู้จักกับนางปวีรสุดา หลังจากเพื่อนแนะนำให้รู้จัก ได้ถูกน.ส.ปวีรสุดา นำโฉนดที่ดินมาค้ำประกันขอยืมเงินไป 600,000 บาท โดยให้โฉนดไว้เป็นเครื่องค้ำประกัน โดยบอกว่าพ่อของเจ้าของโฉนดอยู่ในเรือนจำ ต้องการนำเงินไปเคลียร์คู่กรณี ขอกู้เงินแค่ 600,000 บาท พร้อมพาไปดูบ้านที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ในโฉนด

จากการตรวจสอบพบว่าทั้งโฉนด สำเนาทะเบียนบ้าน สำเนาบัตรประชาชน ตรงกัน จึงตกลงพากันไปกดเงินจากตู้เอทีเอ็มให้ในช่วงกลางคืน ซึ่งตนก็คิดว่าทำไมไม่ไปทำเรื่องขายฝากที่สำนักงานที่ดินในวันรุ่งขึ้น แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร เพราะเห็นว่าน.ส.ปวีรสุดามีที่อยู่และธุรกิจด้านคาร์แคร์อยู่ ไม่น่าจะมาหลอกได้ อีกทั้งก็สงสารเขา เพราะเขามาขอร้องอ้อนวอนต่างๆนานา โดยบอกว่าขอแค่วันเดียวพรุ่งนี้ก็ใช้คืน แต่หลังจากได้เงินไปก็ไม่มีการนำเงินมาคืนมีการผลัดผ่อนมาตลอด

จนมีการจ้างทนายความเพื่อฟ้องร้องขอเงินคืน นอกจากนั้นเขายังมีการนำใบมอบอำนาจเพื่อให้ไปดำเนินการเกี่ยวกับใบโฉนดที่ดินที่ให้ไว้เป็นเครื่องค้ำประกันให้เป็นชื่อตนเอง แต่ตนไม่อยากได้โฉนดแต่อยากได้เงินคืน จึงได้ให้ทนายความดำเนินการยื่นฟ้องร้องกับเจ้าของโฉนดทันที

จนกระทั่งไปขึ้นศาลแพ่งที่กรุงเทพฯ ทราบว่าเจ้าของมีการสู้คดีด้วย ซึ่งตนก็งงทั้งที่เราทำถูกต้องและเป็นผู้เสียหาย แต่เมื่อไปที่ศาลพบว่าเจ้าของโฉนดเป็นคนละคนกับคนที่อยู่ในรูปที่ น.ส.ปวีรสุดา จึงได้มาแจ้งความให้ดำเนินคดีกับ น.ส.ปวีรสุดา ดังกล่าว ต่อมาทราบว่าน.ส.ปวีรสุดา ถูกจับกุมและจะนำตัวมาฝากขังที่ศาลที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จึงได้เดินทางติดตามไปยังศาล เพราะกลัวเขาได้รับการประกันตัวแล้วหลบหนีไปอีกเนื่องจากต้องการเงินคืน

เบื้องต้น น.ส.ปวีรสุดา ไม่ได้ขอประกันตัวทันที ยอมถูกนำตัวเข้าเรือนจำที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยมีทนายความคอยช่วยเหลือ และขอประกันตัวภายหลัง กระทั่งศาลให้ประกันตัวและถูกตำรวจอายัดตัวมาดำเนินมาดำเนินคดีที่ สภ.ชะอำ

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า นอกจากน.ส.ปวีรสุดา กับพวกอีก 2 คน ที่ถูกแจ้งข้อหาร่วมกันฉ้อโกงแล้ว จากข้อมูลในการสอบสวนของตำรวจ ยังพบว่ามีผู้ที่ร่วมทำผิดในการฉ้อโกงกับกลุ่มของนางปวีรสุดา อีกหลายคน ที่ตำรวจต้องแจ้งข้อหาดำเนินคดี และ 1 ในผู้ที่ตกเป็นผู้ถูกกล่าวหามีสมาชิกสภาเทศบาลแห่งหนึ่งในเขตอ.ชะอำ รวมอยู่ด้วย

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน