ศาลอาญาพิพากษาจำคุกสูงสุด 290 ปี กลุ่มผู้ต้องหาคดีผลิตและจำหน่ายเครื่องสำอาง “เมจิกสกิน” แต่สำนึกผิด-ชดใช้ผู้เสียหาย ให้รอลงอาญา 3 ปี

เกาะติดข่าว กดติดตามไลน์ ข่าวสด
เพิ่มเพื่อน

เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 24 มี.ค. 2564 ห้องพิจารณาคดี 704 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดอ่านคำพิพากษา คดีหมายเลขดำ อ.42/2562 ที่พนักงานอัยการคดีเศรษฐกิจและทรัพยากร 2 เป็นโจทก์ฟ้อง บริษัท เมจิกสกิน จำกัด โดยนายกร พวงสน กรรมการผู้มีอำนาจ, นายกร พวงสน ฐานะส่วนตัว, นางวรรณภา พวงสน ภรรยาของนายกร, นายพีร์นิธิ ติรณวัตถุภรณ์, นายกสิทธิ์ วรชิงตัน และนายไมยสิทธิ์ สว่างธรรมรัตน์ ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-6 ตามลำดับ ฐานกระทำผิด พ.ร.บ เครื่องสำอาง พ.ศ.2558 พ.ร.บ.อาหาร พ.ศ.2522 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 ซึ่งจำเลยให้การรับสารภาพ

กรณีเมื่อระหว่างวันที่ 5 ส.ค.2560 -15 ก.พ.2561 ต่อเนื่องกัน บริษัท เมจิกสกินฯ นายกร และนางวรรณา ได้บังอาจร่วมกันผลิดเครื่องสำอางและสบู่ยี่ห้อ Mezzo โดยจดแจ้งต่อสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.)ว่า บริษัทเมจิกสกินฯ ตั้งอยู่เลขที่ 522/46 ถ.สืบศิริ ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครราชสีมา เป็นผู้ผลิต แต่ความจริงแล้วจำเลยทั้งสามเป็นผู้ว่าจ้างบริษัท พีโอเอส.คิสเมติกส์ (ประเทศไทย) จำกัด ให้เป็นผู้ผลิตเพื่อจำหน่ายเครื่องสำอางยี่ห้อดังกล่าว

ต่อมามีผู้เสียหายหลายรายหลงเชื่อการโฆษณาหลอกลวงของจำเลยซื้อเครื่องสำอาง และมอบเงินให้พวกจำเลยเป็นของตนเองโดยทุจริต ในวันนี้จำเลยที่ 1-6 มาศาล พร้อมทนายความเพื่อฟังคำพิพากษา

ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้ว พิพากษาว่า จำเลยทั้งหมดมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 วรรคแรก , พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์พ.ศ. 2550 มาตรา 14 (1) ,พ.ร.บ.อาหาร พ.ศ.2522 มาตรา 41,71และจำเลยที่ 1-3 มีความผิดตามมาตรา 6(10), 25(2), 53,59 และพ.ร.บ.เครื่องสำอาง พ.ศ.2558

การกระทำของจำเลยทั้งหมดเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, ฐานร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จฯ และฐานร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จฯ และฐานร่วมกันโฆษณาคุณประโยชน์ สรรพคุณของอาหาร โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษบทหนักสุด มีอัตราโทษเท่ากัน ให้ลงโทษฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 ให้จำคุกจำเลยที่ 2-6 กระทงละ 2 ปี รวม 59 กระทง และปรับ 5,000 บาท รวม 59 กระทง และความผิดข้อหาอื่นฯ

จำเลยทั้งหมดให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชน คงจำคุกจำเลยที่ 2-6 กระทงละ 1 ปี ปรับจำเลยทั้งหก กระทงละ 2,500 บาท รวม 59 กระทง ฐานร่วมกันผลิตเพื่อจำหน่ายผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ควบคุมฉลากโดยแสดงฉลากไม่ถูกต้อง และร่วมกันผลิตอาหารปลอม คงปรับจำเลยที่ 1-3 คนละ 5,000 บาท

ฐานร่วมกันจำหน่ายอาหารปลอมและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ควบคุมฉลากโดยแสดงฉลากไม่ถูกต้อง คงจำคุกจำเลยที่ 2 และ 3 คนละ 3 เดือน และปรับจำเลยที่ 1-3 คนละ 3,000 บาท ฐานร่วมกันผลิตเพื่อขายเครื่องสำอางโดยจัดให้มีฉลากและแสดงฉลากไม่ถูกต้อง คงจำคุกจำเลยที่ 2 และ3 คนละ 1 เดือน และปรับจำเลยที่ 1-3 คนละ 5,000 บาท

ฐานร่วมกันผลิตเครื่องสำอางไม่ตรงตามที่จดแจ้ง คงปรับจำเลยที่ 1-3 คนละ 5,000 บาท ฐานร่วมกันขายเครื่องสำอางปลอมที่แสดงฉลากไม่ถูกต้อง คงจำคุก จำเลยที่ 2-3 คนละ 1 เดือน และปรับจำเลยที่ 1-3 คนละ 5,000 บาท รวมจำคุกจำเลยที่ 2 และ3 คนละ 59 ปี 5 เดือน และปรับคนละ 170,500 บาท, จำคุกจำเลยที่ 4-6 คนละ 59 ปี และปรับคนละ147,500 บาท สำหรับความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชนให้จำคุกจำเลยที่ 2-6 คนละ 20 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (2)

ทั้งนี้ เมื่อรวมโทษทั้งหมดแล้ว คงปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 175,000 บาท จำเลยที่ 2 และ 3 จำคุกคนละ 20 ปี 5 เดือน และปรับ 170,500 บาท จำเลยที่ 4-6 จำคุกคนละ 20 ปี และปรับ 147,500 บาท

พิเคราะห์รายงานการสืบเสาะและพินิจจำเลยที่ 2-6 แล้ว เห็นว่าสภาพความผิดและพฤติการณ์แห่งคดีผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เครื่องสำอางที่เป็นความผิดไม่มีลักษณะที่จะเป็นอันตรายต่อสุขภาพอนามัยอย่างร้ายแรงแก่ประชาชนแต่ประการใดจนถึงขนาดที่ไม่อาจให้โอกาสแก่จำเลยที่ 2-6 กลับตัวเป็นพลเมืองดีในสังคม

อีกทั้งจำเลยที่ 2-6 ต่างก็สำนึกผิดโดยพยายามบรรเทาผลร้ายประกอบอาชีพสุจริตหารายได้ชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้เสียหายทุกราย ซึ่งเป็นเพียงผู้ซื้อสินค้าไปจำหน่าย โดยผู้เสียหายส่วนใหญ่พอใจและไม่ติดใจดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและอาญา คงมีผู้เสียหายส่วนน้อยที่ยังไม่ได้รับค่าเสียหาย ซึ่งการให้โอกาสจำเลยได้ไปประกอบอาชีพเพื่อนำรายได้มาชดใช้ค่าเสียหายน่าจะเป็นประโยชน์กว่า

นอกจากนี้ยังไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2-6 เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน โทษจำคุกจึงให้รอลงอาญาไว้ 3 ปี ส่วนที่โจทก์ขอให้จำเลยทั้งหกร่วมกันคืนเงิน หรือชดใช้เงินแก่ผู้เสียหายทั้งหมดนั้น เห็นว่าจำเลยทั้งหกดได้ชำระเงินและวางเงินต่อศาลครบถ้วนจนเป็นที่พอใจและทำสัญญาประนีประนอมยอมความ จนผู้เสียหายที่ 1-5,7,9-12,14-16,19-25,27-57 และ 59 ไม่ติดใจดำเนินคดีอีกต่อไป

จึงไม่อาจมีคำสั่งให้จำเลยทั้งหมดร่วมกันคืนเงินหรือชดใช้เงินแก่ผู้เสียหายดังกล่าวอีก และให้จำเลยทั้งหกร่วมกันชำระแก่ผู้เสียหายที่ 6 จำนวน 1.3 ล้านบาท ผู้เสียหายที่ 8 จำนวน 4.1 ล้านบาท ผู้เสียหายที่ 13 จำนวน 428,930 บาท ผู้เสียหายที่ 17 จำนวน 37,100 บาท ผู้เสียหายที่ 18 จำนวน 71,615 บาท ผู้เสียหายที่ 26 จำนวน 142,957 บาท และผู้เสียหายที่ 58 จำนวน 132,957 บาท ริบของกลางให้ตกเป็นของกระทรวงสาธารณสุขเพื่อทำลายหรือจัดการตามที่เห็นสมควร

วันเดียวกันศาลอาญายังได้อ่านคำพิพากษาคดีเมจิกสกินอีกสำนวน คือ คดีหมายเลขดำ อ.43/2562 ที่พนักงานอัยการคดีเศรษฐกิจและทรัพยากร 2 เป็นโจทก์ฟ้องบริษัท เมจิกสกิน จำกัด โดยนายกร พวงสน กรรมการผู้มีอำนาจ, นายกร พวงสน ฐานะส่วนตัว, นางวรรณภา พวงสน สามีภรรยา ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-3 ตามลำดับฐานกระทำผิด พ.ร.บ เครื่องสำอาง พ.ศ.2558 พ.ร.บ.อาหาร พ.ศ.2522 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550

กรณีเมื่อระหว่างเดือน ก.พ.2560-เดือน เม.ย.2561 ต่อเนื่องกันพวกจำเลยร่วมกับน.ส.ตรีชฎา ใจสบาย (ถูกฟ้องภายหลังเป็นจำเลยที่ 4), บริษัท ฮานิว โคเรีย และน.ส.ปาจรีย์ วงศ์สมบูรณ์ จำเลยคดีอาญาหมายเลขแดง อ.3781/2561 กระทำผิดหลายกรรมต่างกันโดยบังอาจร่วมกันผลิตเพื่อจำหน่ายเครื่องสำอางปลอม

โดยจำเลยทั้งสามร่วมกับ น.ส.ตรีชฎา บริษัท ฮานิส และน.ส.ปาจรีย์ ในลักษณะแบ่งหน้าที่กันทำโดยร่วมกันรับจ้างผลิตเครื่องสำอางยี่ห้อ ตรีชฎา แล้วจดแจ้งการผลิตเพื่อจำหน่ายต่อสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) โดยนางวรรณา จำเลยที่ 3 โดยสถานที่ผลิตเลจที่ 58 ม.7 ต.ดอนหวาย อ.โนนสูง จ.นครราชสีมา

ทั้งที่จำเลยทั้งสามได้ว่าจ้างให้ บริษัทฮานิวฯ และน.ส.ปาจรีย์ ผลิต โดยที่จำเลยทั้งสามมิได้เป็นผู้ผลิตแล้วนำมาจำหน่ายเครื่องสำอางปลอมให้แก่ผู้เสียหายจำนวนมากที่หลงเชื่อ มูลค่าความเสียหาย 55,711,529 บาท ในวันนี้จำเลยที่ 1-3 มาศาล พร้อมทนายความเพื่อฟังคำพิพากษา

ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้ว พิพากษาว่าจำเลยที่ 1-3 มีความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 343 วรรคแรก พ.ร.บ.เครื่องสำอาง พ.ศ.2548 พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 ความผิดตาม พ.ร.บ.การกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์และความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทแต่ละบทมีระวางโทษเท่ากัน ให้ลงโทษฐานฉ้อโกงประชาชน

การกระทำของจำเลยทั้งสี่เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป โดยจำคุกจำเลยที่ 2-4 กระทงละ 2 ปี และปรับจำเลยทั้ง 4 กระทงละ 5,000 บาท รวมจำคุกจำเลยที่ 2 ถึง 4 คนละ 290 ปี และปรับคนละ 735,000 บาท

ฐานร่วมกันขายเครื่องสำอางปลอม จำคุกจำเลยที่ 2 ถึง 4 คนละ 2 เดือน และปรับจำเลยทั้ง 4 คนละ 10,000 บาท และจำเลยที่ 1-3 ยังมีความผิดฐานร่วมกันผลิตเพื่อขายรับจ้างผลิตเครื่องสำอางปลอมจำคุกจำเลยที่ 2 และที่ 3 คนละ 1 ปี และปรับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 คนละ 20,000 บาทจำเลยทั้ง 4 ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ดังนั้นฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชนคงจำคุกจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 คนละ 145 ปี และปรับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 คนละ 362,500 บาท

ฐานร่วมกันผลิตเพื่อขาย รับจ้างผลิตเครื่องสำอางปลอม จำคุกจำเลยที่ 2 ที่ 3 คนละ 3 เดือน และปรับจำเลยที่ 2-4 คนละ 10,000 บาท รวมโทษจำคุกจำเลยที่ 2 และที่ 3 คนละ 145 ปี 4 เดือน และปรับจำเลยที่ 1-3 คนละ 377,500 บาท จำคุกจำเลยที่ 4 มีกำหนดโทษ 145 ปี 1 เดือน และปรับจำเลยที่ 4 จำนวน 367,500 บาท แต่ความผิดฐานฉ้อโกงดังกล่าวมีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงไม่เกิน 10 ปี จึงให้จำคุกจำเลยที่ 2 – 4 คนละ 20 คงจำคุกจำเลยที่ 2 -3 คนละ 20 ปี 4 เดือนและปรับ 377,500 บาท จำคุกจำเลยที่ 4 มีกำหนด 20 ปี 1 เดือนและปรับ 367,500 บาท

พิเคราะห์รายงานการสืบเสาะและพินิจจำเลยทั้ง 4 แล้วเห็นว่าพฤติกรรมในการกระทำผิดของจำเลยทั้ง 4 ในคดีนี้เป็นเรื่องการดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องสำอางจึงมีสินค้าอยู่จริง และได้จำหน่ายให้กับผู้บริโภค ซึ่งรวมทั้งผู้เสียหายในคดีนี้ โดยวิธีการทำโฆษณาทางสื่อสังคมออนไลน์ สภาพผลิตภัณฑ์ที่เป็นความผิดมีผลกระทบต่อผู้เสียหาย ซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่ายด้วยกัน ไม่มีลักษณะที่จะเป็นอันตรายต่อสุขภาพอนามัยและไม่ได้เป็นภัยอันตรายแก่ประชาชนถึงขนาดที่ไม่อาจให้โอกาสจำเลย กลับตัวเป็นพลเมืองดีในสังคม

จำเลยทั้งหมดต่างก็สำนึกผิดโดยพยายามประกอบอาชีพสุจริตและได้ชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้เสียหายทุกรายโดยผู้เสียหายส่วนใหญ่พอใจและไม่ติดใจดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและทางอาญาแก่จำเลยคงมีผู้เสียหายส่วนน้อยที่ยังไม่ได้รับค่าเสียหายครบถ้วน ซึ่งการให้โอกาสจำเลยได้ไปประกอบอาชีพเพื่อนำรายได้มาชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้เสียหายที่เหลือ น่าจะเป็นประโยชน์แก่จำเลยและผู้เสียหายรวมถึงประชาชนมากกว่า ให้จำเลยต้องโทษจำคุก

อีกทั้งโทษปรับที่จำเลยทั้งหมดได้รับก็นับว่าเป็นโทษหนักและทำให้เข็ดหลาบแล้ว หลังเกิดเหตุแม้มูลค่าความเสียหายในคดีนี้จะมีเป็นจำนวนมาก แต่จำเลยทั้ง 4 ได้พยายามบรรเทาผลร้ายโดยได้มีการชดใช้ค่าเสียหายให้กับผู้เสียหายในคดีนี้โดยชดใช้เงินจนเป็นที่พอใจให้กับผู้เสียหายจำนวน 91 ราย คิดเป็นเงิน 1.6 ล้านบาท มีการผ่อนชำระจำนวน 25 ราย และผู้เสียหายบางส่วนจำเลยก็ได้วางเงินต่อศาลเพื่อชดใช้ค่าเสียหายเต็มจำนวน

คงมีผู้เสียหายส่วนน้อยที่ตกลงค่าเสียหายไม่ได้จำนวน 25 ราย แต่จำเลยก็ได้วางเงินบางส่วนต่อศาลเพื่อเป็นการบรรเทาความเสียหายแล้ว อันแสดงถึงความรับผิดชอบ ในการกระทำผิดของจำเลยทั้ง 4 เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลย ที่ 2-4 เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อนโทษจำคุก จึงให้รอการลงโทษมีกำหนด 3 ปี หากจำเลยทั้ง 4 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 29,30

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสำหรับการพิจารณารอลงอาญานั้น จะทำได้โดยที่ถูกตัดสินโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ซึ่งคดีนี้ศาลพิจารณาโทษเป็นรายกระทงเฉลี่ยเเล้วกระทงละไม่เกิน 3 ปีศาลจึงสามารถใช้ดุลพินิจในการรอลงอาญาได้

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน