เมื่อวันที่ 19 ก.ย. สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระราชานุญาตให้ราชสกุล องคมนตรี คณะรัฐมนตรี กระทรวง ทบวง กรม องค์กรอิสระ รัฐ วิสาหกิจ และภาคเอกชน ร่วมเป็นเจ้าภาพบำเพ็ญกุศลอุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง อาทิ บริษัท โจนส์ และ ลาซาลล์ (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท ฟินแอธธ์อินฟินิตี้ จำกัด, บริษัท ทิพย์อุบล อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด, บริษัท ยี.เอ็น.อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด, บริษัท แอมแพค จำกัด

โรงเรียนวัฒนานนท์วิทยา และบริษัท เน็คคลาวด์ คอมพิวติ้ง ซิสเต็ม จำกัด, นายจุมพร ชมภูรัตน์ และคณะ, บริษัท พรีเมียม อีคลิปเม้นท์ ออโต้ควีน จำกัด, บริษัท กรีน ซัสเทนอะบิลิตี้ คอนเซ้าท์แทนท์ จำกัด, บริษัท ฐานเพชรปทุม 2014 จำกัด, บริษัท เสริมทรัพย์ไพศาล กรุ๊ป 1999 จำกัด, บริษัท ท่าเรือราชาเฟอร์รี่ จำกัด (มหาชน), บริษัท สุพรีม พรีซิชั่น แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด ฯลฯ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลอดทั้งวันมีพสกนิกรเดินทางมากราบสักการะจำนวนมาก ท่ามกลางแดดร้อนจัดตลอดทั้งวัน โดยมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ หลังจากที่ สำนักพระราชวังประกาศเปิดให้ประชาชนเข้ากราบถวายบังคมพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในวันที่ 30 ก.ย.60 เป็นวันสุดท้าย เพื่อจัดเตรียมการพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ

ทั้งนี้สำนักพระราชวังสรุปยอดรวมประชาชน ที่เดินทางมาสักการะพระบรมศพ เมื่อวันที่ 18 ก.ย. หลังสำนักพระราชวังปิดไม่ให้ประชาชนเข้าพระบรมมหาราชวัง เพื่อขึ้นกราบสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในเวลา 23.30 น. จากกำหนดเดิมเวลา 21.00 น. เนื่องจากยังมีประชาชนเข้าแถวรอกราบสักการะพระบรมศพในมณฑลพิธีสนามหลวงเป็นจำนวนมากว่า มีจำนวนทั้งสิ้น 54,084 คน รวม 320 วัน มี 10,828,707 คน และมีประชาชนถวายเงินเพื่อร่วมบำเพ็ญพระราชกุศลเป็นเงิน 4,180,828.75 บาท รวม 320 วัน เป็นเงินทั้งสิ้น 801,467,083.26 บาท

นางนิตยา เสถียรนาม อายุ 50 ปี (กลาง)

น.ส.ธมลวรรณ คเนทรัพย์สิน อายุ 23 ปี อาชีพรับจ้าง ชนเผ่ากะเหรี่ยง หรือปกาเกอะญอ จาก อ.ลี้ จ.ลำพูน สวมชุดประจำเผ่า เดินทางมาพร้อมเพื่อนบ้าน 40 คน ด้วยรถตู้ 3 คัน ตั้งแต่เมื่อบ่ายของวันที่ 18 ก.ย. ที่ผ่านมา และมาถึงสนามหลวงในเวลาเที่ยงคืน ก่อนจะรอคิวและได้เข้ากราบพระบรมศพในเวลา 6 โมงเช้า และเข้ากราบขอพรพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร ที่วัดพระศรีรัตนศาสดารามด้วย

“ส่วนตัวมาเป็นครั้งที่ 2 โดยครั้งนี้ลูกสาวอยากจะมากราบพระองค์ท่านมาก จึงพามาในครั้งนี้ พร้อมทั้งมารดาด้วย สำหรับพวกเราชาวเขาได้รับพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ มากมายเหลือเกิน ทรงช่วยเหลือให้พวกเรามีอาชีพ มีรายได้ และได้ใช้ชีวิตที่ดีสืบทอดต่อมายังลูกหลาน พวกเราจะมีพระบรมฉายาลักษณ์ของพระองค์ขณะเสร็จฯมาทรงงานที่หมู่บ้านติดตัวเสมอ เพื่อระลึกถึงสิ่งที่พระองค์ และน้อมนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการดำเนินชีวิต รู้จักใช้อย่างพอเพียง ไม่ฟุ่มเฟือยและอดออม” น.ส.ธมลวรรณ กล่าว

ขณะที่ นางนิตยา เสถียรนาม อายุ 50 ปี พสกนิกรจาก จ.พิษณุโลก ที่มาประกอบอาชีพค้าขายในกรุงเทพฯ เปิดเผยว่า ตนมาเป็นครั้งที่ 15 ด้วยความรู้สึกรักพระองค์ท่านมาก โดยครั้งนี้ได้ไปรับมารดามาจากพิษณุโลกมาด้วย แม้จะเดินไม่ค่อยไหวแต่ก็อยากจะมากราบสักครั้งหนึ่งในชีวิต โดยมาถึงสนามหลวงเวลา 03.00 น. และเข้ากราบพระบรมศพประมาณ 6 โมงเช้า แม้จะใช้เวลารอนาน แต่หากได้เข้ากราบพระองค์แล้ว ความรู้ตื้นตันก็เข้ามาแทนที่ทุกความรู้สึกทันที ทั้งนี้ ตั้งใจจะมากราบอีกครั้งในวันที่ 30 ก.ย. ซึ่งเปิดเข้ากราบสักการะวันสุดท้าย

“มากราบพระองค์ตั้งแต่วันที่สำนักพระราชวังเปิดให้เข้ากราบวันแรก ซึ่งไม่อยากจะเชื่อว่าพระองค์จะสวรรคตแล้ว เป็นเหมือนความฝันที่ไม่อยากให้เป็นจริง รู้สึกเหมือนเป็นเรื่องโกหก พอได้ขึ้นกราบบนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ตาพร่ามัวไปหมด ไม่อยากยอมรับความจริง ไม่อยากให้พระองค์ท่านจากไปไหน ตนประทับใจพระองค์ทั้งในเรื่องการทรงงานและดำเนินชีวิต ยิ่งได้เห็นเรื่องการใช้ยาสีพระทนต์ของพระองค์ ก็ทำให้เราตระหนักในการใช้ชีวิตมากขึ้นด้วย” นางนิตยา กล่าวทั้งน้ำตา

 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน