วันที่ 22 พ.ค. พ.ต.ท.ณรงค์ฤทธิ์ งามแฉ่ง สารวัตรสถานีตำรวจทางหลวง 3 กองกำกับการ 2 จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ สั่งการให้ ร.ต.อ.คมสัน วรรณสกุล รอง สารวัตรสืบสวน สถานีตำรวจทางหลวงประจวบคีรีขันธ์ พร้อมด้วย ร.ต.อ.สมควร หิรัญเนตร สว.(ป.) , ด.ต.สมโภชน์ รงค์วราโภชน์ , ด.ต.พิสิษฐ์ กิมเฮง , ด.ต.ธวัชชัย กระโห้ทอง , ด.ต.กมล กิ่งทอง , ด.ต.ชัยยา พระวังก่ำ , ด.ต.ปรีชา ทัศนา , ด.ต.สันติ สัตยาบรรพ , ด.ต.สุวิท คงวิจิตร , ด.ต.กายวัฒน์ เกษมวัฒน์ ผบ.หมู่ ส.ทล.3 กก.2 บก.ทล.

ตั้งจุดตรวจจับความเร็วบนถนนบายพาสชะอำปราณบุรี เพื่อป้องกันอุบัติเหตุบนท้องถิ่นและป้องกันเหตุอาญชากรรมในพื้นที่ บนถนนหลวงหมายเลข 37 สายบายพาสชะอำปราณบุรี กิโลเมตรที่ 27 ขาล่องใต้ ต.หินเหล็กไฟ อ.หัวหิน

ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการตั้งจุดตรวจ พบรถยนต์ส่วนบุคค ยี่ห้อฮอนด้า สีดำ หมายเลขทะเบียน ขย 5716 เชียงใหม่ ขับมุ่งหน้าไปพื้นที่ อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจพบว่ารถคันดังกล่าว ฝ่าฝืนป้ายจำกัดความเร็ว จึงส่งสัญญาณให้รถคันดังกล่าวหยุดรถ เพื่อทำการตรวจสอบและแจ้งข้อกล่าวหาให้ทราบและทำการ ออกใบสั่งให้แก่ผู้ขับขี่ ทราบชื่อต่อมาคือ นายชลิต (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 32 ปี ชาวบ้าน อ.เมือง จ.พิษณุโลก

ทั้งนี้ขณะจับกุม นายชลิต มีท่ามีพิรุธสงสัย เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ทำการตรวจสอบชื่อและข้อมูลส่วนบุคคล กับระบบสารสนเทศของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือ ระบบ CRIMES ON MOBILE และระบบ POLICE เพิ่มเติม พบว่า นายชลิต เป็นผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลจังหวัด แขวงพระนครเหนือ ที่ จ.77/2558 ลงวันที่ 29 มกราคม 2558 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกง”

เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจึงแสดงหมายจับให้ นายชลิต ดู ซึ่งรับว่าข้อมูลส่วนบุคคลตรงกันกับชื่อผู้ต้องหาในหมายจับจริง แต่ขอให้การปฏิเสธและยังไม่เคยถูกดำเนินคดีตามหมายจับนี้มาก่อน

โดยเบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้งข้อหาและนำตัวมาที่ หน่วยบริการตำรวจทางหลวงหัวหิน เพื่อทำบันทึกการจับกุม ก่อนนำตัวส่งพนักงานสอบสวน กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

สำหรับคดีฉ้อโกงดังกล่าวสื่บเนื่องจาก เมื่อวันที่ 5 มี.ค.2557 นางสุภาวดี (ขอสงวนนามสกุล) พร้อมกับพวก รวม 17 คน ร้องทุกข์กล่าวโทษต่อ พนักงานสอบสวน กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) ให้ดำเนินคดีกับ น.ส.สุวรรณา (ขอสงวนนามสกุล) กับพวก ผู้ต้องหา ในความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกง”

กรณี ผู้ต้องหากับพวกได้ร่วมกันหลอกลวง ผู้กล่าวหา กับพวก ให้ร่วมลงทุนทำธุรกิจเกี่ยวกับการส่งออกสินค้าประเภทอะไหล่รถจักรยานยนต์, ยางรถจักรยานยนต์ และรถจักรยานยนต์ ไปขายยังประเทศมัลดีฟ และจะได้ผลตอบแทน 10 เปอร์เซ็นต์จากจำนวนเงินที่ลงทุน

ผู้กล่าวหากับพวกหลงเชื่อมอบเงินร่วมลงทุนให้ไปหลายครั้งรวมเป็นเงิน 14,451,140 บาท ต่อมา เมื่อครบกำหนด พบว่าไม่มีการโอนเงินคืนมาให้ผู้กล่าวหากับพวก แต่อย่างใด

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน