พี่สาว โวย! น้องสาวขับจักรยานยนต์ชนท้ายกระบะ โดนคู่กรณีลากไป ขืนใจ แต่ตำรวจปล่อยตัวคนขับรถ ทั้งที่สารภาพเองว่าทำจริง ด้าน ผกก.สภ.สีชมพู แจงยิบ

เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 12 ก.พ. ที่ จ.ขอนแก่น มีสมาชิกผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งได้โพสต์ข้อความคลิปและภาพถ่ายรถจักรยานยนต์และคนเจ็บในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง โดยระบุว่า “อุบัติเหตุรถชนกัน ผู้หญิงเจ็บแต่ไอ้เ_ี้ยเห็นผู้หญิงเจ็บมันลากไปข่มขืน พอไปแจ้งความ ตำรวจปล่อยมันออกมา นี่มันถูกหรือผิด ตกลงคดีข่มขืนเป็นเรื่องธรรมดา อุบัติเหตุรถจักรยานจนชนท้ายรถกระบะ ผู้หญิงขับจักรยานยนต์ได้รับบาดเจ็บ แต่ผู้ชายคนขับกระบะแทนที่จะพาส่งโรงพยาบาล กลับลากไปข่มขืนข้างทาง พอไปแจ้งความกับตำรวจ ฝ่ายชายยอมรับสารภาพว่าข่มขืนจริง และผลการตรวจภายในก็ยืนยันว่าถูกข่มขืนจริง แต่ทำไมตำรวจถึงปล่อยตัวมันกลับบ้าน ทุกวันนี้ผู้หญิงโดนข่มขืนกลายเป็นเรื่องปกติหรือ

กดติดตามไลน์ ข่าวสด official account ได้ที่นี่
เพิ่มเพื่อน

ล่าสุดวันที่ 12 ก.พ. ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่ไปพบกับครอบครัวผู้บาดเจ็บตามที่ปรากฏในคลิปที่ อ.สีชมพู จ.ขอนแก่น พบ น.ส.บี (นามสมมติ) อายุ 21 ปี ผู้บาดเจ็บซึ่งนอนอยู่บนแคร่ที่กำลังรักษาอาการบาดเจ็บด้วยสมุนไพรและไฟจากถ่าน เพื่อให้ร่างกายที่บอบช้ำดีขึ้น โดยมีพ่อแม่และพี่สาวดูแลอย่างใกล้ชิด

ครอบครัวผู้เสียหายพาไปชี้จุดที่เกิดเหตุสาวถูกลาก ขืนใจ ในป่า

ครอบครัวผู้เสียหายพาไปชี้จุดที่เกิดเหตุสาวถูกลาก ขืนใจ ในป่า

น.ส.บี เปิดเผยว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 10 ก.พ.ที่ผ่านมา ขณะขับรถจักรยานยนต์ไปเที่ยวบ้านเพื่อนที่อยู่ห่างจากบ้านกว่า 10 กิโลเมตร ก่อนจะเดินทางกลับในช่วงเย็น โดยออกจากบ้านเพื่อนมาประมาณ 6 กิโลเมตร ก็เกิดอุบัติเหตุเฉี่ยวชนท้ายรถกระบะ ยี่ห้อนิสสัน ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน ทำให้รถจักรยานยนต์ของตนล้มกลางถนน

น.ส.บี กล่าวต่อว่า ขณะนั้น มีชายหญิงขับรถจักรยานยนต์ผ่านมาประสบเหตุจะเข้าช่วยเหลือ แต่ชายอายุ 25-30 ปี ซึ่งเป็นคนขับรถกระบะได้ลงมาดูและบอกว่า จะดูแลช่วยเหลือเอง ทำให้ชายหญิงดังกล่าวเห็นว่าไม่มีอะไร จึงพากันขับรถจักรยานยนต์จากไป แต่หลังจากนั้น คนขับรถกระบะได้ลากตนเข้าไปในป่าข้างทางและก่อเหตุข่มขืนตนจนสำเร็จความใคร่

“ระหว่างเกิดเหตุหนูโทรศัพท์บอกเพื่อน บอกพี่สาวว่าเกิดอุบัติเหตุ แต่จังหวะนั้นหนูปวดปัสสาวะ และจะเดินไปปัสสาวะที่ป่าข้างทาง ชายคนขับรถกระบะได้เข้ามาช่วยพยุงพาเดินไปปัสสาวะ เมื่อหนูปัสสาวะเสร็จ คนขับรถกระบะได้ปลุกปล้ำและทำการข่มขืนในป่าข้างสระน้ำ หนูพยายามร้องขอความช่วยเหลือและต่อสู้ แต่หนูเจ็บเนื้อตัวที่เกิดจากอุบัติเหตุ จึงไม่มีเรี่ยวแรงต่อสู้ ทำให้คนร้ายใช้กำลังข่มขืนจนสำเร็จ หลังจากนั้นคนขับรถกระบะก็พยายามจะหนี หนูจึงรั้งเอาไว้ด้วยการนั่งที่เบาะคนขับ ประมาณ 30 นาที เพื่อนและพี่สาวมาถึงที่เกิดเหตุ” น.ส.บี กล่าว

น.ส.บี กล่าวอีกว่า ขณะนั้นตนยังไม่กล้าบอกพี่สาวว่าถูกข่มขืน ส่วนคนขับรถกระบะเรียกญาติพี่น้องมาเคลียร์เรื่องอุบัติเหตุและเห็นว่าตนมีอาการเมา จึงเรียกตำรวจมาที่เกิดเหตุ เพื่อจะจ่ายค่าทำขวัญให้ 500 บาท แต่ตกลงกันไม่ได้ ตำรวจจึงให้ไปที่ สภ.สีชมพู และส่งไปตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ที่โรงพยาบาลสีชมพู พบปริมาณแอลกอฮอล์ ตำรวจจึงแจ้งข้อหากับตนในข้อหาเมาแล้วขับ

ครอบครัวผู้เสียหายให้สัมภาษณ์กับสื่อและขอความเป็นธรรม

ครอบครัวผู้เสียหายให้สัมภาษณ์กับสื่อและขอความเป็นธรรม

น.ส.บี กล่าวต่อว่า จังหวะดังกล่าว ตนจึงตัดสินใจบอกพี่สาวว่า ถูกคนขับรถกระบะข่มขืนในป่าข้างทางใกล้จุดเกิดอุบัติเหตุ พี่สาวจึงแจ้งตำรวจ จากนั้น ตำรวจจึงนำตัวคนขับรถกระบะไปสอบสวน ซึ่งคนขับรถกระบะก็รับสารภาพว่า ข่มขืนตนจริง ตำรวจได้ส่งตนไปตรวจภายในที่โรงพยาบาลสีชมพูอีกครั้ง ซึ่งแพทย์ระบุว่า พบคราบอสุจิและมีร่องรอยการถูกล่วงละเมิดทางเพศจริง แต่ตำรวจก็ปล่อยตัวคนขับรถไป ซึ่งตนยืนยันว่าจะไม่ยอมความและขอให้ตำรวจจับกุมตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมายให้ถึงที่สุด

ด้าน น.ส.แก้ว (นามสมมติ) อายุ 32 ปี พี่สาวผู้เสียหาย กล่าวว่า วันเกิดเหตุน้องสาวบอกว่าจะไปกินเลี้ยงที่บ้านเพื่อน จนถึงเวลามืดค่ำก็ยังไม่กลับบ้าน จึงได้ขับรถจักรยานยนต์ออกตามหา กระทั่งรับแจ้งว่าเกิดอุบัติเหตุ บนถนนสายสีชมพู-ชุมแพ พื้นที่บ้านนายม ต.สีชมพู อ.สีชมพู ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านประมาณ 6 กิโลเมตร

น.ส.แก้ว กล่าวต่อว่า เมื่อไปถึงเห็นรถจักรยานยนต์น้องจอดอยู่ข้างทาง ส่วนรถกระบะจอดหันหน้าไปทาง อ.ชุมแพ มีชายอายุ 25-30 ปี เป็นคนขับ ซึ่งขณะนั้นยังไม่ทราบเรื่องที่คนขับรถข่มขืนน้องสาว ทราบเพียงว่าเกิดอุบัติเหตุเพราะน้องมีอาการเมาสุรา ขับรถจักรยานยนต์เฉี่ยวชนท้ายรถยนต์ น้องสาวถูกตำรวจ สภ.สีชมพู นำตัวไปตรวจวัดแอลกอฮอล์ และพบว่ามีแอลกอฮอล์ในเลือด จึงถูกจับในข้อหาเมาแล้วขับ และให้ไปเสียค่าปรับที่ศาล ซึ่งเรื่องนี้ครอบครัวยอมรับ เพราะน้องสาวเมาจริง

“ครอบครัวไม่รู้เลยว่าน้องสาวถูกข่มขืน กระทั่งถึง สภ.สีชมพู น้องสาวจึงบอกว่าถูกคนขับรถข่มขืนในป่าข้างทาง เมื่อรู้จึงรีบแจ้งตำรวจให้จับกุมคนขับรถรายดังกล่าว ซึ่งตำรวจได้นำตัวไปสอบสวน คนขับรถยนต์ก็สารภาพว่า ได้ข่มขืนน้องสาวจริง ขณะเดียวกันก็ส่งตัวน้องสาวไปตรวจร่างกาย ตรวจภายในที่โรงพยาบาล แพทย์แจ้งด้วยวาจาว่า มีคราบอสุจิและมีร่องรอยการถูกล่วงละเมิดทางเพศ แต่ตำรวจ สภ.สีชมพูกลับปล่อยตัวคนขับรถยนต์ไป โดยไม่มีการแจ้งข้อหาใด ๆ ทั้งยังบอกกับทางครอบครัวว่า ไม่มีพยานหลักฐาน ไม่สามารถจับกุมตัวได้” น.ส.แก้ว กล่าว

น.ส.แก้ว กล่าวอีกว่า จึงเป็นที่คลางแคลงใจอย่างมากว่า คนร้ายรับสารภาพต่อหน้าแท้ ๆ ยังไม่สามารถทำอะไรได้ และยังไม่มีการสอบปากคำ ไม่มีการรับแจ้งความใด ๆ จึงอยากฝากถึงผู้บังคับบัญชาของตำรวจสภ.สีชมพูว่า ช่วยให้ความเป็นธรรมกับน้องสาวและครอบครัวเราด้วย คนร้ายรับสารภาพขนาดนี้ยังทำอะไรไม่ได้ ยังปล่อยคนร้ายกลับบ้านไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และขอยืนยันว่า ครอบครัวเราจะเอาเรื่องตามกฎหมายให้ถึงที่สุด ไม่มีการไกล่เกลี่ย ยอมความเด็ดขาด

ขณะที่ พ.ต.อ.จำรัส ไชยศักดิ์ ผกก.สภ.สีชมพู กล่าวว่า กรณีที่เกิดขึ้นเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้นิ่งนอนใจ แต่ต้องแยกออกเป็น 2 กรณี คือ กรณีเมาแล้วขับ และ กรณีข่มขืนอนาจาร ในส่วนของเมาแล้วขับมีการแจ้งข้อหากับ น.ส.บีไปเรียบร้อยแล้ว

พ.ต.อ.จำรัส กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีข่มขืน ถึงแพทย์จะระบุร่องรอยการถูกล่วงละเมิดทางเพศ ก็ใช่ว่าจะเป็นการข่มขืน ซึ่งในจุดนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องรวบรวมพยานหลักฐาน และสอบสวนรายละเอียดต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากการข่มขืนต้องดูในรายละเอียดว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นสมยอมหรือไม่ หรือข่มขืนด้วยเหตุใด แต่ขอยืนยันว่าจะให้ความเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าย

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน