กรณีที่น.ส.ณิชา เกียรติธนะไพบูลย์ อายุ 24 ปี ที่ต้องกลายเป็นผู้ต้องหาคดีฉ้อโกง หลังถูกคนร้ายล้วงกระเป๋าขณะไปทำงาน ทำให้บัตรประชาชน บัตรเอทีเอ็ม หายไป ต่อมาคนร้ายกลับนำบัตรประชาชนของน.ส.ณิชา ไปเปิดบัญชีธนาคาร 7 แห่งรวม 9 บัญชี หลอกให้เหยื่อโอนเงินก่อนจะหลบหนีไป ทำให้น.ส.ณิชารับเคราะห์แทน เพราะผู้เสียหายเข้าแจ้งความสภ.บ้านตาก จ.ตาก เมื่อน.ส.ณิชาทราบเรื่องก็รีบเข้ามอบตัวกับกองปราบปราม ก่อนถูกส่งตัวไปให้ตำรวจสภ.บ้านตาก ดำเนินคดี และนำตัวส่งฝากขังศาล ต้องถูกคุมตัวไว้ในเรือนจำตาก ก่อนจะได้ประกันตัวออกมา อ่านข่าว แพะสาวแก๊งคอลเซ็นเตอร์ร่ำไห้ หลังศาลให้ประกันตัว ฮึ่มลุยฟ้อง7แบงก์ทำติดคุก
ความคืบหน้า เมื่อวันที่ 9 ม.ค. ที่กองปราบปราม น.ส.ณิชา เกียรติธนะไพบูลย์ อายุ 24 ปี พร้อมด้วยน.ส.ปุญญาดา ก๊กมาศ อายุ 33 ปี พี่สาว เดินทางเข้าพบ พล.ต.ต.ไมตรี ฉิมเฉิด ผบก.ป. พ.ต.อ.ชาคริต สวัสดี รองผบก.ป. เพื่อร้องขอความเป็นธรรมให้กองปราบปราม ช่วยติดตามคนร้ายที่นำบัตรประชาชนของตัวเองไปเปิดบัญชี พร้อมนำเอกสารหลักฐาน และคลิปวีดีโอคนร้ายขณะกำลังเปิดบัญชีที่ธนาคารแห่งหนึ่งย่านลาดพร้าว (ธนาคารกรุงไทย)
น.ส.ณิชา กล่าวว่า เมื่อวันที่ 6 ต.ค. ที่ผ่านมา ตนนั่งรถจากย่านบางใหญ่ เพื่อไปทำธุระที่ย่านหลักสอง ธนบุรีฯ จนมาทราบภายหลังว่า กระเป๋าสตางค์ของตนหายไป จึงรีบอายัดบัตรเอทีเอ็ม พร้อมกับไปขอทำบัตรประชาชนใหม่ด้วย หลังจากนั้นต่อมาในวันที่ 28 ธ.ค.ที่ผ่านมา ก็มีหมายเรียกของตำรวจมาถึงที่บ้าน แต่ตนไม่อยู่บ้าน จากนั้นก็ทราบอีกว่าก็มีตำรวจนำหมายจับมาติดต่อบริษัทที่ตนทำงานอยู่เพื่อติดตามตัว แต่ตนเองไม่อยู่ จนมาทราบเรื่องเมื่อกลับมาแล้ว
น.ส.ณิชา กล่าวอีกว่า ต่อมาในวันที่ 6 ม.ค.ที่ผ่านมา ตัดสินใจเข้าพบตำรวจกองปราบปราม เพื่อจะสอบถามพร้อมแสดงความบริสุทธิ์ใจ จึงทราบเรื่องว่ามีผู้นำบัตรประชาชนของตนไปเปิดบัญชีธนาคาร 7 ธนาคาร รวมทั้งหมด 9 บัญชี ซึ่งแต่ละบัญชีมีการโอนย้ายเงินหลายแสนบาท ทราบว่าตามขั้นตอนของกฎหมาย กองปราบต้องแจ้งข้อกล่าวหาตามหมายจับ และส่งตัวให้พนักงานสอบสวนของสภ.บ้านตาก จ.ตาก รับตัวไปดำเนินคดี
“หลังจากพนักงานสอบสวนสภ.บ้านตาก รับตัวไว้แล้ว ดิฉันก็พยายามจะชี้แจงข้อเท็จจริง แต่พนักงานสอบสวนกลับส่งตัวฝากขังเลย เบื้องต้นศาลไม่ให้ประกันตัว เพราะกลัวว่าจะหลบหนี ก่อนถูกส่งตัวเข้าเรือนจำจ.ตากทันที กระทั่งเมื่อวานที่ผ่านมา จึงได้ประกันตัวออกมา ขอยืนยันว่าไม่มีส่วนรู้เห็นกับขบวนการคอลเซ็นเตอร์อย่างใดทั้งสิ้น ครั้งนี้จึงเข้ามาขอความเป็นธรรม เพื่อขอให้กองปราบฯ ช่วยติดตามตัวคนร้ายที่นำบัตรไปใช้ นอกจากนี้ ก็อยากจะขอให้ทางธนาคารมีความรัดกุม ในการรับเปิดบัญชีหรือตรวจสอบใบหน้า และหลักฐานของผู้เปิดบัญชีอย่างละเอียด เพื่อป้องกันการถูกสวมบัตรประชาชนแบบดิฉันโดน” น.ส.ณิชา กล่าว
ด้านน.ส.ปุญญาดา กล่าวว่า ตนตั้งข้อสังเกตถึงการทำสำนวนของพนักงานสอบสวนสภ.บ้านตากว่า เหตุใดถึงทำสำนวนว่าจับกุมตัว ทั้งที่ความเป็นจริงแล้ว น้องสาวตนเองเดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนกองปราบด้วยตนเอง แต่ในใบสำนวนไม่ปรากฏว่าน้องสาวตนเองเดินทางเข้าพบ รวมถึงสำนวนการสอบสวนยังไม่มีความละเอียดรอบคอบ และไม่สอบปากคำเพิ่มเติม หลังได้รับตัวจากกองปราบปราม แต่ส่งตัวน้องสาวตนเองไปฝากขังต่อศาลทันที
“ที่จริงเรื่องเมื่อน้องสาวของทราบว่าเอกสารส่วนตัวหาย พอวันรุ่งขึ้นคือวันที่ 7 ต.ค.ก็รีบเข้าแจ้งความและไปทำบัตรประชาชนใหม่ที่ศูนย์บริการประชาชน ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวสต์เกต ทราบด้วยว่า ตามขั้นตอนการยื่นขอทำบัตรใหม่แล้ว บัตรเก่าจะสิ้นสภาพทันที โดยตามที่ได้เช็คข้อมูลกับทางธนาคารที่คนร้ายไปเปิดบัญชีในชื่อน.ส.ณิชา พบว่าบัญชีแรกซึ่งเป็น 1 ใน 9 บัญชี นั้นเปิดไว้เมื่อวันที่ 21 ต.ค. ดังนั้นบัตรประชาชนดังกล่าวจึงไม่ใช่ของเราแน่นอน ส่วนคนร้ายที่เข้าไปเปิดบัญชีก็ทราบว่าเป็นผู้หญิงที่เดินทางมากับเด็ก” น.ส.ปุญญาดา กล่าว
พล.ต.ต.ไมตรี กล่าวว่า ตนรับรายงานจากว่าคดีนี้เมื่อผู้เสียหายเดินทางเข้าพบเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบฯ เมื่อตรวจสอบแล้วมีหมายจับกุม ก็เลยส่งตัวให้กับตำรวจพื้นที่เกิดเหตุตามขั้นตอนของกฎหมาย แต่เมื่อปรากฏว่าผู้เสียหายถูกคนร้ายนำบัตรประชาชนไปใช้ ก็เท่ากับว่าผู้เสียหายก็อยู่ในสถานะที่เป็นเหยื่อของแก๊งคนร้ายด้วย เรื่องนี้คงไม่นิ่งนอนใจ ยืนยันว่าจะให้ความเป็นธรรมและทำความจริงให้ปรากฏโดยเร็ว โดยจะมอบหมายให้พ.ต.อ.ชาคริตเป็นผู้รับผิดชอบคดีนี้ พร้อมประสานสภ.บ้านตาก เพื่อขอโอนคดีทั้งหมดมาให้กองปราบดำเนินการ เพื่อเตรียมดำเนินการเอาผิดกับทางธนาคาร พร้อมกันนี้ตนยังสั่งการให้ฝ่ายสืบสวนเร่งติดตามตัวคนร้ายมาดำเนินคดีอย่างเร่งด่วยด้วย
ทั้งนี้ มีรายงานว่าภาพหลักฐานจากกล้องวงจรปิดภายในธนาคารแห่งหนึ่งย่านลาดพร้าว ที่บันทึกภาพคนร้ายซึ่งเป็นหญิงอายุประมาณ 30 ปี รูปร่างสันทัด สวมเสื้อสีดำ สวมหน้ากากอนามัยปิดบังใบหน้า เดินเข้ามาขอเปิดบัญชีธนาคาร โดยใช้บัตรประชาชนของน.ส.นิชา ซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญที่เจ้าหน้าที่กำลังเร่งติดตามตัวมาดำเนินคดี
