เมื่อวันที่ 18 ก.ย. สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระราชานุญาตให้องค์กรภาคเอกชน มูลนิธิ และสมาคมต่างๆ ร่วมเป็นเจ้าภาพบำเพ็ญกุศลถวายพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง เป็นวันที่ 240 ภายหลังเสร็จสิ้นพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลสตมวาร โดยวันนี้มีผู้ร่วมเป็นเจ้าภาพจำนวน 44 คณะ แบ่งเป็น 4 รอบ ได้แก่ เวลา 10.30 น., 14.30 น., 17.00 น. และ 19.00 น. อาทิ กลุ่มพัฒนาภาคการเกษตรยั่งยืน เขตคลองสามวา, ศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง ต.ดอยลาน อ.เมือง จ.เชียงราย, สถานเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง ต.เขิน อ.น้ำเกลี้ยง จ.ศรีสะเกษ, ชุมนุมศิษย์เก่ากรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย รุ่น 124 เป็นต้น

วันเดียวกัน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นักเรียนจากโรงเรียนช่างฝีมือในวัง (หญิง) ทำอาหารและขนมไทยโบราณมาร่วมแจกให้กับพสกนิกรที่เดินทางมากราบสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่เต็นท์อาหารพระราชทานของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตั้งอยู่บริเวณทางออกประตูวิมานเทเวศร์ ในพระบรมมหาราชวัง ประกอบด้วย ข้าวผัดหนำเลี๊ยบหมูสับ-ไข่ดาว, ข้าวปลาร้าทรงเครื่อง, ข้าวหมูสามชั้นผัดพริกขิงถั่ว และขนมเฉาก๊วยตักโบราณ

สำนักพระราชวังสรุปยอดรวมประชาชนที่เดินทางมากราบสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง เมื่อวันที่ 17 ก.ย. หลังสำนักพระราชวัง ปิดไม่ให้ประชาชนเข้าพระบรมมหาราชวัง เพื่อขึ้นกราบสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในเวลา 23.08 น. จากกำหนดเดิมเวลา 21.00 น. เนื่องจากยังมีประชาชนเข้าแถวรอกราบสักการะพระบรมศพในมณฑลพิธีสนามหลวงเป็นจำนวนมาก โดยมีจำนวนทั้งสิ้น 59,068 คน รวม 319 วัน มี 10,774,623 คน และมีประชาชนถวายเงินเพื่อร่วมบำเพ็ญพระราชกุศลเป็นเงิน 6,639,545.75 บาท รวม 319 วัน เป็นเงินทั้งสิ้น 797,286,254.51 บาท

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้เป็นวันที่ 320 ที่มีพระราชทานพระราชานุญาตให้ประชาชนเข้ากราบสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เบื้องหน้าพระบรมโกศ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง โดยตลอดทั้งวันมีประชาชนจำนวนมากเดินทางมาเข้าคิวรอกราบสักการะพระบรมศพ จนแน่นขนัดทั้งสองฝั่งถนนราชดำเนินใน แม้สภาพอากาศจะร้อนอบอ้าว แต่ประชาชนยังคงต่อคิวอย่างไม่ย่อท้อ

นางวิชุดา หมื่นศรี อายุ 60 ปี ชาวบ้านหมู่ 7 ต.เขาขาว อ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช กล่าวว่า ตนและครอบครัว รวม 6 คน เดินทางมาจาก จ.นครศรีธรรมราช โดยมารอต่อคิวที่สนามหลวงตั้งแต่ตี 5 ก่อนได้เข้าประมาณบ่ายโมง ตนมาครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 แล้ว เห็นว่าคนเยอะกว่าทุกครั้งที่เคยมา แม้จะรอนานถึง 8 ชั่วโมงก็ไม่รู้สึกเหนื่อยเลย แต่ดีใจและภูมิใจมากที่ได้มากราบสักการะพระองค์อีก ตนก็อธิษฐานขอให้พระบารมีของพระองค์ช่วยคุ้มครองประชาชนชาวไทยให้อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข พร้อมตั้งปณิธานว่าจะทำความดีจนกว่าชีวิตจะหาไม่ ซึ่งในวันพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ตนคงไม่มีโอกาสได้มา จึงไปสมัครเป็นจิตอาสาเฉพาะกิจฯ ด้านงานดอกไม้จันทน์ เพื่อทำถวายแด่พระองค์

นางวิชุดา หมื่นศรี

“แม่ของป้าสอนตั้งแต่เด็กให้รู้จักในหลวง รัชกาลที่ 9 เมื่อโตมาก็ทราบว่าพระองค์ทรงทำเพื่อประชาชนมากมาย ทำให้รักพระองค์มาก ตั้งแต่พระองค์เสด็จสวรรคต เวลาได้ยินข่าวเกี่ยวกับพระองค์ก็ยังร้องไห้ตลอด ส่วนตัวได้น้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการดำเนินชีวิต ที่บ้านก็มีศูนย์เพาะพันธุ์ปลาขายและปลูกผัก ถ้าเหลือก็นำมากินเอง ทำให้พออยู่พอกิน ไม่ต้องไปหาซื้อ ซึ่งคนก็จะสอนลูกหลานให้เดินตามรอยพระยุคลบาทของพระองค์ด้วย” นางวิชุดา กล่าว

นายศิลา คงมั่น

ด้านนายศิลา คงมั่น อายุ 22 ปี นักศึกษาสถาบินการบินพลเรือน คณะอิเล็กทรอนิกส์การบิน กล่าวว่า ครั้งนี้มาเป็นครั้งที่ 2 แล้ว ถ้ามีโอกาสก็อยากจะมากราบสักการะพระองค์อีก แม้ตนจะไม่เคยเห็นพระองค์จริงสักครั้ง แต่ก็ได้รับรู้เรื่องราวของพระองค์จากข่าวว่า พระองค์ทรงทำอะไรเพื่อประชาชนบ้าง แต่ที่ประทับใจที่สุดคือตอนที่เกิดเหตุการณ์ปราบปรามประชาชนเมื่อวันที่ 14 ต.ค.2516 พระองค์ทรงเปิดพระราชวังสวนจิตรลดา เพื่อให้ประชาชนได้เข้าไปหลบภัย ทำให้ตนซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อประชาชน ส่วนตัวน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ โดยใช้จ่ายอย่างประหยัด ไม่ฟุ่มเฟือย

 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน