กะเหรี่ยงป่าผาก สุพรรณบุรี ร้อง รมว.ทส. แก้ปัญหาที่ดินทำกิน แนะดันกฎหมายคุ้มครองชาติพันธุ์ฯ ให้สอดคล้องวิถีชุมชน ประเพณี และความเป็นจริงในสังคมพหุวัฒนธรรม

วันที่ 8 ธ.ค. 63 ชาวกะเหรี่ยงโผล่งบ้านป่าผาก จังหวัดสุพรรณบุรี ยื่นหนังสือถึง นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผ่าน นายนพดล พลเสน ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในงานสถาปนาพื้นที่เขตวัฒนธรรมพิเศษบ้านภูเหม็น ณ ชุมชนบ้านภูเหม็น (พุเม้ยง์) ต.ทองหลาง อ.ห้วยคต จ.อุทัยธานี

กรณีความเดือดร้อนของชาวกะเหรี่ยง 15 ครัวเรือน ประชากร 80 คน ที่ขาดแคลนพื้นที่ทำกินภายหลังถูกดำเนินการละเมิดสิทธิมนุษยชนหลายครั้งตั้งแต่ปี 2528

เกาะติดข่าว กดติดตามไลน์ ข่าวสด
เพิ่มเพื่อน

เสอะเยียเบ่อ งามยิ่ง ชาวกะเหรี่ยงโผล่วบ้านป่าผาก กล่าวว่า ชุมชนถูกกระทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งการประกาศเป็นป่าสงวนแห่งชาติ การขอสัมปทานพื้นที่ตั้งสถานีอาหารสัตว์สุพรรณบุรี การประกาศอุทยานแห่งชาติ การมีโครงการสร้างอ่างเก็บน้ำองค์พระ รวมทั้งการทำสัมปทานสวนป่า ทำให้พื้นที่ของชุมชนถูกจำกัดเรื่อยๆ จากเดิมที่ชุมชนมีวิถีการทำไร่หมุนเวียนก็ไม่สามารถทำได้แล้ว และต้องถูกจับกุมดำเนินคดี

“อยากจะบอกเจ้าหน้าที่รัฐเขาว่า ให้ดูแลชาวบ้านที่เจอปัญหาเกี่ยวกับที่ดินทำกินทำให้ทั่วถึง ในฐานะที่ท่านรัฐมนตรีก็เป็นเป็นคนสุพรรณบุรีด้วยกัน ช่วยกันคิด ช่วยกันแก้ไข เข้าใจวิถีชีวิตชาวบ้านด้วย เพราะชาวบ้านเดือดร้อนมานานแล้ว ไม่มีความมั่นคงด้านที่ดินเลย” เสอะเยียเบ่อกล่าว

เสอะเยียเบ่อ ย้ำว่า กฎหมายเกี่ยวกับที่ดินป่าไม้ ต้องสอดคล้องกับบริบทพื้นที่ที่ต่างกัน และเห็นว่าการผลักดันพระราชบัญญัติส่งเสริมและอนุรักษ์วิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์จะเป็นคำตอบในการแก้ไขปัญหา

“สำคัญที่ว่ากฎหมายต้องคล้องกับจารีตประเพณีของชาติพันธุ์ที่อยู่ในป่า ไม่ใช่เอะอะอะไรก็จับกุม ทำความรุนแรงกับผู้ยากไร้ มีอะไรก็ผ่อนปรนกันบ้าง ชาวบ้านเขาสู้ไม่ได้หรอกเมื่อต้องขึ้นโรงขึ้นศาล เราต้องมีกฎหมายที่สอดคล้องกับจารีต คือกฎหมายชาติพันธุ์ฯ ที่จะทำให้เราปรับความเข้าใจกันได้ ไปกันได้ มีอะไรอยากให้รัฐมนตรีลงมาสำรวจด้วยตัวเองมากขึ้น” ผู้แทนกะเหรี่ยงโผล่วบ้านป่าผากย้ำ

ด้าน สุนี ไชยรส อดีตคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวว่า ชุมชนบ้านป่าผากต่อสู้เรื่องสิทธิที่มำกิน ถึงมีสัญญาหลายครั้งจากหน่วยงานว่าจะหาพื้นที่ให้ทดแทน นำมาสู่แนวทางการให้เช่าที่ดินทำกิน 106 ไร่ ซึ่งยังไม่เพียงพอต่อการทำไร่หมุนเวียนตามวิถีดั้งเดิม และการเช่ายังไม่มีความมั่นคงเท่าการรับรองสิทธิชุมชน ตลอดจนยังไม่มีแนวทางแก้ไขปัญหาคดีความที่ชัดเจน

“เป็นเคสที่ไม่เป็นธรรมอย่างสูงมาก มีสัญญาชัดเจนว่าต้องหาที่ทำกินให้ชดเชยตลอด ทั้งสถานีอาหารสัตว์ และอ่างเก็บน้ำ แต่สุดท้ายไม่มีใครให้ เป็นที่มาที่ทำให้เขาถูกจับกุม เป็นการละเมิดสิทธิร้ายแรง จนมาตอนนี้ก็กลับมาเริ่มต่อสู้ เขาอยากกลับไปทำไร่หมุนเวียน การให้เช่าไม่เคยมีความมั่นคง วันนี้เขามาขอหลักประกันแค่นี้ หลักประกันเรื่องความมั่นคงในที่ดิน และแนวทางแก้ไขคดีความ” สุนีกล่าว

ด้าน นายนพดล พลเสน กล่าวว่า วันนี้จะขอจัดระเบียบที่อุทัยธานีและสุพรรณบุรีก่อน ถ้าไปได้ ก็ไปด้วยกัน ท่านต้องพร้อมคืนธรรมชาติให้กับเราด้วย เช่น โครงการ คทช. แบ่งสรรปันส่วน แบ่งเขตกันแล้ว ถ้าประกาศแนวเขตแล้วท่านก็มีความมั่นคงขึ้น ไม่ต้องหวาดผวา แต่ต้องให้ประเทศด้วย โดยการเพิ่มพื้นที่สีเขียว เพิ่มการกักเก็บน้ำ เป็นต้น โดยหลังจากนั้นได้มอบให้หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไปดำเนินการ และจะนัดหมายลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงต่อไป

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน