ดราม่าจับสึกพระเรี่ยไร เขียนหน้าผากประจานพระปลอม แต่พบบวชจริง ทนายดังติง ถ้าทำโดยพลการ เข้าข่ายมีความผิดทั้งทางวินัยและอาญา
วันที่ 10 ก.พ.2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เกิดข้อถกเถียงในวงการสงฆ์อีกครั้ง หลังจากที่เมื่อวาน เจ้าหน้าที่อำเภอบางใหญ่ประสานไปยังสำนักงานพระพุทธศาสนา นนทบุรี เข้าตรวจสอบ พฤติกรรมพระสงฆ์ 3 รูป ออกเดินเรี่ยไรข้าวสารอาหารแห้งเพื่อจะนำไปร่วมทอดผ้าป่าที่วัดแห่งหนึ่งในจ.เชียงใหม่
ต่อมานายธานี พิกุลทอง ผอ.สนง.พระพุทธศาสนาจังหวัดนนทบุรีได้เดินทางมาตรวจสอบจึงพบข้อเท็จจริงว่า พระบุญค้ำ โลเคนแก้ว อายุ 45 ปี ซึ่งเป็นผู้ชักชวนพระสงฆ์จากวัดอื่นอีก 2 รูป มารับบริจาคข้าวสารอาหารแห้งดังกล่าว จนเจ้าหน้าที่อำเภอบางใหญ่พบพิรุธ จึงประสานทาง สนง.พระพุทธศาสนาจังหวัดมาตรวจสอบ
จากการตรวจพบว่าพระบุญค้ำ โลเคนแก้ว พบว่าได้บวชเป็นพระที่วัดแห่งหนึ่งในจ.อุดรธานี แต่มีพฤติกรรมชอบออกเดินทางเรี่ยไรขอบริจาคไปทั่ว ไม่เคยอยู่จำพรรษาที่วัด จนล่าสุดเมื่อวันที่ 4 ก.พ.ที่ผ่านมาถูกทางเจ้าหน้าที่ในจังหวัดปทุมธานีจับสึกในข้อหาเรี่ยไรมาแล้ว จากนั้นพระบุญค้ำ ยังได้ออกอุบายไปหลอกให้พระอุปัชฌาย์ของวัดแห่งใน จ.สระบุรีบวชเณรหน้าไฟให้ก่อนจะขอบวชเป็นพระในเวลาต่อมา จนกระทั่งได้รับการบวชเป็นพระสงฆ์อย่างถูกต้องแล้ว
แต่พระบุญค้ำก็ยังมีพฤติกรรมเดิม ออกตระเวนเรี่ยไรไปทั่ว จนกระทั่งมาเรี่ยไรขอรับบริจาคข้าวสารอาหารแห้งจากทางอำเภอบางใหญ่และถูกควบคุมตัวตรวจสอบเมื่อวานนี้ และถูกนำตัวส่งให้ทางเจ้าคณะอำเภอบางใหญ่ เพื่อทำการสึกก่อนส่งตัวให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บางใหญ่ ดำเนินคดีในข้อหาความผิดแต่งกายเลียนแบบพระสงฆ์ โดยระหว่างในการควบคุมตัวนั้น ผู้สื่อข่าวพบว่ามีเจ้าหน้าที่ไม่ทราบสังกัด ได้นำปากกาสีเมจิกมาเขียนประจานที่หน้าผากของนายบุญค้ำว่าเป็นพระปลอมอีกด้วย
โดยวันนี้ที่สภ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี พบว่าอดีตพระบุญค้ำ โลเคนแก้ว อายุ 45 ปี ได้ถูกปล่อยตัวออกจากโรงพักไปตั้งแต่เมื่อวานนี้ในช่วงเย็นแล้ว เนื่องจากพนักงานสอบสวนตรวจสอบแล้วพบว่า ไม่สามารถแจ้งข้อกล่าวหาดำเนินคดีกับนายบุญค้ำ ในข้อหาแต่งกายเลียนแบบพระสงฆ์ได้ เนื่องจากนายบุญค้ำได้รับการบวชเป็นพระอย่างถูดต้องจากพระอุปัชฌาย์ของวัดแห่งหนึ่งในจังหวัดสระบุรีจริง จึงไม่เข้าข่ายความผิดฐานแต่งกายเลียนแบบพระสงฆ์ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงต้องปล่อยตัวไป
กรณีดังกล่าวกลายเป็นว่าแม้อดีตพระบุญค้ำจะถูกควบคุมตัวจากพฤติกรรมที่เป็นพระนอกรีตไปเรี่ยไรขอรับบริจาคจริง โดยใช้อุบายไปหลอกบวชเป็นพระได้สำเร็จมาก็ตาม แต่การที่ถูกเจ้าหน้าที่ไม่ทราบสังกัดบางรายนำปากกาเมจิไปเขียนหน้าผากประจานว่าเป็นพระปลอม ทั้ง ๆ ที่ต่อมาไม่พบความผิดหรือดำเนินคดีตามกฏหมายได้ เป็นการละเมิดสิทธิความมนุษย์ขั้นพื้นฐานหรือไม่นั้น
ผู้สื่อข่าวได้สอบถามไปยังทนายรัชพล ศิริสาคร ทนายคนดัง ได้รับคำตอบว่า บุคคลหรือผู้ถูกกล่าวหาที่ศาลยังไม่ได้ตัดสินว่ามีความผิด ยังต้องถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ จะกระทำต่อคนนั้นเหมือนผู้กระทำความผิดไม่ได้ การที่นำเอาผู้ถูกกล่าวหามาประจานในลักษณะที่เหมือนเป็นนักโทษ ย่อมเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะถ้าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจจะทำอะไรก็ตามจะต้องมีกฎหมายรองรับ ถ้าทำโดยพลการ ไม่มีอำนาจหรือไม่มีหน้าที่ ก็เข้าข่ายมีความผิดทางวินัยหรือมีความผิดอาญาได้
ซึ่งในปัจจุบันมีข้อห้ามว่าห้ามตำรวจนำผู้ต้องหามาแถลงข่าวด้วย แล้วยิ่งไปควบคุมตัวผู้ถูกกล่าวหามาเขียนหน้าผากประจานในลักษณะนี้ ซึ่งแม้ต่อมาจะพิสูจน์ได้ว่าเขามีความผิดตามที่ถูกกล่าวหาก็ตามเป็นการละเมิดสิทธิขั้นฐานโดยตรง ขัดกฎหมายตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งผู้ถูกกล่าวหามีสิทธิร้องทุกข์กล่าวโทษดำเนินคดีกลับได้ฐานละเมิดสิทธิมนุษยชน