ทำน้ำตาผู้ชายไหลไม่อายใคร น้ำมนต์ หรือ พร สาวที่ตระเวนหลอกผู้ชายแต่งงาน แล้วหลอกเอาเงินสินสอดไปรายละหลายแสน บางรายเป็นล้าน เหยื่อชายหนุ่มนับสิบ ล่าสุดพี่สาวของชายหนุ่มก้ไปแจ้งความที่ชลบุรี ว่าน้องชายก็เพิ่งถูกหลอก มายืมเงินตัวเอง เพิ่งโอนเงินไปให้ พอมีข่าว โทรไปหา น้ำมนต์ ปิดมือถือหนีไปแล้ว

โดยรูปแบบที่เหยื่อแต่ละรายโดน น้ำมนต์ หลอก จะติดต่อผ่านเฟซบุ๊กชายหนุ่ม ใช้เสน่ห์ทำให้ผู้ชายหลงต่างๆ นานา และเป็นฝ่ายเข้าหาผู้ชาย ก่อนจะชวนไปลงทุนซื้อขายผลไม้ บรรดาผู้หลงเชื่อในความรักที่มีต่อหญิงสาวรายนี้ แต่กลับถูกหลอกยับเยิน มาร่วมเปิดใจพร้อมกัน

นายวิพล ผู้เสียหายรายหนึ่ง เปิดเผยเรื่องราวที่เกิดขึ้น ผ่านรายการต่างคน ต่างคิด ว่า รู้จักกับ น้ำมนต์ ผ่านทางเฟซบุ๊ก ก่อนที่ฝ่ายหญิงชวนแต่งงาน เรียกค่าสินสอด 200,000 บาท แล้วชักชวนให้ทำธุรกิจไร่ส้ม ก่อนแต่งฝ่ายหญิงก็ได้มีการนำรูปภาพที่เป็นแผ่นอัลตราซาวด์ให้ดู ตนก็ดีใจที่ฝ่ายหญิงท้อง แล้วบอกฤกษ์แต่งงาน พอถึงวันแต่งสินสอดของตนไม่ครบ ฝ่ายหญิงจึงเลื่อนงานแต่ง ตนจึงโอนเงินค่าสินสอดให้ ฝ่ายหญิงกลับบอกว่าพ่อแม่ไม่อนุญาต ก่อนบอกว่าแท้งลูก สุดท้ายสูญเงินไปประมาณ 520,000 บาท

นายไพรัตน์ ผู้เสียหายอีกราย บอกว่า รู้จักกับ น้ำมนต์ ทางเฟซบุ๊กเช่นเดียวกัน พูดคุยได้ประมาณ 2 สัปดาห์ จึงตกลงเป็นแฟนกัน จากนั้นผ่านไปอีก 2 สัปดาห์ น้ำมนต์ก็ได้ชวนตนแต่งงาน พร้อมกับชวนให้มาทำธุรกิจผลไม้ แล้วแต่งงานกันที่บ้านของฝ่ายหญิงย่านปทุมธานี ซึ่งพ่อแม่ของน้ำมนต์ก็มาร่วมงาน พร้อมแต่งกายแบบภูมิฐาน ซึ่งฝ่ายหญิงเรียกเงินค่าสินสอด 180,000 บาท หลังจากแต่งงานได้เพียง 1 วัน ฝ่ายหญิงอ้างว่าต้องไปติดต่อซื้อผลไม้ที่จันทบุรี พอผ่านไป 1 สัปดาห์ น้ำมนต์ก็กลับมาแล้วนำรถของตนไป โดยค่ารถก็สูญไป 920,000 บาท ส่วนที่ตนคิดว่าที่ถูกหลอกเพราะว่า ถ้าเขาไม่หลอกเขาก็ต้องกลับมา และอยากบอกน้ำมนต์ว่าอย่าไปหลอกผู้ชายจนๆอีกเลย และจะต้องดำเนินคดีให้ถึงที่สุด ส่วนที่ตนตัดสินใจคบหานั้นก็ไม่ได้หวังเรื่องเงินทองหรือธุรกิจ แค่คิดอยากจะทำธุรกิจ

อีกราย คือ นายประสาร เผยว่า ตนเริ่มรู้จักหญิงรายนี้จากทางเฟซบุ๊กโดยต่างคนต่างกดไลก์กันไปมา จนคุยประมาณ 4-5 เดือน เริ่มสนิทกันมากขึ้น จนชวนกันร่วมลงทุนธุรกิจ ซึ่งตนไปกู้เงินมา 2 แสนบาท หลังจากนั้นไม่นานฝ่ายหญิงบอกตนว่าตั้งครรภ์ ด้วยความเห็นใจ ฝ่ายหญิงบอกตนให้เตรียมเงินเรื่องแต่งงาน ซึ่งงานแต่งจัดขึ้นช่วงวันที่ 1 พ.ย.2558 ตนเตรียมสินสอดไว้รวม 2 แสนบาท โดยแต่งงานที่รีสอร์ทในพื้นที่แถวจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จากนั้นแต่งงานอยู่กันได้ 4 วัน ฝ่ายหญิงขอกลับบ้าน จากนั้นฝ่ายหญิงให้หลานสาวโทรมาหาแล้วบอกว่าแท้ง เนื่องจากครรภ์เป็นพิษ

นายหนึ่ง (นามสมมติ) เปิดเผยว่า รู้จักกับน้องพรเมื่อปี 2558 โดยตัวเองเป็นคนทักเฟซบุ๊กไปหาน้องพร เพราะเห็นโปรไฟล์ว่าทำธุรกิจค้าขายผลไม้ จึงสนใจอยากทำธุรกิจด้วย หลังพูดคุยกันได้เพียง 3 วัน น้องพรก็เดินทางมาหาที่บ้าน อ.แกลง และค้างคืนด้วย 1 คืน ตอนนั้นคุณหนึ่งบอกว่าไม่มีเงินร่วมทำการค้า จึงยอมให้ทองที่มีติดตัว 1 บาทไป ก่อนที่น้องพรจะหายไป 3-4 วัน และติดต่อกลับมาหาอีกครั้ง เพื่อชวนทำฟาร์มเห็ด หลังรู้จักได้ประมาณ 1 เดือน เริ่มมีการพูดคุยเรื่องแต่งงาน ซึ่งน้องพรอ้างว่าท้อง จึงทำให้อยากแต่งงาน และพยายามหาเงินค่าสินสอด 4 แสนบาท แต่ว่าตนไม่มีเงินมาเป็นค่าสินสอด แล้วแม่ตนก็ไม่ชอบน้องพรตั้งแต่แรก คิดว่าโกหกและตั้งใจมาหลอก ตนจึงไปกู้เงินมาเป็นค่าสินสอด ส่วนทองก็เอาเงินเก็บออกไปซื้อ

เมื่อถึงวันแต่งงาน น้องพรเลือกจัดงานแต่งที่บ้านย่าของเธอที่ จ.อุดรธานี เมื่อเดินทางไปงานแต่งเพียงคนเดียว พ่อแม่ไม่ได้ไปด้วย เพราะไม่ยอมรับลูกสะใภ้คนนี้ ขณะที่น้องพรเริ่มออกห่าง หลังจากเสร็จสิ้นงานแต่งน้องพรขอแยกไปส่งคุณพ่อคุณแม่ขึ้นเครื่องบินกลับที่จังหวัดเลย โดยตนยอมรับว่าเชื่อน้องพรทุกอย่าง แล้วพอตนโทรศัพท์หาน้องพร แต่กลับมีชายหนุ่มคนหนึ่ง ระบุสถานะว่า เป็นสามีของน้องพรรับสายแทน ยอมรับว่าตกใจมาก เพราะตัวเองก็เป็นสามีของน้องพรเหมือนกัน จึงตัดสินใจวิดีโอคอลหาผู้ชายคนนั้นและพบว่าน้องพรอยู่กับผู้ชายคนนั้นจริง

ขณะที่ ชายหนุ่มรายนี้ ยอมรับว่า น้ำตาของลูกผู้ชายไหลออกมาอย่างไม่อาย เสียใจอยู่หลายวัน ซึ่งครอบครัวและคนรอบข้างก็ให้กำลังใจ พอมาทราบข่าวว่าลงมือก่อเหตุเป็นมิจฉาชีพมีผู้เสียหายหลายรายก็ตกใจ เพราะแต่ละรายสูญเสียเงินทองให้กับน้องพรจำนวนมาก ที่สำคัญตอนนี้แม้จะแต่งงานมีครอบครัวใหม่แล้ว แต่เงินที่กู้มาเพื่อน้องพรก็ยังต้องใช้หนี้เดือนละ 20,000 บาทซึ่งเป็นรายจ่ายที่ค่อนข้างสูง

ทนายสงกานต์ อัจฉริยะทรัพย์ ประธานเครือข่ายต่อต้านการบ่อนทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เปิดเผยว่า กรณีดังกล่าวถือเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ผู้ใดโดยทุจริต หลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความ อันเป็นเท็จ และมีความผิดฐานปลอมเเปลงเอกสาร เนื่องจาก ชื่อที่ใช้หลอกประชาชนนั้นคือชื่อ “สร้อยเพ็ชร์ พาลีวัลย์” ที่มีตัวตนอยู่จริงและหากผู้ที่ใช้ชื่อดังกล่าวไม่ได้เกี่ยวข้องก็ต้องรีบมาแสดงความบริสุทธิ์ ส่วนพ่อแม่ของสาวที่หลอกลวงบรรดาชายหนุ่มทั้งหลายจะเกี่ยวข้องหรือไม่นั้นก็ต้องมีการตรวจสอบว่าได้มีการโอนเงินให้พ่อแม่ใช้หรือไม่ โดยพรุ่งนี้ตนจะเดินทางไปที่กองบังคับการปราบปราม

 

 

ขอบคุณที่มา ทุบโต๊ะข่าว , ต่างคนต่างคิด อมรินทร์ทีวี

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน