เมื่อเวลา 16.00 น. วันที่ 7 ก.พ. ที่บ้านเลขที่ 12/3 ซ.ศูนย์วิจัย 3 แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง กทม. บ้านของนายเปรมชัย กรรณสูต ประธานบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. เดินทางเข้าตรวจค้นเพื่อหาหลักฐานเพิ่มเติม หลังจากที่นายเปรมชัยพร้อมพวกรวม 4 คน ถูกจับพร้อมของกลางซากสัตว์ป่าคุ้มครอง คือ ไก่ฟ้าหลังเทา ซากเนื้อเก้ง ซากเสือดำ ถูกชำแหละ และ ถลกหนัง นอกจากนั้น ยังพบอาวุธปืนกระบอก และเครื่องกระสุนจำนวนหนึ่ง ซึ่งถูกแจ้งข้อกล่าวหาทั้งหมด 9 ข้อกล่าวหา และทนายได้ยื่นหลักทรัพย์ขอประกันตัวผู้ต้องหาทั้งหมด โดยศาลให้ประกันตัวโดยใช้หลักทรัพย์คนละ 150,000 บาท

พล.ต.อ.ศรีวราห์ กล่าวว่า ในส่วนของวันนี้เจ้าหน้าที่ได้ทำการตรวจค้นทั้งหมด 6 จุด ด้วยกันได้แก่ จ.ราชบุรี 1 ชุด, จ.กาญจนบุรี 1 จุด, จ.โคราช 1 จุด, กรุงเทพ 1 จุด และจ.นนทบุรี 2 จุด โดยจากการตรวจสอบทั้งหมดไม่พบสิ่งผิดปกติหรือผิดกฎหมาย ยกเว้นบ้านของนายเปรมชัย ซึ่งพบงาช้าง 2 คู่ ที่ทางภรรยาอ้างว่าเป็นของนายเปรมชัย มีใบอนุญาตในการครอบครองถูกต้อง แต่ไม่มีสติกเกอร์ติดอยู่ที่งาช้าง จึงต้องยึดให้กรมอุทยานฯตรวจสอบว่าเป็นงาช้างชิ้นเดียวกันกับที่ขอใบอนุญาตไว้หรือไม่ และพบปืนทั้งหมด 43 กระบอก เป็นปืนยาว 41 กระบอก ปืนสั้น 2 กระบอก รวมกระสุนทั้งหมดกว่า 1,600 นัด และกล้องติดปืน จำนวน 11 อัน โดยปืนยาวประกอบไปด้วย ปืนลูกซองและปืนไรเฟิล พร้อมกระสุนขนาด 0.40 กระสุนลูกซองขนาดต่างๆ 49 นัด กระสุนไรเฟิลขนาดต่างๆ 30 นัด และกระสุนขนาดต่างๆ อีกจำนวนหนึ่ง โดยอาวุธปืนทั้งหมดนั้น ส่วนใหญ่เป็นของนายเปรมชัย อาจมีเพียง 1-2 กระบอก ที่เป็นของลูกชาย

นอกจากนั้นยังพบงาช้าง 2 คู่ และในขณะนี้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้นำตัวส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีแล้ว ส่วนปืนไรเฟิลมีบางกระบอกที่ติดกล้อง ลักษณะเป็นปืนล่าสัตว์ เป็นปืนลักษณะเดียวกับที่พบในจุดเกิดเหตุ ซึ่งปืนทั้งหมดจะให้เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานทำไปตรวจสอบ แต่ละกระบอกว่ามีใบอนุญาตถูกต้องทั้งหมดหรือไม่ และชื่อผู้ครอบครองเป็นใคร ซึ่งปืนที่ตรวจพบเป็นพยานแวดล้อมยืนยันได้ว่า นายเปรมชัยนั้นชอบล่าสัตว์

“ในส่วนของนายเปรมชัยนั้นชอบเข้าป่าหรือไม่ อยู่ในระหว่างการตรวจสอบใบขออนุญาตการเข้าอุทยานแห่งชาติ และจะนำใบอนุญาตนั้นเก็บเป็นหลักฐาน นอกจากนั้นจะสอบพยานแวดล้อมเพิ่มเติมว่า นายเปรมชัยชอบล่าสัตว์จริงหรือไม่ และจะสอบพยานแวดล้อมเพิ่มในส่วนของเฟซบุ๊กส่วนตัว ที่โพสต์รูปที่ไปเที่ยวในป่า ซึ่งเราจะต้องตรวจสอบด้วย ในส่วนของลายนิ้วมือที่พบในจุดเกิดเหตุ อยู่ในระหว่างการตรวจสอบว่าเป็นลายนิ้วมือและดีเอ็นเอว่าเป็นของใครบ้าง” พล.ต.อ.ศรีวราห์ กล่าว

รองผบ.ตร. กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ จะนำตัวพยานและเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานในวันที่ 2-4 ก.พ มาสอบเพิ่มที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมหรือปทส. ในช่วงบ่ายของวัยพรุ่งนี้ ส่วนกรณีคลิปเสียงเจรจาต่อรองของนายเปรมชัยและเจ้าหน้าที่อุทยานเพื่ออนุญาตเข้า และทางเจ้าหน้าที่อุทยายเป็นผู้อนุญาตให้เข้าพื้นที่นั้น อยู่ระหว่างการตรวจสอบ แต่ยืนยันหากใครมีส่วนรู้เห็นในการเข้าไปล่าสัตว์ก็ต้องมีความผิดด้วย นอกจากนั้นในส่วนของกระแสข่าวที่แจ้งมาว่าในห้องทำงานของนายเปรมชัย มีหนังเสือโคร่งประดับอยู่ ขอนำเรื่องเข้าที่ประชุมคณะกรรมการสอบสวนเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงอีกครั้ง

“จะดำเนินการตามกฎหมายให้หมดทั้ง 4 คน ยืนยันว่าจะฟ้องทุกคน เพราะเนื่องจากวัตถุพยานมันฟ้องชัดเจน เข้าไปในพื้นที่ดังกล่าวโดยพกเครื่องครัว อาวุธ โดยไม่มีเหตุอันควร หากจะเข้าไปทำอาหารในป่า ไม่จำเป็นต้องนำสิ่งของดังกล่าวไปด้วย ซึ่งจากการตรวจสอบแล้วก็ไม่พบว่านายเปรมชัยและพวกไม่ได้นำเนื้อสัตว์ชนิดอื่นเข้าป่าไป เพื่อไปทำอาหารแต่อย่างใด ถ้าหากวิสัยนักสืบพฤติกรรมดังกล่าวยืนยันชัดเจนว่าเป็นเข้าป่าเพื่อล่าสัตว์ แต่ในทางสำนวนขอตรวจสอบอีกครั้ง” รองผบ.ตร. กล่าว

พล.ต.อ.ศรีวราห์ กล่าวด้วยว่า ในส่วนของคดีนี้จะให้ทางปทส. เข้ามาร่วมสอบสวนด้วย และไม่จำเป็นต้องตั้งกรรมการสอบสวน เนื่องจากตนมีหน้าที่ดูแลเรื่องพ.ร.บ.ป่าไม้และพ.ร.บ.ป่าสงวนด้วย ตนจึงใช้อำนาจนี้ดูแลสำนวนด้วยตนเอง ในส่วนของช่องโหว่ของกฎหมายที่ให้เข้าไปภายในพื้นที่ ตนไม่เห็นว่ามีช่องโหว่ เพราะทุกอย่างมันชัดเจน การจะเข้าไปในอุทยานแห่งชาติก็ต้องได้รับอนุญาตก่อน ซึ่งในกรณีเปรมชัยหากไม่ได้ขออนุญาตก็ต้องเข้าไปโดยมิชอบอยู่แล้ว ซึ่งประเด็นอยู่ที่ว่าหากเข้าไปโดยไม่ได้รับอนุญาต ทำไมเจ้าหน้าที่ถึงไม่ระงับตั้งแต่ต้น หากเจ้าหน้าที่ไม่ทราบหรือไม่อย่างไร ก็อยู่ในการสอบสวนอีกครั้ง ยืนยันว่าจะดำเนินการอย่างตรงไปตรงมาแน่นอน

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน