เจ้าของร้านเสริมสวย สิ้นหวัง ประกายขายกิจการหาเงินรักษาแม่ป่วยอัมพาต ตามองไม่เห็น – พี่ชายพิการ เผยชีวิตโหดร้าย ถูกหลอกซ้ำซาก-บ้านจะถูกยึด

วันที่ 28 ก.ค. ผู้สื่อข่าวได้รับรู้เรื่องราวความรักของสาวเจ้าของร้านเสริมสวย ที่มีต่อแม่ป่วยและพี่ชายพิการ ถึงขนาดยอมประกาศขายร้านเสริมสวยเพื่อหาเงินรักษาแม่ คือ นางบุญช่วย สาระภิรมย์ แม่ อายุ 76 ปี ที่ป่วยเป็นโรคอัมพฤกษ์อัมพาตเมื่อ 15 ปีที่แล้ว อีกทั้งตายังมองไม่เห็นและเป็นแผลกดทับ ส่วนพี่ชายคือ นายวัลลภ สาระภิรมย์ อายุ 47 ปี ประสบอุบัติตั้งแต่ปี 2542 จนทำให้ไม่สามารถลุกเดินได้ โดยภาระหาเงินดูแลแม่และพี่ชายจึงมาตกอยู่ที่เธอทั้งหมด

เกาะติดข่าว กดติดตามไลน์ ข่าวสด
เพิ่มเพื่อน

ล่าสุดกำลังจะถูกยึดบ้านในสิ้นเดือนส.ค.นี้ ทำให้ทั้งหมดจะไม่มีบ้านอยู่ จึงประกาศขายร้านเสริมสวยที่เปิดไว้ เตรียมหาเงินไว้รักษาแม่และพี่ชายพร้อมหาที่อยู่ใหม่ให้ทั้งคู่ ตอนนี้ทำได้แค่รอความหวังปาฏิหาริย์ว่าบ้านจะไม่ถูกยึด ก่อนหน้านี้เคยร้องขอความช่วยเหลือไปหลายหน่วยงาน แต่ไม่ได้รับการช่วยเหลือ จึงมาโพสต์ขอความช่วยเหลือทางเพจ “บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์” แต่กลับถูกหนุ่มแอบอ้างซี้พี่บิณฑ์ หลอกทำเอกสารรับรองเงินเดือนกู้เงินใช้หนี้ อ้างพี่บิณฑ์เรียกพบให้การช่วยเหลือ สุดท้ายติดต่อไม่ได้

เจ้าของร้านเสริมสวย สิ้นหวัง ประกายขายกิจการหาเงินรักษาแม่กับพี่ชาย

เจ้าของร้านเสริมสวย สิ้นหวัง ประกายขายกิจการหาเงินรักษาแม่กับพี่ชาย

ต่อมาผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปที่บ้านเลขที่ 81 ม.7 ต.ท่าชุมพล อ.โพธาราม จ.ราชบุรี เพื่อพบกับ น.ส.ภาคิน รัตน์ชาปากรณ์ อายุ 40 ปี เจ้าของร้านเสริมสวยใน จ.นครปฐม โดย น.ส.ภาคิน เล่าว่า ตนทำงานเลี้ยงแม่ตั้งแต่อายุ 20 ปี ส่วนพี่สาวคนโตเสียชีวิตแล้ว และพี่ชายมาประสบอุบัติตั้งแต่ปี 2542 ทำให้ลุกเดินไม่ได้ ส่วนแม่มาป่วยเป็นโรคอัมพฤกษ์อัมพาตเมื่อ 15 ปีที่แล้ว ทำให้ตนต้องรับภาระหาเงินเลี้ยงดูทั้งครอบครัว

“จนดิฉันหาช่องทางเปิดร้านเสริมสวยที่ จ.นครปฐม ตั้งแต่ปี 2556 เพราะมีลูกค้ามากกว่าที่ จ.ราชบุรี แต่อาการของแม่และพี่ชายหนักขึ้น ทำให้ต้องหาเงินมากขึ้นในการใช้จ่ายเรื่องค่ารักษาแม่และพี่ชาย จนเมื่อปี 2559 มีลูกค้ามาทำผมที่ร้าน แนะนำวิธีขยายร้านเพื่อหาเงินได้มากขึ้น พร้อมกับแนะนำให้ดิฉันนำบ้านไปขายฝาก เพื่อนำเงิน 5 แสนบาทมาเดินบัญชี โดยอ้างว่าเสียดอกไม่แพงและส่งแค่ปีละครั้ง พอหลังเดินบัญชีธนาคารจะสามารถกู้เงินกับทางธนาคารผ่านได้ ทำให้ดิฉันสามารถขยายร้าน และเอาเงินไปถอนบ้านได้ ที่สำคัญแม่กับพี่ชายจะได้สบายไปด้วย จึงทำให้ดิฉันหลงเชื่อยอมทำตามที่เขาหลอก โดยขายฝากบ้านนำเงิน 5 แสนบาทมาให้เขา ซึ่งเขาขอค่าดำเนินการ 15,000 บาท” น.ส.ภาคิน กล่าว

น.ส.ภาคิน รัตน์ชาปากรณ์ อายุ 40 ปี เจ้าของร้านเสริมสวยใน จ.นครปฐม

น.ส.ภาคิน รัตน์ชาปากรณ์ อายุ 40 ปี เจ้าของร้านเสริมสวยใน จ.นครปฐม

น.ส.ภาคิน กล่าวต่อว่า หลังจากที่เขาได้รับเงินไป ตนก็ไม่สามารถติดต่อได้อีกเลย จึงรู้ว่าถูกหลอก และไปแจ้งความจับตัวเขาได้วันที่ 12 เม.ย.2560 แต่คู่กรณีมีผู้เสียหายเยอะ จึงยอมติดคุกทำให้ตนไม่ได้เงินคืนแถมยังมีหนี้ก้อนใหญ่ถึง 9 แสนบาทในการนำบ้านไปขายฝาก ระหว่างนั้นแม่ของตนกับเป็นกำบังลมย้อยออกมาประมาน 10 เซนติเมตร ตนจึงต้องพาแม่ไปหาหมอหลายที่ ซึ่งแพทย์ไม่สามารถผ่าตัดให้ได้

น.ส.ภาคิน กล่าวอีกว่า ตนจึงตัดสินใจพาเข้าโรงพยาบาลสนามจันทร์ จ.นครปฐม ทำให้ตนต้องติดหนี้โรงพยาบาล 1 แสนกว่าบาท แต่หลังจากนั้นไม่นาน แม่ก็ตามองไม่เห็น แต่กลับไม่ยอมบอกเพราะกลัวว่าตนจะไปหายืมเงินคนอื่นมารักษา จนตาแม่มองไม่เห็น แถมแม่ล้มจนกระดูกหลังหัก 2 ท่อน ทำให้ต้องพาแม่เข้าโรงพยาบาลสนามจันทร์อีกครั้ง จนเป็นหนี้โรงพยาบาลอยู่อีกประมาณ 170,000 บาท

น.ส.ภาคิน กล่าวด้วยว่า หลังจากออกโรงพยาบาลมา ตนมีค่าใช้จ่ายเริ่มสูงขึ้น จากการซื้อของใช้ในการดูแลแม่กับพี่ชาย ทำให้ต้องไปกู้หนี้ยืมสิน สุดท้ายต้องพาแม่เข้าโรงพยาบาลอีกครั้ง แต่ตนติดหนี้โรงพยาบาลสนามจันทร์ไว้ จึงพาแม่ไปเข้าโรงพยาบาลคริสเตรียน จ.นครปฐม จนต้องเอารถยนต์ โทรทัศน์ โทรศัพท์ และข้าวของภายในบ้านต่าง ๆ ไปจำนำ เพื่อเอาเงินมารักษาแม่และนำแม่ออกจากโรงพยาบาลคริสเตรียน

แม่ของน.ส.ภาคินที่ป่วยเป็นอัมพาตและตามองไม่เห็น

แม่ของน.ส.ภาคินที่ป่วยเป็นอัมพาตและตามองไม่เห็น

“หลังจากนั้นปี 63 บ้านที่ดิฉันหลงเชื่อลูกค้าที่มาหลอกดิฉันให้ไปเดินบัญชี และนำไปขายฝากกับนายทุน ต้องการใช้เงิน จึงบอกให้ดิฉันนำเงินมาโอนเอาบ้านคืนไป ในราคา 9 แสนบาท ภายในสิ้นเดือนสิงหาคม ไม่อย่างนั้นเขาจำเป็นต้องขายบ้านหลังนี้ และต้องให้ดิฉันกับแม่ที่ป่วยและพี่ชายที่พิการออกจากบ้าน ซึ่งที่ผ่านมายอมรับว่านายทุนดีต่อครอบครัวดิฉันมาก เพราะยอมให้อยู่บ้านหลังนี้ แต่ปีนี้เขาต้องการใช้เงิน จึงจำเป็นต้องให้ครอบครัวของดิฉันหาเงินมาเอาบ้านคืนไป” น.ส.ภาคิน กล่าว

น.ส.ภาคิน กล่าวว่า ตนไม่รู้จะทำอย่างไร จึงพยายามดิ้นรนหาหน่วยงานช่วยเหลือ แต่กลับไม่ได้รับการต้อนรับจากหน่วยงานใด ๆ จึงหันหน้าไปโพสต์ตามสื่อเพจต่าง ๆ ทั้งเพจของ “บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์” และ “บุ๋ม ปนัดดา” รวมถึงตามเพจสื่อข่าวต่าง ๆ แต่กลับได้รับคำตอบว่า ต้องเสียเงินค่าดำเนินการ ประสานงานให้การช่วยเหลือ เป็นเงินหลัก 5,000-10,000 บาท

เจ้าของร้านเสริมสวย กล่าวต่อว่า ซึ่งตนจนปัญญาเพราะไม่มีเงินเหลือแล้ว และของภายในบ้านก็ขายไปหมดแล้ว จึงประกาศขายร้านเสริมสวย ซึ่งเป็นแหล่งทำเงินเลี้ยงครอบครัวชิ้นสุด เพื่อเตรียมเอาเงินไว้รักษาแม่และพี่ชาย พร้อมเตรียมหาที่อยู่ใหม่ เพราะตนรู้ดีว่า คงไม่มีปัญญาที่จะหาเงิน 9 แสนบาทไปโอนเอาบ้านคืน

น้องสาวดูแลพี่ชายที่พิการเนื่องจากประสบอุบัติเหตุ

น้องสาวดูแลพี่ชายที่พิการเนื่องจากประสบอุบัติเหตุ

น.ส.ภาคิน กล่าวว่า แต่ความสิ้นหวังที่มืดมิดกลับมีแสงสว่างลอดเข้ามาในชีวิต เนื่องจากมีผู้ชายคนหนึ่งโทรศัพท์ติดต่อเข้ามาที่เบอร์ของตนว่า เป็นคนในทีมงานของ บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ และเป็นเพื่อนซี้กับพี่บิณฑ์ ซึ่งเขาเห็นเรื่องของตนแล้วสงสารอยากช่วยเหลือ พร้อมจะส่งเรื่องให้พี่บิณฑ์เข้ามาช่วยเหลือ แต่ตนต้องทำตามเขาทุกอย่าง ซึ่งช่วงนั้นทุกอย่างประดั่งเข้ามาในชีวิตของตน ทั้งเป็นหนี้สิน บ้านก็กำลังจะถูกยึด ทรัพย์สินในบ้านก็ขายจนจะไม่มีอะไรเหลือแล้ว ตนจึงเชื่อใจเขายอมทำตามทุกอย่างที่เขาสั่ง เพื่อหวังให้เขาส่งเรื่องให้พี่บิณฑ์เข้ามาช่วยเหลือแม่กับพี่ชายตน

“ซึ่งเขาให้ตนทำเอกสารต่าง ๆ ทั้งเอกสารรับรองเงินเดือน เอกสารกู้เงิน ดิฉันยอมทำตามเพราะเป็นความหวังเดียวในชีวิตแล้ว แต่สุดท้ายเขาได้บอกกับดิฉันว่า พี่บิณฑ์เรียกเข้าไปพบ เพื่อให้นำเรื่องของดิฉันไปให้แล้วหายไป ดิฉันจึงพยายามโทรสอบถาม แต่กับไม่ได้รับคำตอบจากเขา จนติดต่อเขาไม่ได้อีก จึงทำให้รู้ว่า ถูกเขาหลอกแล้ว” เจ้าของร้านเสริมสวย กล่าว

น.ส.ภาคิน กล่าวด้วยว่า ล่าสุดตนพยายามหันหน้ามาขายร้านให้ได้ เพื่อจะเอาเงินมาไว้ใช้จ่าย แต่ช่วงโควิดทำให้ไม่มีใครกล้ามาซื้อร้านต่อจากตน ทำให้ตนสิ้นหวังทุกทางแล้ว จึงไปปรึกษากับแม่และพี่ชาย โดยพูดกับแม่และพี่ชายว่า “เราไปด้วยกันนะ เรา 3 คน หนูไม่ไหวแล้ว” จะกินยาล้างห้องน้ำฆ่าตัวตายไปพร้อมกัน ซึ่งแม่ก็พยักหน้ารับรู้เรื่อง ส่วนพี่ชายได้บอกว่า แล้วแต่ตนตัดสินใจ

ร้านเสริมสวยที่ประกาศขาย

ร้านเสริมสวยที่ประกาศขาย

น.ส.ภาคิน กล่าวอีกว่า แต่ความรู้สึกของความเป็นคนของตนได้เตือนว่า ตนต้องเอายาให้แม่และพี่ชายกินก่อน ถึงตนจะกินยาตายตาม ซึ่งมันหมายถึงตนต้องฆ่าแม่และพี่ชาย จึงทำให้ตนทำไม่ได้ โดยเป็นแบบนี้ถึง 3 ครั้ง แต่ก็มีบางอย่างเตือนสติตนเรื่อยมา

น.ส.ภาคิน กล่าวว่า หลังจากที่ตนตั้งสติได้แล้ว ตนพยายามทำทุกทางเพื่อหาเงินมาใช้จ่ายค่ารักษาแม่กับพี่ชาย แต่กลับมีเรื่องร้ายเข้ามาในชีวิตอีกครั้ง เมื่อตนเข้าโรงพยาบาลและไปตรวจพบว่า เป็นเนื้องอกในต่อมไร้ท่อ ทำให้นั่งคิดหมดหวังทุกทางแล้ว จึงกลับไปนั่งปรึกษากับแม่และพี่ชายอีกครั้ง แต่ครั้งนี้คิดว่า จะใช้วิธีรมควันฆ่าตัว เพราะเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้เสียชีวิตไปพร้อมกัน 3 ชีวิต ซึ่งช่วงที่ตนกำลังเตรียมการ กลับได้รับการติดต่อจากผู้สื่อข่าวสอบถามเรื่องราวเข้ามาเสียก่อน ตนกับพี่ชายจึงหยุดความคิด และนั่งรอความหวังผู้สื่อข่าวลงพื้นที่เข้ามาตรวจสอบเรื่องราวทั้งหมด

 

สำหรับท่านใดที่ต้องการให้ความช่วยเหลือครอบครัวของ น.ส.ภาคิน สามารถโอนเงินช่วยเหลือได้ที่ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาโพธาราม ชื่อบัญชี นางสาวภาคิน รัตน์ชาปากรณ์ เลขที่บัญชี 693-223103-2 หรือโทรติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ที่โทร 065-634-5414

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน