“อธิบดีอุทยานฯ” แจงไม่มีการเพิกถอนป่า”ทับลาน”แจกชาวบ้าน หลัง “ดำรงค์ พิเดช” ออกมาค้าน ระบุแค่ทำแนวทางรองรับกฎหมายอุทยานฯ ฉบับใหม่ให้คนทำกินในป่าอนุรักษ์ได้

จากกรณี นายดำรงค์ พิเดช หัวหน้าพรรคทวงคืนผืนป่าประเทศไทย ในฐานะอดีตอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ตั้งข้อสังเกตและวิจารณ์การเพิกถอนเขตพื้นที่ป่าอนุรักษ์ อุทยานแห่งชาติทับลาน โดยไม่เห็นด้วยกับการเพิกถอนดังกล่าว เนื่องจากการเพิกถอนเขตอุทยานฯ ต้องมีเหตุผลชี้แจงที่ชัดเจน ต้องเป็นโครงการที่คิดเพื่อส่วนรวม ซึ่งหากพื้นที่อุทยานแห่งชาติทับลานสามารถเพิกถอนได้ จะส่งผลกระทบต่อพื้นที่อุทยานฯอื่นๆทั่วประเทศ ที่สามารถเพิกถอนได้เช่นกัน และกรณีชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในเขตป่าอนุรักษ์มาก่อน ภาครัฐควรมีการจำกัดพื้นที่ห้ามบุกรุกขยายพื้นที่เพิ่มเติม หรือมีการจ่ายค่าเช่าเป็นรายปีนั้น

เมื่อวันที่ 22 ส.ค. นายธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า อุทยานแห่งชาติทับลาน กำหนดพระราชกฤษฎีกาให้เป็นอุทยานแห่งชาติ เมื่อปี 2524 มีเนื้อที่ประมาณ 1,397,375 ไร่ ครอบคลุมพื้นที่อ.วังน้ำเขียว อ.ปักธงชัย อ.ครบุรี อ.เสิงสาง จ.นครราชสีมา และอ.นาดี จ.ปราจีนบุรี มีพื้นที่ทับซ้อนกับพื้นที่ถือครองของราษฎร เนื้อที่ประมาณ 278,530 ไร่

แยกเป็น 1.ทับซ้อนกับเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก.) บริเวณท้องที่อ.วังน้ำเขียว อ.ครบุรี และอ.ปักธงชัย จ.นครราชสีมา เนื้อที่ประมาณ 58,582 ไร่ 2.ทับซ้อนกับพื้นที่โครงการจัดที่ดินทำกินแก่ราษฎรผู้ยากไร้ (คจก.) โครงการพัฒนา เพื่อความมั่นคง (พมพ.) โครงการช่วยเหลือราษฎรให้มีสิทธิทำกิน (สทก.) โครงการพัฒนาป่าเสิงสาง-ครบุรี และพื้นที่ถือครองของราษฎรบริเวณท้องที่อ.วังน้ำเขียว อ.ครบุรี อ.เสิงสาง จ.นครราชสีมา และอ.นาดี จ.ปราจีนบุรี เนื้อที่ประมาณ 219,948 ไร่

นายธัญญา กล่าวว่า ต่อมาได้ซื้อ-ขายเปลี่ยนมือที่ดินจากราษฎรเดิมเป็นของนายทุน เพื่อใช้ทำรีสอร์ทและบ้านพักตากอากาศ จึงได้จับกุมดำเนินคดี ในท้องที่อ.วังน้ำเขียว อ.ครบุรี อ.เสิงสาง จ.นครราชสีมา และอ.นาดี จ.ปราจีนบุรี รวมจำนวน 473 คดี โดยส่วนใหญ่เป็นคดีในท้องที่อ.วังน้ำเขียว จำนวน 336 คดี

สำหรับการแก้ไขปัญหาการถือครองที่ดินของราษฎรในเขตอุทยานแห่งชาติทับลาน ได้กำหนดแนวทางในการแก้ไขปัญหาให้กับราษฎร ออกเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้ กลุ่มที่ 1 พื้นที่ สปก ท้องที่ อ.วังน้ำเขียว ครบุรี และปักธงชัย เนื้อที่ประมาณ 58,582 ไร่ ทั้งในส่วนที่ได้มีการดำเนินการรังวัดจัดที่ดินไปแล้ว (ส.ป.ก. 4-01) และในส่วนที่อยู่ระหว่างการดำเนินการ กรมอุทยานฯ ได้จัดทำข้อหารือให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาอำนาจในพื้นที่ตามกฎหมายแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา

กลุ่มที่ 2 พื้นที่จัดที่ดินทำกินตามโครงการของรัฐ ท้องที่อ.เสิงสาง อ.ครบุรี และอ.นาดี เนื้อที่ประมาณ 67,876 ไร่ สภาพโดยทั่วไปเป็นพื้นที่ที่ทางราชการได้เคยจัดเป็นที่ทำกินและอยู่อาศัยให้กับราษฎร ตามโครงการจัดสรรที่ดินทำกินแก่ราษฎรผู้ยากไร้ (คกจ.) โครงการพัฒนาเพื่อความมั่นคง (พมพ.) โครงการช่วยเหลือราษฎรให้มีสิทธิทำกิน (สทก.) โครงการพัฒนาป่าเสิงสาง-ครบุรี และพื้นที่ถือครองของราษฎร ปัจจุบันยังคงสภาพเป็นพื้นที่ทำกินและอยู่อาศัย โดยราษฎรกลุ่มดังกล่าว กลุ่มนี้เห็นสมควรใช้มติ ครม. เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. 2541 เป็นเครื่องมือในการแก้ไขปัญหา พร้อมพิจารณาสนับสนุนสาธารณูปโภคเพื่อการดำรงชีพปกติของราษฎรในพื้นที่ได้ตามสมควร

นายธัญญา กล่าวว่า ส่วนกลุ่มที่ 3 พื้นที่ที่ไม่ใช่กลุ่ม 1 และกลุ่ม 2 ท้องที่อ.วังน้ำเขียว อ.ครบุรี และอ.นาดี เนื้อที่ประมาณ 152,072 ไร่ สภาพโดยทั่วไปเป็นพื้นที่ที่มีราษฎรถือครองที่ดินเพื่อทำกินและอยู่อาศัย แต่มีบางส่วนที่มีการเปลี่ยนมือให้กลุ่มทุนเข้ามาครอบครองเพื่อก่อสร้างรีสอร์ท หรือบ้านพักตากอากาศ จึงต้องดำเนินการตามกฎหมายต่อผู้ครอบครองกลุ่มนี้ สำหรับพื้นที่ที่มีราษฎรถือครองที่ดินโดยปกติทั่วไป เห็นควรดำเนินการตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 30 มิ.ย.2541 และให้มีการพิจารณาสนับสนุนสาธารณูปโภคเพื่อการดำรงชีพปกติของราษฎรในพื้นที่ได้ตามสมควร

ดังนั้นเพื่อให้การแก้ไขปัญหาข้างต้นประสบผลสำเร็จในการปฏิบัติ กรมอุทยานแห่งชาติฯ จึงได้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการและคณะทำงานแก้ไขปัญหาที่ดินภายในเขตอุทยานแห่งชาติทับลานขึ้น โดยให้เร่งรัดดำเนินการในพื้นที่กลุ่มที่ 2 ท้องที่ อ.เสิงสาง จ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีการครอบครองที่ดินเดิมของราษฎรก่อน ด้วยการรังวัดแปลงถือครองที่ดินตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. 2541 ที่ราษฎรได้แจ้งและมีการตรวจสอบพิสูจน์การครอบครองที่ดินไปแล้ว จำนวน 6,041 ราย 7,489 แปลง เนื้อที่ประมาณ 46,709 ไร่ คงเหลือพื้นที่ที่ต้องดำเนินการเพิ่มเติม (ตกสำรวจ)

ขณะนี้จัดชุดสำรวจเพื่อที่จะดำเนินการรังวัดแปลงถือครองของราษฎร โดยมีราษฎรแจ้งเพื่อขอสำรวจเพิ่มเติมไว้แล้วจำนวน 2,555 ราย 3,859 แปลง เนื้อที่ประมาณ 31,755 ไร่ มีระยะเวลาดำเนินการ ส.ค.-ก.ย.2560 และจะดำเนินการในกลุ่มที่ 3 ต่อไป สำหรับพื้นที่กลุ่มที่ 1 เมื่อคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาอำนาจตามกฎหมายในพื้นที่เป็นของหน่วยงานใด จะได้พิจารณาตามกฎหมายของหน่วยงานนั้น

อธิบดีกรมอุทยานฯ กล่าวว่า จะเห็นว่า แนวทางการแก้ไขปัญหาราษฎรที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ ตามที่ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาที่ดินภายในเขตอุทยานแห่งชาติทับลาน ของกรมอุทยานแห่งชาติฯ เสนอไว้นั้น ไม่มีการเพิกถอนพื้นที่อุทยานแห่งชาติทับลาน หรือพื้นที่ป่าอนุรักษ์อื่นๆ ให้ราษฎรเพื่อให้ได้รับสิทธิทำกินแต่อย่างใด มีเพียงการเร่งรัดดำเนินการสำรวจที่ทำกินของราษฎรตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. 2541 เพื่อรองรับการแก้ไข พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติและพ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า ตามที่ ครม.ได้มีมติเห็นชอบหลักการ เมื่อวันที่ 7 มี.ค.2560 ที่นำเสนอเข้าที่ประชุมสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ซึ่งมีนายดำรง เป็นสมาชิกอยู่ในขณะนั้น ให้ความเห็นชอบก่อนแล้ว ด้วยคะแนนเอกฉันท์ 159 เสียง งดออกเสียง 7 เสียง ก่อนนำเสนอที่ประชุม ครม. เห็นชอบหลักการ

ทั้งนี้หากร่างกฎหมายทั้ง 2 ฉบับ ได้รับความเห็นชอบและประกาศใช้แล้ว กรมอุทยานฯ จึงจะมีอำนาจในการพิจารณาอนุญาตให้ราษฎรสามารถอยู่อาศัยหรือทำกินในพื้นที่ป่าอนุรักษ์อย่างเกื้อกูลธรรมชาติโดยถูกต้องตามกฎหมาย ตามหลักการคนอยู่ร่วมกับป่า และแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ตามศาสตร์พระราชารัชกาลที่ 9 อย่างยั่งยืนต่อไป

“สำหรับกรณีที่นายดำรง มีความเห็นว่าชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในเขตป่าอนุรักษ์มาก่อน ภาครัฐควรมีการจำกัดพื้นที่ห้ามบุกรุกขยายพื้นที่เพิ่มเติม หรือมีการจ่ายค่าเช่าเป็นรายปี นั้น ในร่างพ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ และร่าง พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า ก็ได้บัญญัติให้ควบคุมจำนวนที่ดินในการถือครองของราษฎรเอาไว้อย่างรัดกุม โดยสามารถกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข เกี่ยวกับการใช้ประโยชน์ในที่ดิน ซึ่งอาจเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการใช้พื้นที่ได้ด้วย ซึ่งสอดคล้องกับความเห็นของนายดำรงค์” นายธัญญา กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ในการลงพื้นที่ อ.เสิงสาง จ.นครราชสีมา เพื่อแก้ไขปัญหาที่ดินในพื้นที่อุทยานฯ ทับลาน เมื่อวันที่ 20 ส.ค.ที่ผ่านมา ก่อนร่วมประชุม ครม.สัญจร ที่จ.นครราชสีมา พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รมว. ทรัพยากรฯ ระบุถึงการแก้ปัญหาที่ดินในอุทยานทับลานฯ ว่า ถ้า พ.ร.บ.อุทยานฯ ไม่ผ่านการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ รัฐบาลก็จะมีการแก้ไขปัญหาก๊อก 2 อาจจะมีการเพิกถอนพื้นที่ประมาณ 6.7 หมื่นไร่เศษ ให้เป็นป่าสงวนแห่งชาติ และทำการจัดสรรให้ราษฎรต่อไปเพื่อแก้ปัญหา

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน